‘แซน’เป็นเพียงคนธรรมดาๆคนหนึ่งที่สามารถมองเห็นและคุยกับเหล่าภูติผีวิญญาณได้ตั้งแต่เด็กๆ แต่แล้ววันหนึ่ง โลกทั้งโลกก็พลันเปลี่ยนไป ทุกคนต้องร่วมทำภารกิจในโลกสยองขวัญอย่างนั้นหรอ!?
ในตรอกทางเดินอันมืดมิดชวนน่าขนลุก ร่างร่างหนึ่งกำลังเดินถือถุงที่ใส่อะไรบางอย่างผ่านตรอกไปอย่างช้าๆ ก่อนที่เสียงของเขาจะพูดขึ้นมากับอากาศอันว่างเปล่าอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
"ขอโทษด้วยนะครับคุณลุง วันนี้ผมเลิกงานค่อนข้างดึก นี่โจ๊กที่คุณลุงฝากซื้อนะครับ"
แสงของดวงจันทร์ค่อยๆสอดส่องเข้ามาในตรอกอันมืดมิด เผยให้เห็นใบหน้าอันน่ารักของคนคนหนึ่ง ดวงตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความจริงใจชวนให้รู้สึกอยากเข้าใกล้ บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
ถุงพลาสติกในมือบางที่ยื่นไปในอากาศอันว่างเปล่านั้นมีถ้วยโจ๊กร้อนๆอยู่ถ้วยหนึ่ง มันเป็นอาหารแช่แข็งที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อปกติทั่วไป ไม่ได้มีอะไรพิเศษ
แต่แทนที่ถุงโจ๊กนั้นจะร่วงลงสู่พื้นตามแรงโน้มถ่วงเมื่อร่างบางปล่อยมือ มันกลับลอยอยู่ในอากาศอันว่างเปล่าอย่างน่าประหลาด
หากเป็นคนอื่นๆมาเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าแล้วล่ะก็ พวกเขาคงจะต้องวิ่งหนีไปด้วยความหวาดกลัวแน่ๆ แต่กับ'แซน'แล้ว เขาทำเพียงยืนนิ่งๆราวกับคุ้นชินกับมันไปแล้วเพียงเท่านั้น
แน่ล่ะ ก็เขาเห็นอะไรแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆแล้วนี่นา
ในสายตาคนอื่นที่ตรงหน้าของแซนนั้นเป็นเพียงอากาศอันว่างเปล่า แต่ในสายตาของเขา กลับมีร่างของชายชราร่างหนึ่งยืนส่งยิ้มให้เขาอยู่
"ขอบคุณมากๆเลยนะหนูแซน ส่วนเงินที่เอาไปก็ไม่ต้องคืนลุงแล้วล่ะ หนูเก็บเอาไว้เถอะ"
"แต่-"
"ถ้าไม่อยากคืนล่ะก็ งั้นคราวหน้าลุงฝากซื้ออะไรอร่อยๆมาฝากบ้างก็แล้วกันนะ ลุงก็อยู่แถวนี้แหละ"
เมื่อได้ยินแบบนั้น แซนเลยต้องพยักหน้าตกลงอย่างเลี่ยงไม่ได้
เงินที่คุณลุงคนนี้ฝากให้เขาไปซื้อโจ๊กนั้นเป็นเงินที่อีกฝ่ายเก็บไว้ตามที่ต่างๆในบ้านตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ และเนื่องจากอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด พอคุณลุงตาย บ้านนั้นก็เลยกลายเป็นบ้านร้างในตรอกมืดๆแห่งนี้ไปในที่สุด
แต่ที่แซนค่อนข้างลำบากใจก็คือ เงินที่อีกฝ่ายให้เขามานั้นมันมีมากถึงสองพันเลยทีเดียว แต่คุณลุงกลับฝากเขาซื้อโจ๊กแค่ถ้วยเดียวเพียงเท่านั้น เขาจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่
สองพันสำหรับเขานั่นคืออยู่ได้เป็นเดือนเลยนะ!
