"เบ็น ตื่นได้แล้วจ้ะ เช้าแล้ว"
เสียงเรียกอันแสนอ่อนโยนปลุกเด็กชายตัวน้อยวัยสิบขวบให้ตื่นขึ้น เด็กชายขยี้ตาสีเหลืองทองทั้งสองข้างด้วยกำปั้นมือตามความเคยชิน ก่อนจะบิดขี้เกียจไปมาให้หายปวดหลังจากท่านั่งหลับ
ด้วยตัวที่ใหญ่กว่าเด็กผู้ชายอายุไล่เลี่ยกัน เขาจึงรู้สึกเมื่อยตัวมากกว่าปกติ แขนที่ถูกจากหัวสีบลอนด์กดทับเป็นรอยจ้ำแดง
"แม่ตื่นเช้าจัง หิวน้ำไหมครับ เดี๋ยวผมไปเอามาให้"
"ก็ดีจ้ะ กำลังคอแห้งเลย ขอบคุณมากนะจ๊ะ"
เด็กชายตัวจ้ำม่ำที่มีนามว่าเบ็นลุกขึ้นจากเก้าอี้ ผละตัวออกจากเตียงนอนของผู้เป็นแม่ที่กำลังง่วนอยู่กับการถักไหมพรม แล้วมุ่งตรงไปยังตู้เย็นเพื่อหยิบขวดน้ำเปล่ามารินใส่แก้วสองใบ
"papáล่ะฮะ"
"คุณพ่อเราไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้วจ้ะ"
เบ็นกลับมานั่งที่เดิมพร้อมแก้วน้ำสองใบ ใบหนึ่งของแม่ อีกใบหนึ่งให้ตัวเขาเอง
เด็กชายใจเสียทุกครั้งที่ต้องเห็นภาพเตียงนอนที่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์มากมายห้อยต่องแต่งอยู่ ไหนจะร่างกายของแม่ที่ซูบผอมจนผิวหนังติดกระดูก ผมที่เคยดกดำเงางามของแม่ตอนนี้ไม่เหลืออยู่บนหัวเลยแม้แต่เพียงเส้นเดียว
เบ็นและคุณแม่ที่เป็นลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นของเขาโชคดีที่มีฐานะร่ำรวย ชีวิตความเป็นอยู่จึงสุขสบายแม้จะอยู่ในห้องพักผู้ป่วยก็ตาม ห้องพักนี้เป็นห้องเดี่ยวขนาดใหญ่พิเศษ มีแต่คนมีตังค์เท่านั้นที่จะจ่ายไหว
แต่ถึงอย่างนั้นความร่ำรวยและเงินทองก็ไม่ได้ทำให้ผู้เป็นแม่นั้นหายจากอาการป่วยได้เลย โรคมะเร็งระยะสุดท้ายกำลังพรากชีวิตของเธอไปจากลูกชายวัยเพียงสิบขวบ
เขาไม่อาจรับรู้ได้เลยว่าคุณแม่ของตนต้องเผชิญความเจ็บปวดอะไรมาบ้าง เขาเด็กเกินกว่าจะเข้าใจโลกแห่งความเป็นจริงที่ปวดร้าว
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขารู้ดี นั่นคือช่วงเวลาแห่งความสุขที่จะได้อยู่กับแม่นั้นกำลังหมดไปทุกวันทุกวัน นาฬิกาทรายแห่งชีวิตไม่เคยหยุดทำงาน ทรายยังคงไหลลงมาสู่เบื้องล่างไม่จบไม่สิ้น และเม็ดทรายของผู้เป็นแม่นั้นกำลังจะหมดลง
"วันนี้ไปเที่ยวกันไหมจ๊ะ"
"ไม่เอา ผมอยากให้แม่นอนพัก"
"ไม่ต้องมาทำตัวเป็นคุณหมอเลย" ผู้เป็นแม่ผละมือผอมบางออกจากไหมพรมแล้วเอื้อมไปหยิกแก้มลูกชายเล่น นานแล้วที่เบ็นไม่ได้ถูกแม่หยอกเล่นด้วย "แม่นอนจนเบื่อแล้วเนี่ย เด็กบ๊อง"
