webnovel

ปั้นดินเป็นเดือน

จากดินสกปรกจะถูกปั้นให้เป็นเดือนได้จริงเหรอ? ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้นมันคุ้มค่าหรือไม่? สุดท้ายแล้วคนเราก็ตัดสินกันแค่ที่หน้าตาใช่ไหม? เบญจมินทร์ หรือ เบ็น เป็นเด็กหนุ่มที่เชื่อสุดใจเลยว่าคนทุกคนบนโลกใบนี้ดูดีในแบบของตัวเอง และทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้หากมีความพยายามมากพอ และด้วยความเชื่อที่ดูจะไปสะกิดต่อมความหมั่นไส้ของคู่อาฆาตนั้น ทำให้เขาถูกท้าแข่งในการประกวดทูตกิจกรรม ไม่ใช่ตัวพวกเขาเองที่จะลงแข่งหรอกนะ แต่พวกเขากำลังแข่งกันปั้นเด็กของตัวเองให้เป็นเดือนคณะให้ได้ต่างหาก ทว่า เด็กที่เบ็นต้องปั้นนั้นกลับเป็นรุ่นน้องปี 1 ที่แสนจืดจาง ใบหน้าห่างไกลจากคำว่าหล่อในยุคสมัยนี้ไปเลย แถมความมั่นใจยังอยู่ในระดับขั้นติดลบ ทุกคนเห็นตรงกันหมดว่าเบ็นไม่ต้องแข่งก็ได้ เพราะรู้ผลตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยด้วยซ้ำ แต่เบ็นเชื่อในตัวน้องคนนี้ และเชื่อในกันและกัน เขาจะปั้นเด็กคนนี้ให้เป็นดวงเดือนสีนวลบนฟ้าให้ได้! สุดท้ายแล้วพวกเขาจะสามารถพิสูจน์ให้โลกวัตถุนิยมใบนี้ยอมรับความพยายามของพวกเขาได้หรือไม่

NIMAJNEB · LGBT+
レビュー数が足りません
56 Chs

บทที่ 16.2

บรรยากาศในร้านหมูกระทะยามค่ำคืนดูจะหนาแน่นตลอดไม่เว้นแม้แต่วันธรรมดาแบบวันนี้ ผมและสนได้นั่งที่โต๊ะริมกระจก ห่างจากมุมตักอาหารไปไกลโข

โต๊ะนี้ไม่เหมาะแน่สำหรับคนทั่วไปที่จะมากินให้คุ้มราคา แต่โต๊ะนี้ดูจะเข้าท่าที่สุดแล้วสำหรับเราที่มาคุยกันมากกว่าจะกินให้อิ่ม

จะว่าไปผมแทบไม่แตะอะไรเลยด้วยซ้ำ หยิบหมูไก่มาไม่กี่ถาดก็หยุดกินแล้ว สนบ่นอุบอิบใส่ผมตลอดทุกครั้งที่ผมบอกว่าอิ่มแล้ว

              มันบ่นว่า 'พามาทั้งทีแดกให้สุดไปเลยดิวะ' ว่างั้นน่ะ แต่ผมกินไม่ลง ทั้งเรื่องของไนน์ เรื่องเด็กเส้นอะไรนั่น แล้วก็เรื่องของสนที่มันยังไม่เกริ่นมาสักทีอีก

              "สรุปแล้วมึงมีอะไร พูดมาสักที"

              "เดี๋ยวดิ กินให้อิ่มก่อน พอหิวแล้วอารมณ์จะเสียง่ายนะเว้ย"

"กูอิ่มแล้ว!"