แซนเป็นเด็กที่เติบโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาไม่เคยรู้จักหรือเห็นหน้าพ่อแม่ของตัวเองเลยด้วยซ้ำ แม้ตอนเด็กๆจะรู้สึกน้อยใจอยู่บ้าง แต่พอมีเหล่าผีและวิญญาณมาคอยปลอบ เขาจึงค่อยๆรู้สึกดีขึ้น
แม้คนอื่นๆจะมองไม่เห็น แต่สำหรับแซน วิญญาณเหล่านั้นถือเป็นครอบครัวของเขา
แซนสามารถมองเห็นผีและวิญญาณได้ตั้งแต่ที่เขายังเป็นเด็ก ในตอนนั้นเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเป็นวิญญาณจนทำให้เผลอเข้าไปทักและพูดคุยด้วยบ่อยๆ และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ตัวเขาไม่มีเพื่อนคบเพราะถูกมองว่าเป็นตัวประหลาด
แต่แซนก็ไม่เสียใจหรอกนะ เพราะรอบตัวของเขายังคงมีเหล่าผีๆที่วนเวียนมาคุยเล่นด้วยกันบ่อยๆอย่างไม่ขาดสาย แม้จะแปลกใจอยู่บ้างที่บางครั้งผีที่มาวนเวียนอยู่รอบตัวเขาบางตนจะเป็นวิญญาณร้าย แต่พอผ่านไปสักพัก วิญญาณเหล่านั้นก็กลับกลายเป็นวิญญาณที่ดีขึ้นมาเองอย่างน่าประหลาด ทั้งวิญญาณแต่ละตนเองก็ยังดูจะเอ็นดูเขาเป็นพิเศษเสียด้วย
แซนเคยถามเหล่าวิญญาณรอบตัวถึงเรื่องนี้มาก่อนเช่นกัน ซึ่งอีกฝ่ายก็บอกว่าออร่ารอบๆตัวของเขานั้นมันแปลก เพราะมันสามารถทำให้เหล่าวิญญาณทุกตนรู้สึกสบายใจและได้ปล่อยวางกับเรื่องราวต่างๆในอดีต
แซนก็ไม่ค่อยเข้าใจเช่นเดียวกัน แต่เอาเป็นว่าวิญญาณที่อยู่รอบๆตัวของเขานั้นนิสัยดีทุกตนเลยก็พอ
นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องประหลาดเกี่ยวกับตัวเขาอีกเรื่อง นั่นก็คือของทุกอย่างที่เขาต้องการมอบให้กับเหล่าวิญญาณ แซนก็สามารถส่งให้กับมือได้เลย ไม่จำเป็นต้องจุดธูปหรือทำพิธีอะไรเลยด้วยซ้ำ
แม้ในตอนแรกๆจะยังดูงุนงง แต่พอผ่านไปหลายปี แซนก็เริ่มชินกับมันไปเองโดยอัตโนมัติ
สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่แซนอาศัยอยู่ตั้งแต่เด็กนั้นมีสภาพทางการเงินไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ดังนั้นเขาเลยไม่มีโอกาสได้ไปเรียนที่โรงเรียนเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ อาศัยหนังสือต่างๆที่พอมีอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในการเรียนรู้ด้วยตัวเองแทน
การอาศัยอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของแซนนั้นจำเป็นจะต้องทำงานได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถู ซักผ้า ทำอาหาร หรือแม้กระทั่งเย็บเสื้อผ้าให้กับตนเอง เขาล้วนผ่านมันมาทุกอย่างแล้ว