คำว่า เด็กบ๊อง ดึงเด็กชายให้คิดถึงช่วงเวลาเก่า ๆ ช่วงเวลาที่พ่อกับแม่และตัวเขาอยู่ด้วยกันในบ้านแสนสุข กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา มีคุณแม่อ่านนิทานให้ก่อนนอน มีคุณพ่อชวนออกไปวิ่งเล่น
"แม่จะไม่เหนื่อยเหรอ ถักไหมพรมก็สนุกดีนะฮะ"
"ไม่เหนื่อยหรอกจ้ะ" ตั้งแต่ที่เธอต้องอาศัยอยู่ในโรงพยาบาลแทนบ้านตัวเอง งานอดิเรกของเธอก็เปลี่ยนไปเป็นการถักไหมพรมเพื่อฆ่าเวลาก่อนที่เวลาจะชิงฆ่าเธอก่อน เธอถักจนได้ตุ๊กตาหลายต่อหลายตัว เยอะถึงขั้นนำไปขายได้เงินมากมาย "ว่าไงจ๊ะ ฮีโร่ของแม่ ช่วยแม่ให้หนีไปจากที่นี่ได้ไหม สักชั่วโมงก็ยังดี"
ผู้เป็นแม่พูดด้วยน้ำเสียงเชิงหยอกล้อก็จริง แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความเศร้า เบ็นสัมผัสได้ว่าแม่อยากหนีออกไปจากที่นี่จริง ๆ ไม่ใช่แค่ชั่วโมงเดียว แต่อยากจะหนีไปตลอดกาล
"...งั้นก็ได้ครับ"
กว่าจะออกมาจากโรงพยาบาลได้ก็ใช้เวลานานพอสมควร เบ็นเข็นรถเข็นผู้ป่วยไปตามทิศทางที่ผู้เป็นแม่เรียกร้องอยู่หลายที่
เด็กชายไม่เคยบ่นที่จะต้องเข็นแม่ไปไหนมาไหนเลย เขาไม่เคยเขินอายกับสายตาของผู้คนรอบข้างที่สอดส่องมา เบ็นกลับมีความสุขด้วยซ้ำที่ได้ใช้เวลาอยู่กับแม่
เขาอยากใกล้ชิดกับแม่ให้ได้มากที่สุดตราบเท่าที่เธอยังคงหายใจอยู่
ขากลับ ทั้งคู่ผ่านร้านขายตุ๊กตาร้านหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างจากโรงพยาบาลนัก ภายในร้านอัดแน่นไปด้วยตุ๊กตาน้อยใหญ่นานาชนิด ทั้งตุ๊กตาหมี ทั้งตุ๊กตาจากการ์ตูน ทั้งหมอนใบเล็กใบใหญ่
"เบ็นลูก จอดป้ายนี้ก่อนจ้ะ"
"เอี๊ยด" ผู้เป็นลูกเลียนเสียงเบรคของรถประจำทางผิดกับที่เขาหยุดรถเข็นให้แม่อย่างนุ่มนวล"แม่จะมาทำอะไรที่นี่ครับ"
"แม่อยากซื้อของขวัญวันเกิดให้ลูกไงจ๊ะ"
"วันเกิดผมมันผ่านมาตั้งสามเดือนแล้วนะแม่" เด็กชายหัวเราะร่าเริงแซวแม่ ไม่ได้มีเจตนาจะกล่าวว่าเธอแต่อย่างใด แต่เขากลับโทษตัวเองทันทีที่พูดแบบนั้นออกไป
"จำตุ๊กตาหมีสวมชุดฮีโร่ได้ไหมลูก ตอนลูกอายุแปดขวบ ตอนที่พ่อมาโรงพยาบาลที่นี่เพราะขาหัก ลูกร้องไห้งอแงอยากได้ตัวนั้นจนแม่ต้องตีลูกไปหลายป้าบเหมือนกัน"
"ตุ๊กตาหมี? อ๋อ ตอนนั้นแม่บอกว่า..." เขาดัดเสียงแหลมสูงแล้วพยายามทำท่าทางเลียนแบบแม่ "'เบ็นเป็นเด็กดื้อ เพราะงั้นแม่จะไม่ซื้อให้หรอก' ผมจำได้ฮะ" ทำเอาแม่ปล่อยก๊ากเสียงดังลั่นจนรถเข็นสั่นไปหมด
"จ้ะ ก็ตอนนั้นลูกดื้อจริง ๆ นะ" เธอเอื้อมมือไปลูบหัวของเด็กชายผมบลอนด์ "แต่ตอนนี้เบ็นเป็นเด็กน่ารัก แม่เลยอยากซื้อให้"
"ผมไม่ได้อยากได้แล้วสักหน่อย..."