"ก็ได้" สนถอนหายใจยาวเหยียดแล้วยอมวางตะเกียบลงแต่โดยดี "มา กูฟังอยู่"

"มึงชวนกูมาเองนะ มึงนั่นแหละมีอะไร"

"กูมีแน่ แต่กูก็รู้ว่ามึงก็มี กูให้มึงพูดก่อน"

ผมนึกไม่ออกว่าผมมีเรื่องอะไรอยากจะเคลียร์กับมันนักหนา ตอนนี้ในหัวของผมมีแต่เรื่องที่ไม่ถูกกับไอ้สนทั้งที่จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทำไมเราถึงเป็นแบบนี้

แต่แล้วผมก็นึกเรื่องนั้นขึ้นมาได้

"เออ เรื่องค่ารักษาพยาบาลตอนนั้น มึงจ่ายให้กูทำไมวะ"

"แค่ครึ่งเดียวเอง"

"ครึ่งเดียวก็เยอะแล้ว มึงคิดอะไรของมึงถึงมาทำดีกับกู ไหนจะเรื่องแคนตาลูปนั่นอีก"

"กูรู้นะว่ามึงเกลียดกู แต่กูบอกไว้ให้รู้เลยนะ กูไม่เคยเกลียดมึง"

"แล้วทำไม..."

ความเงียบก่อตัวขึ้นระหว่างเราสองคน มีเพียงเสียงดังปุดปุดของน้ำเดือดในกระทะ

"...มึงจำไม่ได้เลยสินะ จะว่าไป มึงคงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ"

"อะไรวะ"

"มึงจำวันที่เรามากินหมูกระทะด้วยกันสองคนเป็นวันแรกได้ไหม"

ผมพยายามรื้อแฟ้มข้อมูลในหัวสมองอย่างหนัก

เจอแล้ว! ครั้งแรกพวกเรามากินที่ร้านนี้ ตอนนั้นเราดูเข้ากันมากถึงขั้นที่หลายคนจับเราเป็นคู่จิ้นสน-เบ็น และผมจำได้ว่าเราพูดเปิดใจอะไรกันไปหลายอย่าง แต่กลับจำไม่ได้สักเรื่องเลย

"ที่ร้านนี้...ใช่ไหม"

"อ่า ตอนนั้นเราสนิทกันมากเลยนะ" สนเหม่อมองหน้าผม สายตาเลื่อนลอยเหมือนกำลังนึกย้อนไปในช่วงอดีตของเรา "ไม่รู้ว่ามึงจำได้ไหม ตอนนั้นกูตัดพ้อออกไปแบบไม่ได้ตั้งใจว่ากูอยากเป็นเดือนมากขนาดไหน มากขนาดที่จะพยายามทำทุกวิถีทางให้ได้เป็นเดือนให้ได้"

"มึงก็เลยต้องกลายเป็นศัตรูกับกูเหรอ?"

"มึงจะบ้าเหรอ" สนระเบิดหัวเราะออกมา "ตอนนั้นเราสัญญากันต่างหาก ว่าจะพยายามของตัวเองให้เต็มที่ แล้วถ้าใครแพ้หรือใครชนะก็จะต้องไม่อิจฉาหรือไม่โกรธกัน

"แต่แล้วคะแนนของมึงในช่วงแรกก็นำโด่ง พุ่งสูงกว่าทุกคนและสูงกว่ากูด้วย กูพยายามซ้อมแทบตายแต่พี่เชอร์รีก็เอาแต่หันไปสนใจมึง ตอนนั้นกูอิจฉามึงฉิบหาย

"ตอนนั้นกูคิดว่า ในเมื่อไม่มีใครเห็นความพยายามกูเลย กูก็คงต้องพยายามมากกว่านี้ จนในที่สุด คืนวันหนึ่งกูก็เป็นลมล้มไประหว่างการซ้อมแสดงละคร"

ผมนึกออกแล้ว ตอนนั้นอยู่ ๆ สนก็ล้มลงไปนอนกับพื้น โชคดีที่เราซ้อมกันในห้องแอร์ที่พื้นเรียบ สนจึงไม่เจ็บตัวอะไรมากเท่าผม พวกเรายกเลิกการซ้อมทันที ส่วนผมอยู่นอนเฝ้าไข้สนทั้งคืน

