webnovel

ตอนที่ 003

ตอนที่ 3 ศพคนโบราณ

ฝนนี่ตกหนักชะมัด ขนาดที่ปัดน้ำฝันก็ยังเอาไม่อยู่เลย ดีนะที่ไม่มีฟ้าผ่าลงมา

เย่หนิงคิดเงียบ ๆ อยู่ในใจ ในขณะที่มองลู่เว่ยที่นั่งอยู่ตรงด้านข้างคนขับไปด้วย “นี่ ! เจ้าหนูลู่ แกไหวหรือเปล่าเนี่ย ? แกอย่าได้อึราดบนรถฉันเชียวนะ !”

ลู่เว่ยยกมือกุมท้องที่รู้สึกปวดจนใบหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย “นี่ลูกพี่ ! ผมเป็นห่วงลูกพี่มากกว่า... ฝนตกหนักขนาดนี้ ถนนก็ลื่น... ลูกพี่ขับไหวไหม... ถ้าไม่อย่างนั้นก็ให้ผมขับก็ได้ ?”

ใบหน้าของเย่หนิงแสดงความรู้สึกดูถูก ด่าลู่เว่ยเสียชุดใหญ่ “แกน่ะเหรอจะขับ ? ล้อเล่นกันอยู่รึเปล่า ? ไอ้งั่งอย่างแกเนี่ยนะขับรถได้ด้วยเหรอ ? ขอร้องล่ะ แกทำตัวดี ๆ หน่อยเถอะ นั่งอยู่เฉย ๆ ซะ ! นี่ ฉันพูดจริงนะ ถ้าทนไม่ไหวก็รีบบอกฉันนะ...”

“เข้าใจแล้วคร้าบ...” สีหน้าของลู่เว่ยจ๋อยลงทันที อดที่จะบ่นขึ้นมาไม่ได้ “ไอ้หัวหน้าหยางมันแอบวางแผนบ้าอะไรไว้กันแน่เนี่ย ? สภาพอากาศวายป่วงแบบนี้ยังให้พวกเราขับรถตลอดทั้งคืนเพื่อรีบกลับไป นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ?”

“ฉันก็ไม่รู้สิ...” เย่หนิงขมวดคิ้ว” ได้ยินมาว่าเหมือนจะมีนักศึกษาเสียชีวิตไปหลายคน เบื้องบนก็ดูจะสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษเสียด้วย”

“มีนักศึกษาเสียชีวิตไปหลายคน ? ตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอม คงจะมีคนไปว่ายน้ำจนจมน้ำตายอีกแล้วสิท่า ไอ้เรื่องแบบนี้ไม่ต้องถึงมือพวกเราหรอก !”

“มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นน่ะสิ นี่เป็นคดีฆาตกรรม ถ้าไม่อย่างนั้นที่ว่าการมณฑลคงไม่สั่งการลงมาเองหรอก ได้ยินมาว่ามีนักศึกษาคนหนึ่งเป็นถึงลูกชายของผู้นำสักคนด้วย ดังนั้นตอนนี้ทางกรมตำรวจจึงให้ความสนใจคดีนี้มากเป็นพิเศษ แถมยังจัดตั้งทีมสืบสวนเฉพาะกิจเพื่อคดีนี้อีก พรุ่งนี้เก้าโมงเช้าจะมีประชุม หัวหน้าหยางจึงสั่งให้หน่วยเราต้องไปถึง...”

เย่หนิงยังไม่ทันที่จะพูดจบ ลู่เว่ยก็ตะโกนขึ้นอย่างเสียงดัง “เฮ้ย...หยุดรถก่อน ! มีคน มีคนอยู่ !”

เย่หนิงพอถูกเจ้าลู่เว่ยตะโกนใส่จึงตกใจอย่างมาก อีกนิดเดียวเธอก็เกือบจะเหยียบคันเร่งแทนที่จะเหยียบเบรกเสียแล้ว เมื่อรถหยุดลง เธอก็ยังมีอาการตกใจไม่หาย “ไอ้เวรลู่ แกเป็นบ้าอะไรเนี่ยหา ! กะจะให้ฉันตกใจตายรึไง !”