"ว้า แย่เลยเนอะ งั้นเรากลับกันเถอะ"
"เดี๋ยวสิ ผม...ถ้าแม่อยากซื้อให้ ผมเอาตัวนั้นก็ได้"
เด็กชายเบ็นอยากได้ตุ๊กตาตัวนั้นมากถึงมากที่สุด แต่ก็อายเกินกว่าที่จะบอกว่าเขาอยากจะได้มัน ตอนเด็ก ๆ เขาไม่ได้เขินที่จะเรียกร้องให้แม่ซื้อ แต่พอโตขึ้น แม้จะเพียงแค่สองปีก็ตาม เขากลับอายที่เป็นผู้ชายแต่อยากจะได้ตุ๊กตาหมีสีชมพูมากอด
ตุ๊กตาหมีตัวนั้นมีขนาดพอดีกับอ้อมกอดของเด็กชายวัยสิบขวบ แต่มันก็ไม่ได้ใหญ่เทอะทะเกินไป เขาคิดไว้เสมอว่าถ้าได้มาจะยัดมันใส่กระเป๋าไปกอดที่โรงเรียนทุกวัน
"ขอบคุณครับแม่" เด็กชายยิ้มแป้นจนแก้มปริ เขาชะโงกหัวไปหอมแก้มผู้เป็นแม่พลางกอดตุ๊กตาหมีสีชมพูตัวนั้นไว้แน่น
"ยังไม่หมดเท่านี้น้า" คุณแม่ทำตาโตลุกวาวราวกับกำลังจะมีเรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้น
"อะไรเหรอฮะ"
"เดี๋ยวแม่หยิบของวิเศษจากกระเป๋าสี่มิติก่อนนะครับ" เธอล้วงมือลงไปหยิบของในกระเป๋าที่ถักด้วยไหมพรมจากฝีมือของเธอเอง ทำท่าควานหาของไม่เจอทั้ง ๆ ที่กระเป๋าไม่ได้ใหญ่อะไรเลย
เด็กชายพยายามชะเง้อมองของที่อยู่ข้างในแต่ก็ไม่เห็นอะไรเลย เขาตื่นเต้นมากแม้จะไม่รู้ว่าของขวัญชิ้นที่สองนั้นคืออะไร
"ฉึบ!" ในที่สุดเธอก็หยิบของสิ่งหนึ่งขึ้นมา "นี่ไง! เครื่องแบบของThe BOYD!"
สิ่งที่เธอหยิบออกมาคือเสื้อแขนกุดสีเหลืองอ่อนที่ถักขึ้นมาอย่างปราณีตด้วยไหมพรม ที่ด้านหลังมีฮู๊ดเอาไว้สำหรับใส่คลุมส่วนหัวได้ด้วย ส่วนตรงกลางอกมีอักษรตัวบีสีน้ำเงินเข้มปักอยู่
เสื้อไหมพรมตัวนี้ไม่ได้มีขนาดใหญ่พอจะให้เบ็นใส่ แต่มันพอเหมาะกับขนาดของตุ๊กตาที่เบ็นอุ้มอยู่
เธอแบมือทำท่าขอยืมตุ๊กตาหมี เมื่อได้มา เธอก็จัดการสวมเครื่องแบบให้กับหมีตัวนั้น
เด็กชายรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก "...แม่ถักให้เหรอครับ" เขาได้ทั้งตุ๊กตาหมี แล้วในวันเดียวกันก็ยังได้เสื้อคลุมของซุปเปอร์ฮีโร่ที่จินตนาการไว้ตั้งแต่เด็ก
"จ้ะ แม่ถักตั้งนานเลยนะ กว่าจะได้ตามแบบที่เราเคยวาดไว้ด้วยกัน"
"ขอบคุณครับ" เบ็นทำท่าเขินอายพลางเอื้อมมือไปรับตุ๊กตากลับมา "ขอบคุณจริง ๆ ฮะ"
"ถ้าแม่ไม่อยู่แล้ว..." เธอหยุดกลางคันแล้วเปลี่ยนคำพูดใหม่ "ถ้าวันไหนคิดถึงแม่ ก็เอาคุณหมีตัวนี้มากอดไว้นะ ดูแลรักษามันให้ดีด้วยนะจ๊ะ ตัวนี้มีตัวเดียวในโลกเลยน้า"
"อื้ม ผมจะดูแลมันอย่างดีเลย จะเอามันมากอดทุกครั้งที่คิดถึงแม่เลย ถ้าแม่ไม่อยู่..." แต่แล้วคำพูดต่อมากลับจุกอยู่ในลำคอของเขาจนไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้
เด็กชายหัวทองตัวน้อยรับรู้ได้แล้วว่าผู้เป็นแม่กำลังจะสื่อถึงอะไร
ไม่นานน้ำตาของเด็กชายก็ไหลบ่าลงมา ร้องไห้โยเยเสียงดังไม่เกรงใจคนรอบข้าง