'เบ็นโชคดีที่เกิดมาแล้วมีเงินใช้มากมาย...มีอีกหลายคนที่เขายังขัดสนอยู่นะ'

นี่คือประโยคที่แม่เคยสอนเพียงไม่กี่ประโยคที่ผมจำได้ขึ้นใจ และมันผุดขึ้นมาในหัวผมตอนนั้นพอดี สนเป็นคนฐานะกลาง ๆ ไม่ได้ยากจนอะไรแต่ก็ไม่ได้รวยขนาดนั้น

พอถึงตอนนี้ ผมนึกออกแล้วว่าตอนที่สนเข้าโรงพยาบาล ผมตัดสินใจจ่ายค่าห้องและค่ารักษาให้สนไป มันไม่ได้เยอะแยะมากมายเท่าไหร่สำหรับผม แต่ถ้าเทียบกับสนก็คงเยอะพอสมควร

"แล้วมึงรู้ได้ไงว่ากูจ่ายค่ารักษาให้มึง กูบอกไปว่าเป็นพี่เชอร์รีไม่ใช่เหรอถ้าจำไม่ผิด"

"มึงจำได้แล้วใช่ไหม...นั่นแหละ กูจะรู้มาได้ยังไงก็ไม่เกี่ยว มันเกี่ยวกับที่มึงออกค่ารักษาให้กูแล้วกูก็อยากช่วยมึงกลับ แค่นั้น"

ความทรงจำของผมกับไอ้สนเริ่มไหลเข้าสมองผมมากขึ้นเหมือนจิ๊กซอว์ที่เริ่มประกอบเข้ากันเป็นรูปภาพขนาดใหญ่ เพียงแต่ตอนนี้มันยังกระจุกเป็นกลุ่ม ๆ อยู่ ผมรู้สึกว่ายังมีเรื่องของเราอีกเยอะที่ผมลืมไปแล้ว

"มันยังไม่จบแค่นั้น แม้ว่ากูจะพยายามหนักถึงขั้นไข้จับ แต่พี่เชอร์รีก็ยังคงไม่สนใจกู เอาแต่ตามดูแลมึงตลอด

"แต่กูก็คิดนะว่า ยังไงผลสุดท้ายก็อยู่ที่เสียงส่วนใหญ่ด้วยว่าจะเลือกโหวตให้ใครมากที่สุด กูเลยเลิกสนใจมึงกับพี่เชอร์รีแล้วหันมาซ้อมการแสดงให้หนักขึ้นกว่าเดิม

"แต่แล้ววันแข่งจริงก็มาถึง กูแสดงไปเต็มที่ เต็มกำลังที่กูซ้อมมา แต่มึง ไอ้เบ็น มึงกลับ..."

สนพูดค้างไว้แล้วถอนหายใจยาวออกมา ผมไม่ได้รับรังสีความโกรธจากสน ไม่ใช่ความเกลียดเช่นกัน แต่รังสีที่แผ่ออกมาเป็นคลื่นที่ดูสับสน และผมก็คิดว่าสนเองก็กำลังสับสนอยู่จนไม่รู้จะอธิบายออกมายังไง

"...แต่มึงก็ได้เป็นเดือนตามที่มึงอยากเป็นแล้วไม่ใช่เหรอวะ"

"มันไม่ใช่...มันก็ใช่...ตอนนั้นมึง...โกงกู"

"ห๊ะ!" ผมจำไม่ได้เลยว่าเคยไปโกงมันตอนไหน แล้วถ้าโกงจริง ๆ ผมควรจะเป็นเดือนไปแล้ว

"กูแสดงไปอย่างเต็มที่ แต่วันนั้นมึงกลับเล่นไม่เต็มที่ กูรู้นะว่ามึงแกล้งทำเป็นเล่นแย่ กูดูออก กูรู้ว่ามึงทำให้ละครตัวเองดูดรอปลงเพื่อให้กูชนะ"