และเมื่อแซนอายุได้สิบหกปีที่ตามกำหนด เขาก็จำเป็นที่จะต้องออกไปจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและไปใช้ชีวิตของตัวเอง เพราะที่นี่นั้นจะไม่ดูแลเด็กที่อายุเกินสิบหกปีไปแล้ว แซนจึงได้เริ่มทำงานพิเศษต่างๆหาเลี้ยงตนเองตั้งแต่ตอนนั้น
จนตอนนี้แซนก็อายุยี่สิบปีแล้ว เขามีห้องเช่าและเงินเก็บเล็กๆเป็นของตัวเอง ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายอยู่กับเหล่าวิญญาณรอบตัวไปวันๆ บางทีก็มีรับจ้างทำงานจากเหล่าวิญญาณบ้าง ซึ่งของตอบแทนส่วนมากก็จะเป็นเงินเก็บจำนวนหนึ่งที่วิญญาณเหล่านั้นเคยเก็บไว้ตามที่ต่างๆตอนที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่
อันที่จริง เขาควรจะได้อยู่อย่างสงบกว่านี้ ถ้าหากในปีก่อน เรื่องประหลาดที่ทำให้โลกเปลี่ยนไปนั้นไม่ปรากฏขึ้นมา
แซนยังคงจำวันนั้นได้ดี วันที่ท้องฟ้าของโลกทั้งใบเปลี่ยนเป็นสีแดงสดราวกับเลือด ก่อนที่มันจะค่อยๆจางหายไปในวันรุ่งขึ้น
ทุกอย่างควรจะกลับมาเป็นวันธรรมดาๆเหมือนเดิม แต่ไม่เลย ในวันถัดมา ผู้คนบนโลกหลายล้านคนก็กลับมีสัญลักษณ์ประหลาดรูปสามเหลี่ยมสีดำสนิทปรากฏอยู่บนบริเวณหลังมือขวา
ไม่มีใครรู้ว่าสัญลักษณ์เหล่านี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ตาม สัญลักษณ์ที่ปรากฏขึ้นนั้นจะไม่มีวันลบออกได้ ซึ่งบางคนก็ถึงขั้นไปผ่าตัดเอาออกเลยด้วยซ้ำ แต่ก็น่าเศร้าที่สัญลักษณ์เหล่านั้นก็จะปรากฏขึ้นมาใหม่อยู่ดี
และในสามวันหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดง เหล่าผู้คนนับสิบล้านที่มีสัญลักษณ์ประหลาดบนหลังมือก็พลันหายตัวไปพร้อมๆกันอย่างไร้ร่องรอย สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้คนทั่วโลกเป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าจะพยายามหามากแค่ไหน พวกเขาก็ไม่สามารถหาคนเหล่านั้นได้พบ
แต่หลังจากที่เวลาผ่านไปอีกเจ็ดวัน คนที่หายตัวไปเหล่านั้นก็กลับมาอย่างน่าอัศจรรย์ มันควรจะเป็นเรื่องที่น่ายินดี หากคนที่กลับมานั้นกลับมาครบ และไม่นำข่าวร้ายกลับมาด้วย
ใช่แล้ว จากจำนวนของคนที่หายตัวไปหลายสิบล้านคน คนที่กลับมานั้นเหลือเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
นอกจากนี้ ผู้ที่กลับมายังบอกเล่าเรื่องราวที่ตัวเองไปพบเจอมาด้วยสีหน้าหวาดผวา บางคนถึงกับมีอาการทางจิตไปเลยก็มี และจากการรวบรวมข้อมูลของรัฐบาล ทำให้พอจะสรุปได้ว่าโลกที่คนเหล่านั้นไปพบเจอมานั้นเป็นโลกอีกใบหนึ่งที่มีไว้เพื่อทำภารกิจและเอาชีวิตรอด