ลู่เว่ยตบหน้าอกตัวเองเบา ๆ “ลูกพี่ได้ดูทางอยู่หรือเปล่าเนี่ย ? ข้างหน้ามีคนนะ อีกนิดเดียวลูกพี่เกือบจะชนเขาแล้ว...เอ๊ะ ! คนเมื่อกี้ไปไหนแล้วล่ะ ?”

ทางข้างหน้ามืดสนิท ดูมืดมิดเปล่าเปลี่ยว ตรงที่ไฟรถส่องมาถึงก็มองเห็นเพียงแค่ม่านฝนขนาดใหญ่

“นี่แกตาฝาดหรือเปล่าหา ! มันมีคนที่ไหนล่ะ ?” เย่หนิงแทบอยากจะถีบไอ้หมอนี่ลงจากรถเสียจริง ๆ ฝีมือขับรถของเธอก็ยังไม่เท่าไหร่ แล้วยังถูกเขาตวาดเสียงดังใส่อีก แบบนี้ตั้งใจจะหาเรื่องเธอจริง ๆ ใช่ไหม

“เมื่อกี้มีคนจริง ๆ นะครับ...” ลู่เว่ยรู้สึกน้อยใจอย่างถึงที่สุด “เมื่อกี้นี้ผมยังเห็นอยู่เลย เป็นเงาสีขาว ๆ ยืนอยู่ตรงหน้า ลูกพี่ !...ไม่ใช่ว่าลูกพี่ชนเค้าไปแล้วนะ ?”

ลู่เว่ยไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดี

“เฮ้อ ! ชนคนรึเปล่าตัวฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน !” เย่หนิงมองจ้องไปที่เขา “ขนาดใส่แว่นแล้วยังมองเห็นไม่ชัดอีก คนที่ไหนจะมาอยู่แถวนี้ในเวลากลางค่ำกลางคืน ถ้าเป็นผียังจะใช่ซะกว่า”

ลู่เว่ยกลัวจนตัวสั่น “นี่ลูกพี่ ลูกพี่อย่าทำให้ผมกลัวได้ไหม”

เดิมทีสถานที่นี้แห่งนี้เป็นป่ารกทึบ เปล่าเปลี่ยวจนแทบไม่เห็นบ้านคนอยู่ในระแวกนี้เลยแม้แต่นิดเดียว แถมสองฝั่งข้างทางก็ล้วนเป็นหลุมฝังศพไปเสียหมด ถ้าหากมาที่นี่ในตอนกลางวันก็ยังพอรับได้ แต่พอตกกลางดึกก็แทบที่จะไม่มีผู้คนหลงเหลืออยู่เลย กลางดึกบนถนนที่แสนจะมืดมิดสายนี้ก็มีเพียงแต่รถของเธอเท่านั้น รอบ ๆ ตัวก็มีแต่เพียงความมืดมิดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งที่มองเห็นอยู่รำไรนอกจากป้ายหลุมศพแล้ว ก็เป็นหลุมฝังศพ ลู่เว่ยรู้สึกปั่นป่วนภายในใจขึ้นมาได้สักพักแล้ว พอได้ยินเย่หนิงพูดเช่นนี้ ก็ยิ่งรู้สึกกลัวจนขนลุกตลอดเวลา

เย่หนิงฟาดมือเข้าไปที่ลู่เว่ยเต็มแรง “แกนี่มันใจเสาะไม่สมกับเป็นหมอนิติเวชเสียเลยนะ”

ลู่เว่ยหน้ามุ่ย “เป็นหมอนิติเวชมันก็แค่สื่อสารผ่านคนตายเท่านั้นเอง ไม่ได้สื่อสารผ่านทางบ๊ะจ่างซะหน่อย”

เย่หนิงรู้สึกขำขึ้นมาจริง ๆ แต่ก็ยังรู้สึกกังวลใจอยู่ดี “แกเห็นคนจริง ๆ ใช่ไหม ?”