มาถึงตอนนี้ผมจำเรื่องราวตอนนั้นได้แล้ว ความรู้สึกตอนนั้นคือความสงสารและความเห็นใจ

ผมจำภาพไม่ได้ชัดเจนนักแต่สิ่งที่ตรึงติดอยู่กับความทรงจำไว้คือความพยายามของสน ความพยายามที่ไม่มีใครเห็นหรือสนใจ แม้แต่พี่เชอร์รีเองก็ไม่เห็น

แต่ผมเห็นและรับรู้ได้

วันนั้นผมจึงตัดสินใจสละสิทธิ์แบบเนียน ๆ โดยการแกล้งจำบทผิด เล่นผิดคิว ยืนผิดตำแหน่ง ทุกอย่างในการแสดงของผมมันดูมั่วและวุ่นวายไปหมด ใช่ ผมตั้งใจจะให้มันเป็นแบบนั้น

ที่ทำไปนั้นก็เพื่อตัดตัวเองออกจากตัวเลือกที่สมควรได้รับตำแหน่ง และผมเชื่อมั่นว่าถ้าไม่มีผมแล้ว สนมันต้องได้เป็นเดือนแน่ ๆ แล้วก็ตามคาด สนได้เป็นเดือนตามที่หวังจริง ๆ

"กูก็แค่อยากให้มึงได้เป็นเดือน มึงอยากเป็นมากเลยนี่ถ้ากูจำไม่ผิด"

"ด้วยการดูถูกความพยายามของกู?" ผมอึ้งกับคำพูดของสน ตอนนั้นผมไม่ได้คิดถึงมุมมองนี้เลยด้วยซ้ำ ไม่ได้ไตร่ตรองให้ละเอียดถึงผลที่จะตามมา "มึงไม่รู้หรอกว่าหลังจากได้ตำแหน่งแล้วกูรู้สึกยังไงบ้าง กูรู้สึกผิดต่อมึงที่วันนั้นกูเผลอเล่าว่าอยากเป็นเดือนให้มึงฟัง แล้วพี่เชอร์รีก็บ่นกูทุกวัน พี่แม่งบอกว่า ถ้าวันนั้นมึงไม่ได้เล่นห่วยขนาดนั้น มึงคงได้เป็นเดือนไปแล้ว มึงหน้าตาดีกว่าหุ่นดีกว่ากูตั้งเยอะ"

"กูเนี่ยนะ?"

"เออ! ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูหนังหน้าตัวเองบ้างนะมึงน่ะ"

"เดี๋ยว กูว่ามึงใช้สำนวนผิดนะ" ผมหัวเราะให้กับการใช้สำนวนที่ไม่เข้าท่าของมันทั้งที่มันเรียนครูภาษาไทยแท้ ๆ

ครั้งนี้สนหัวเราะไปกับผมด้วย บรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลงไปบ้าง ไม่ได้มีออร่าของความอึดอัดอยู่แล้ว ตอนนี้มีแต่กลิ่นควันหมูลอยอยู่

"เรื่องนั้นเลยทำให้มึงเกลียดกูงั้นดิ"

"กูบอกแล้วว่ากูไม่เคยโกรธหรือเกลียดมึงเลย กูรู้สึกผิดและรู้สึกสมเพชตัวเองก็แค่นั้น...แต่กูยอมรับก็ได้ว่าความรู้สึกส่วนนึงก็เคืองมึงเหมือนกัน"

"กูขอโทษ ตอนนั้นกูแค่อยากให้เพื่อน...อยากให้มึงมีความสุข"

"เออ..." ผมสังเกตเห็นสนเขินนิดหน่อย แต่ก็แค่นิดเดียวเท่านั้น "มึงนั่นแหละที่มองค้อนกูทุกครั้งที่เจอกัน"