โดยโลกสยองขวัญที่หลายคนไปพบเจอนั้นบ้างก็เป็นโลกเดียวกัน บ้างก็เป็นโลกที่ต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ ในโลกเหล่านั้นมักเต็มไปด้วยสิ่งที่ชวนขนลุกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นผี วิญญาณ หรือแม้กระทั่งสัตว์ประหลาด
ภารกิจหลักของผู้ที่เข้าไปนั้นเป็นภารกิจเดียวกันนั่นคือเอาชีวิตรอดให้ได้ภายในเจ็ดวัน และนอกจากภารกิจหลักแล้ว มันยังมีภารกิจรองของแต่ละคนที่จะได้รับแตกต่างกันไปด้วยเพื่อช่วยให้พวกเขามีชีวิตรอดได้ง่ายขึ้น
ซึ่งหากทำภารกิจอยู่รอดให้ครบเจ็ดวันได้สำเร็จก็จะได้กลับมาในโลกความเป็นจริงอีกครั้ง แต่ถ้าหากล้มเหลว นั่นก็อย่างที่เห็น พวกเขาเหล่านั้นจะไม่มีโอกาสได้กลับมาอีก หรือก็คือ หากตายที่นั่น ก็จะเท่ากับตายในโลกความเป็นจริงไปด้วย
ผู้คนที่ได้กลับมานั้น สัญลักษณ์บนมือขวาของพวกเขาจะหายไปเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น และสัญลักษณ์นั่นจะปรากฏขึ้นมาอีกทีก็ต่อเมื่อถึงเวลาของคนคนนั้นอีกครั้ง
มันควรเป็นเหตุการณ์ที่น่าหวาดผวาสำหรับเหล่ามนุษย์มากกว่านี้ หากใครบางคนไม่ได้มีพลังวิเศษที่เป็นพลังจากภารกิจติดตัวกลับมาด้วยจนทำให้เขานั้นมีพลังเหนือมนุษย์
และนั่นก็เป็นจุดเปลี่ยน คนที่ถูกดึงเข้าไปในโลกสยองขวัญแล้วกลับมาพร้อมพลังนั้นมีมากขึ้นเรื่อยๆจนทำให้โลกที่เคยสงบสุขเปลี่ยนไป ผู้คนหันมานับถือกันที่พลังและความแข็งแกร่งแทน การเตรียมตัวสำหรับเข้าสู่โลกสยองขวัญนั้นก็กลายเป็นเรื่องปกติที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป มันราวกับว่าได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนในยุคนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ
แต่ถึงอย่างนั้น ในหนึ่งปีที่ผ่านมา แซนก็ยังไม่เคยเข้าไปในโลกสยองขวัญเลยสักครั้ง แม้ว่าจะมีคนเคยเข้าไปหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นและยังคงใช้ชีวิตตามปกติของตนเองต่อไปเรื่อยๆ
แน่ล่ะ จะให้เขาไปสนใจเรื่องอื่นได้ยังไงกัน แค่ทำงานหาเลี้ยงตนเองตั้งแต่เช้าถึงมืดก็เหนื่อยจะแย่แล้ว ยิ่งยุคที่เศรษฐกิจไม่ค่อยจะดีจนของแพงขึ้นแบบนี้อีก
"ถ้าอย่างนั้น ไว้ผมจะซื้อโจ๊กมาฝากอีกนะครับ" แซนเอ่ยลากับวิญญาณของคุณลุงตรงหน้าพลางก้มหัวให้อีกฝ่ายไปครั้งหนึ่ง ก่อนจะเริ่มเดินกลับที่พักของตัวเอง
นี่ก็เที่ยงคืนแล้ว เขาต้องรีบกลับไปนอนพักเอาแรงเพื่อตื่นแต่เช้ามาทำงานของวันถัดไปอีก
งานของแซนที่ทำเป็นประจำก็ไม่มีอะไรพิเศษ ตอนเช้าเขาต้องตื่นตั้งแต่ตีสามครึ่งขึ้นมาเตรียมตัวไปช่วยคุณป้าหน้าปากซอยทำข้าวแกงขายในตอนเช้า แม้จะเช้าไปสักหน่อย แต่คุณป้าคนนี้ก็ใจดีมาก อีกฝ่ายให้ค่าจ้างกับเขามาเยอะพอสมควร