ลู่เว่ยไม่กล้าปักใจเชื่อนัก ว่าที่เขาเห็นเมื่อสักครู่นั้นจะเป็น “คน” จริง ๆ

“ไปทำงานสิ !” เย่หนิงมองเขม่นไปที่เขา “ลงจากรถซะ !”

ลู่เว่ยรู้สึกผวาขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ “ลูกพี่ อย่าออกไปสิ พวกเรายังต้องรีบไปต่อนะครับ”

“ลงมา !” เย่หนิงกวักมือเรียกมาจากข้างนอก “มีคนอยู่จริง ๆ”

คน ๆ นั้น นอนคว่ำหน้าอยู่ที่หน้ารถของหล่อน ห่างไปไม่ถึงเมตร

เย่หนิงก็ยังไม่ค่อยแน่ใจนัก ว่าได้ขับรถชนคน ๆ นั้นไปแล้วหรือเปล่า ?

แต่เมื่อดูจากรูปร่างแล้ว รู้สึกว่าเขาจะเป็นผู้ชาย อีกทั้งน่าจะยังวัยรุ่นเสียด้วย

เขาใส่...เสื้อคลุมยาวสีขาว

เย่หนิงบรรยายลักษณะของเขาได้เพียงเท่านี้

เธอมีความรู้สึกประหลาดใจขึ้นมานิดหน่อย เพราะทั้ง ๆ ที่อยู่บนพื้นแฉะโคลนในหน้าฝนแบบนี้ แต่ดูเหมือนว่าเสื้อคลุมยาวสีขาวนวลของเขานั้นดูจะสะอาดเอี่ยมอ่องเหมือนใหม่ ไม่มีร่องรอยเปรอะเปื้อนเลยแม้แต่นิดเดียว

ผมยาวสีดำขลับราวกับม่านน้ำตกสีดำสยายอยู่กลางหลัง ลู่ลงไปถึงเอว ภายใต้แสงไฟอ่อน ๆ ราวกลับจะเปล่งประกายรัศมีสีเงินออกมา

เย่หนิงจับเส้นผมที่ยาวและนุ่มลื่นเหล่านั้นขึ้นมา ก็ยิ่งทำให้เห็นแขนที่เรียวยาว และผิวขาวใสที่เนียนละเอียด เย่หนิงตกตะลึงไปสักพัก ผิวสวยขนาดนี้ คงไม่ใช่ผู้ชายแล้วล่ะมั้ง ? ผู้หญิงคนนี้ตัวสูงเป็นบ้าเลย !

เธอวางมือไว้ที่แขนของคน ๆ นั้น นิ่งฟังไปสักพักก็ไม่รู้สึกถึงชีพจรของเขาแล้ว แถมผิวเรียบเนียนนี่ยังเย็นเฉียบราวกับก้อนน้ำแข็ง เย่หนิงอดที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ เสียชีวิตมานานแล้วเหรอ ? ถึงจะเสียชีวิตมานานแล้วก็เถอะ แต่ศพก็ไม่น่าที่จะเย็นเฉียบขนาดนี้นี่นา อีกอย่างนี่ก็ไม่ได้อยู่พื้นหิมะหน้าหนาวเสียด้วย

“พี่เย่ มีอะไรรึเปล่าครับ ?” ลู่เว่ยกุมท้องเดินลงมาจากรถ เมื่อเห็นคนนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นก็รู้สึกตกใจขึนมา “พี่เย่ พี่ชนเขาจริง ๆ ใช่ไหม ?”

เย่หนิงถลึงตามองเขา “พูดจาไร้สาระน่า ! ผู้ตายเสียชีวิตมาได้สักพักแล้ว มาช่วยกันหน่อยเร็วเข้า ! ยกคนเข้าไปในรถที”

“เสียชีวิตนานแล้วเหรอ ? เป็นไปไม่ได้......” ลู่เว่ยมองสังเกตที่ศพอย่างคร่าว ๆ รอบหนึ่ง “คนนี้... ทำไมดูแล้วรู้สึกแปลก ๆ ตา..... ดูเหมือนกับศพคนสมัยก่อนเลย !”