"ก็ตั้งแต่ที่มึงได้เดือน มึงก็ทำตัวแปลกไป ไม่คุยกับกู เมินกู กูก็นึกว่ามึงหยิ่ง"

"เหรอวะ กูก็จำไม่ค่อยได้แล้วว่ะ ตอนนั้นกูอาจจะกำลังเคืองมึงอยู่หรืออาจจะรู้สึกผิดจนไม่กล้าสู้หน้ามึงมั้ง กูก็จำไม่ค่อยได้"

...เหมือนผมจะนึกอะไรออกมาได้อีกครั้ง

ความรู้สึกในตอนนั้นกำลังผุดออกมา ผมลืมไปแล้วว่าเคยมีบาดแผลนี้อยู่ในใจ จะเรียกว่าลืมไปหมดแล้วก็คงไม่ได้หรอก เพราะความเจ็บปวดยังคงอยู่ แค่เพิ่งจำเหตุผลได้ก็เท่านั้น

เหมือนกับแมลงปอตัวนั้น...

มันคือการถูกทรยศหักหลัง ทั้งที่พยายามช่วยเหลือทุกคน อยากให้ทุกคนมีความสุข แต่เมื่อคนที่ผมช่วยรอดพ้นปัญหาไปได้แล้ว พวกเขาก็ทิ้งผมไปเลย ไม่ได้สนใจใยดีความรู้สึกของผมสักนิด

เพราะอย่างนี้เองผมถึงกลายมาเป็นคนแบบนี้ ช่วยเหลือคนอื่นไปเรื่อย แต่เรื่องของตัวเองกลับปิดประตูไว้แน่นไม่ยอมเปิดใจให้ใครเข้ามาช่วยได้ง่าย ๆ

เพราะรู้ตัวดีว่าเรียกร้องให้ใครมาช่วยเหลือก็ไม่มีใครสนใจผมเลย มีแต่ผมที่ดูแลคนอื่น คนอื่นไม่เคยมาดูแลผม ทั้งเด็กผู้หญิงในฝัน ทั้งพ่อ ทั้งไอ้พี่กุ้ง ทั้งไอ้สน...ไนน์เองก็ด้วย ทุกคนทิ้งผมไปหมด

...นี่คือสิ่งที่ผมคิดในตอนนั้น...

แต่ผมรู้แล้วว่าผมคิดผิด วันนี้สนมันช่วยทำให้ทุกอย่างกระจ่างชัดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ

ทุกคนไม่ได้ทิ้งผมไปไหนเลย ทั้งพ่อ และทุกคน ผมเองต่างหากที่ปิดกั้นหัวใจไว้ไม่ให้ใครเข้ามาดูแลเอง

โดยเฉพาะไนน์ ไนน์ไม่ใช่แค่คนที่ผมต้องดูแล และไนน์ก็ไม่ใช่แค่คนที่คอยดูแลผม

ไนน์พิเศษกว่านั้น

และตอนนี้ไนน์เองก็กำลังปิดกั้นหัวใจไม่ให้ผมยื่นมือเข้าไปช่วย...

"เบ็น!" สนดีดนิ้วใส่หน้าผมจนสะดุ้งเกือบทำกระทะหก "มึงเหม่อนานเกินไปแล้ว"

"โทษที คุยถึงไหนแล้วนะ"

"เรื่องที่กูเมินมึงไง มึงยกโทษให้กูได้ไหม" สนยกมือไหว้ขอโทษผมแล้วหลับตาปี๋

"เออ เอาเหอะ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว...ไหม?"

"ขนาดมึงยังลืมไปเกือบหมดแล้วก็คงผ่านไปก็ได้ม้าง" ลากเสียงยาวใส่ผมอีก "ว่าแต่ ขอบใจมึงมากนะ"

"เรื่องอะไรวะ"

"ทุกเรื่องที่ผ่านมา...มึงเป็นคนดีนะเบ็น ช่วยเหลือคนอื่นตลอด มึงเป็นฮีโร่ของกูเลยนะ เออ! กูจะตั้งฉายาให้มึงว่า ไอ้จุมออนแมน!" พูดเสร็จก็ทำท่าแปลงร่างเหมือนเด็กที่เลียนแบบท่าไอ้มดแดงอยู่

"ประสาทแดก!"