ช่วงสายๆ แซนก็ต้องไปเป็นเด็กล้างจานให้กับร้านอาหารแห่งหนึ่งจนถึงเย็น และหลังจากนั้น เขาก็ต้องไปล้างจานที่ร้านอาหารอีกแห่งจนดึกอย่างวันนี้ ซึ่งร้านสุดท้ายนั้น เขาจะได้เลิกเร็วหรือช้านั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับลูกค้าในแต่ละวันด้วย หากวันไหนลูกค้าน้อย เขาก็จะได้กลับบ้านไวหน่อย แต่ถ้าหากวันไหนลูกค้าเยอะอย่างเช่นวันนี้ กว่าจะได้กลับก็เกือบเที่ยงคืนนั่นแหละ
เมื่อกลับถึงห้องเช่าและเปิดประตูเข้าไป แซนก็พบกับวิญญาณของหญิงสาวสามคนลอยไปมารอเขาอยู่ในห้อง
แซนเผยยิ้มอ่อนโยนออกมา วิญญาณของหญิงสาวทั้งสามคนนี้นั้นอยู่กับเขามาตั้งแต่ที่เขายังอาศัยอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้ว พวกเธอไม่ต่างไปจากครอบครัวของเขาเลย
"น้องแซนกลับมาแล้ว วันนี้ก็เหนื่อยหน่อยนะครับ มา รีบอาบน้ำนอนไวๆดีกว่า เดี๋ยวปวดเมื่อยตรงไหนน้าจะช่วยนวดให้" วิญญาณสาวคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างใจดี
ใช่แล้ว แซนกับวิญญาณสาวทั้งสามนั้นอยู่กันแบบครอบครัวจริงๆ เขามักจะเรียกพวกเธอว่าน้า และพวกเธอก็มองเขาไม่ต่างไปจากลูกหลานคนหนึ่งเช่นกัน
"ไม่เป็นไรครับคุณน้า แค่คุณน้าช่วยออกไปหาข่าวเรื่องงานมาให้ ผมก็รู้สึกขอบคุณจะแย่แล้วครับ"
เนื่องจากแซนไม่ได้ซื้อโทรศัพท์มาใช้เพราะไม่ค่อยมีเงิน ดังนั้นข่าวสารเรื่องเกี่ยวกับที่ไหนมีรับสมัครพนักงานบ้างก็มักจะมาจากเหล่าน้าๆของเขาเสมอ
"โถ น้องแซนคนดีของน้า" วิญญาณสาวพุ่งเข้ามากอดคนตัวเล็กอย่างเอ็นดู ก่อนที่พวกเธอจะชะงักไปเมื่อสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง "เอ๊ะ! น้องแซน รอยบนหลังมือของหนูนี่มัน.."
เมื่อได้ยินแบบนั้น แซนจึงยกมือขึ้นมาดูทันที ก่อนจะพบว่าบนหลังมือขวาของเขานั้นค่อยๆปรากฏสัญลักษณ์รูปสามเหลี่ยมสีดำขึ้นมาชัดขึ้นเรื่อยๆ
แซนเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง
สัญลักษณ์นี่..
เขากำลังจะได้เข้าไปในโลกสยองขวัญอย่างนั้นหรอ!?
_________________________
เย่ ตอนแรกมาแล้วค่ะ อาจจะข้อมูลเยอะไปหน่อยเพราะต้องการให้คนอ่านเข้าใจพื้นฐานของโลกนี้ แต่มันไม่ได้จำยากเกินไปใช่มั้ยคะ แหะๆ
เปิดตัวลูกรักคนใหม่ น้องแซนเองค่ะ! เราขอฝากน้องไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของเหล่ามัมหมีทั้งหลายด้วยนะคะ น้องขยันทำงานและนิสัยดีมากๆ !
ฝากแท็กด้วยน้าตัวเองง #นั่นผีนะครับแซน