เย่หนิงคงไม่มีอารมณ์ที่จะชันสูตรศพท่ามกลางฝนตกหนักแบบนี้แน่ “เอาล่ะ แบกขึ้นรถเถอะ ! ฝนตกหนักขนาดนี้ ถนนหนทางก็ชำรุดอีก ยังไงก็ต้องเอาเขาไปชันสูตรศพที่กรมตำรวจ หาสาเหตุการตายให้ชัดเจนแล้วค่อยว่ากันอีกที”

ทั้งสองคนพลิกลำตัวของศพขึ้นมา เมื่อสายตาของเย่หนิงมองไปทั่วร่างของศพแล้วก็รู้สึกตะลึงไปสักพัก

ผู้ชายคนนี้งดงามเป็นบ้าเลย

งามจนผู้หญิงยังต้องอิจฉา !

ผิวขาวเรียบเนียนไม่มีแม้แต่จุดด่างพร้อย อวัยวะบนใบหน้างดงามสมบูรณ์แบบราวกับถูกแกะสลักไว้อย่างประณีตบรรจง แม้กระทั่งเธอเองก็อดไม่ได้ที่จะจินตนาการว่าเหตุใดขนตายาวละเอียดนั่นถึงดูเข้ากันกับดวงตาที่สุกสกาวคู่นั้นจนดึงดูดใจคนได้เพียงนี้ เธอเพียงแต่รู้สึกเสียดายที่ดวงตาคู่งามนั้นคงไม่มีวันที่จะลืมขึ้นมาอีกแล้ว

ถึงแม้เขาจะไร้ลมหายใจและร่างกายก็ไร้อุณหภูมินานแล้ว แต่พอมองแล้วเขาก็ดูเหมือนเพียงแค่หลับไปเท่านั้นเอง ไม่เหมือนกับศพที่ไร้ซึ่งการรับรู้เลยสักนิดเดียว

ไม่รู้ว่าทำไม ในใจของเย่หนิงกลับรู้สึกปวดร้าวขึ้นมาเสียอย่างนั้น คงจะเป็นเพราะว่ารู้สึกเสียดายมากไปล่ะมั้ง

“พี่เย่ พี่ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยครับ ?” ลู่เว่ยยังคงคิดว่าที่เย่หนิงรู้สึกไม่สบายใจนั้นเพราะขับรถชนคนตาย เขาจึงรีบพูดปลอบใจเธอ “ผมว่าลูกพี่อย่ากังวลไปเลยครับ มันไม่ได้เป็นเพราะว่าพี่ขับรถชนเขาหรอก ถึงแม้พี่จะขับชนเขาจริง ๆ แต่ก็คงไม่ถึงขั้นทำให้เขาตาย พี่ขับช้าเสียขนาดนั้น จริงไหมครับ ?”

เย่หนิงไม่พูดอะไรอีก ได้แต่เพียงส่ายหัว “พาเขากลับไปแล้วค่อยว่ากัน”

พวกเขาสองคนเปียกฝนจนชุ่มไปเสียทั้งตัว พอขึ้นรถแล้วลู่เว่ยยังคงกุมท้องร้องครวญครางเบา ๆ เย่หนิงทั้งรู้สึกหมดหนทางและขำขันในเวลาเดียวกัน “ไม่เอาน่า อดทนหน่อย เดี๋ยวก็ถึงแล้ว”

เธอพูดขึ้นอย่างเรียบ ๆ แต่อย่างไรก็ตามลู่เว่ยก็ต้องทนอีกเกือบชั่วโมง พวกเขาถึงจะกลับถึงกรมตำรวจ หลังจากที่ช่วยกันเคลื่อนย้ายศพไปที่ห้องชันสูตรแล้ว ลู่เว่ยก็ทนต่อไปไม่ไหวจึงรีบพุ่งไปเข้าห้องน้ำทันที