"ข้าคือไอ้จุมออนแมนผู้ผดุงความยุติธรรมให้โลกนี้เป็นสีชมพู!" ชักจะกวนตีนแล้วนะ ผมหยิบขวดน้ำที่เป็นแก้วมาเคาะหัวไอ้สน แต่มันหลบได้

เราแหย่เล่นกันไปมา ไม่ได้เล่นไม่ได้หัวเราะกับไอ้สนมานานมากจนลืมความรู้สึกนี้ไปแล้ว

"เอ่อ แล้วเรื่องไนน์ มึงจะเอายังไง" คนกำลังสนุกมึงพาเข้าเรื่องเครียดนะไอ้สนนะ

"กูไม่รู้ว่ะ แต่ไนน์มันจะขอถอนตัว" ผมหุบยิ้มลงทันที อารมณ์ถูกสับเปลี่ยนกระทันหัน

"มันถอนตัวได้ด้วยเหรอวะ"

"ถอนตัวไม่ได้หรอก แต่ถ้าไนน์จะไม่ไปจริง ๆ มันก็แค่ไม่ไปโผล่ในวันแข่งไง"

"มึงยอมแพ้แล้วเหรอวะ ถ้ามันเป็นไอ้ดรนะกูจะลากมาตีให้ตูดลายเลย"

"ดรกับไนน์มันไม่เหมือนกันไง ไนน์มันพยายามเท่าไหร่ผู้คนก็ไม่ยอมรับมันเลย ผิดกับดรที่...กูไม่ได้จะว่าดรมันไม่พยายามนะ...แต่ดรมันดูดีอยู่แล้ว ไม่ต้องพยายามมากก็ทำออกมาได้ดี"

"ก็เหมือนมึงกับกู กูเหมือนไนน์ที่พยายามแทบตายแต่ไม่มีใครสนใจ ส่วนมึงเหมือนดรที่ทำอะไรก็ดูดีไปหมด ไม่ต้องพยายามมากก็เรียกเสียงเชียร์ได้"

"อื้ม...ไม่ยุติธรรมเลยเนอะ"

"กูถึงเชื่อมาตลอดไง พยายามเท่าไหร่ก็ไม่มีผลอะไรหรอกถ้าหน้าตามึงไม่ดีพอ"

"..."

"แต่มึงทำให้กูเห็นแล้วนะว่าไนน์มันเปลี่ยนได้จริง ๆ กูเคยด่ามันว่าเป็นดินสกปรกใช่ไหม" ตอนที่พาไนน์ไปยิมวันแรกนั่นเอง "กูไปขอโทษมันมาแล้ว และบอกเรื่องที่พนันกันด้วย" ถึงตรงนี้ผมมองค้อนมันทันที ปากสว่างฉิบหาย "เฮ้ยใจเย็น ตอนนั้นกูไปชมมันต่างหาก แล้วมันก็ไม่ได้โกรธมึงด้วย...เอาเป็นว่ากูยอมรับ ครึ่งนึง ว่าคนเราเปลี่ยนแปลงกันได้"

"...แต่ก็ไม่ได้ดีพอ"

"เอาเป็นว่ามึงไปลากไนน์มาแข่งเดือนในวันจริงให้ได้ การท้าดวลของเรายังไม่จบจนกว่าจะถึงวันตัดสิน"

"ไม่ จะให้ไปแข่งทำไมในเมื่อทุกคนมองมันแบบนั้นไปแล้ว"

"หรือมึงอยากจะโกงกูอีกรอบ? หรือมึงอยากจะดูถูกความพยายามของคนคนนึงอีกรอบ?"

"..."