ผู้เป็นแม่เห็นลูกชายตัวน้อยเป็นอย่างนี้ก็แทบหัวใจสลาย ลูกชายของเธอสูญเสียแม่แท้ ๆ ไปครั้งนึงแล้ว มันคงจะทรมานมากถ้าหากเธอจะต้องตายจากไปด้วยอีกคน หัวใจของเธอกำลังจะหยุดเต้น แต่เธอไม่อยากให้หัวใจของลูกน้อยถูกทำลายตามเธอไปด้วย
แม้จะกั้นน้ำตาไว้แทบไม่อยู่ แต่เธอพยายามอย่างสุดความสามารถในการยื่นมืออันอ่อนแรงมาที่ใบหน้าของเบ็น เธอใช้นิ้วลูบไล้ดวงตาสีทองประกายทั้งสองข้างนั้นอย่างอ่อนโยน
เธอรวบรวมความกล้าแล้วเปล่งเสียงขึ้นจมูกเหมือนเป็ดขึ้นมา "ข้า วายร้ายแห่งดาวหมายเลขสิบสาม จะบุกเข้ามายังโลกใบนี้ แล้วข้าจะมากำจัดมนุษย์ทุกคนที่ขวางหน้า ว๊ากฮะฮะฮะฮ่า" เธอสวมบทวายร้ายได้อย่างแนบเนียนสุด ๆ ทำเอาเบ็นหลุดขำเบา ๆ ออกมา จากนั้นเธอก็เปลี่ยนเป็นเสียงของหญิงสาวผู้โชคร้าย "ว้าย ไม่นะThe BOYD อยู่ไหน ช่วยพวกเราด้วย ช่วยปกป้องพวกเราที"
เด็กชายใช้มือขยี้ตาที่แดงก่ำของตัวเองแล้วฉีกยิ้มกว้าง แต่แล้วก็ทำหน้าเคร่งขรึมขึ้น ตอนนี้เขาแปลงร่างกลายเป็นฮีโร่หัวทองไปแล้ว "The BOYD มาช่วยทุกคนแล้ว! ไม่ต้องห่วง ข้าจะปกป้องทุกคนเอง"
"ไม่มีทางหรอก!" วายร้ายจากต่างดาวยื่นมือไปจี้เอวของฮีโร่ตัวน้อย "จุดอ่อนของเจ้าคือตรงนี้สินะ"
เบ็นหัวเราะร่าพร้อมดีดดิ้นไปมา คนเป็นแม่รู้ดีว่าลูกชายของเธอนั้นบ้าจี้มากขนาดไหน
ทั้งคู่ลั่นเสียงหัวเราะกันอย่างสดใส บรรยากาศกลับมาสดชื่นอีกครั้งหนึ่งที่หน้าร้านขายตุ๊กตา
แต่เวลาแห่งความสุขวิ่งผ่านไปเร็วเหลือเกิน เธอไอแห้ง ๆ ออกมาหลายต่อหลายรอบ เบ็นเห็นดังนั้นจึงเลิกเล่นแล้วหันมาลูบหลังให้แม่แทน
แววตาของเธอหม่นหมองลงอีกครั้ง เธอรู้ดีว่าอีกไม่นานเธอก็จะไม่ได้เล่นแบบนี้กับลูกของเธออีกต่อไปแล้ว
"ลูกอยากเป็นฮีโร่ใช่ไหมจ๊ะ"
"ครับ แต่ผมไม่มีพลังอะไรเลยนะ"
"มีสิ เบ็นมีพลังวิเศษอยู่ในตัวนะ จำที่แม่บอกได้ไหมจ๊ะ"
"ที่ว่า ทุกคนมีพลังอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว...ใช่ไหมครับ"
"ใช่จ้ะ แค่บางคนยังไม่รู้ตัว" เธอโน้มตัวไปหาลูกชายเพื่อกุมมือทั้งสองข้างของเขาไว้แน่น "แค่สองมือของเบ็นนี้ก็ช่วยคนได้เยอะแล้วนะ"
"ยังไงฮะ?"
เธอไม่รู้จะอธิบายสิ่งวิเศษในตัวลูกน้อยอย่างไร ใช้เวลาสักพักกว่าเธอจะตอบ "คนเราทุกคนมีเรื่องแย่ ๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตเสมอ และคนส่วนใหญ่เลือกที่จะโยนสิ่งแย่ ๆ ใส่คนอื่นต่อ เป็นแบบนี้ไม่จบไม่สิ้น"
"...เหมือนพวกวายร้ายเหรอครับ"
ผู้เป็นแม่หัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดูต่อความใสซื่อบริสุทธ์ของลูกชาย เบ็นในตอนนี้ยังไม่รู้ประสีประสาอะไรมากมายนัก
"เพราะงั้นโลกเราถึงต้องมีฮีโร่ไงจ๊ะ เพื่อที่จะหยุดสิ่งเหล่านั้น และเพื่อช่วยผู้คนที่น่าสงสาร สัญญากับแม่นะว่าจะไม่เอาเปรียบหรือรังแกคนที่อ่อนแอกว่าลูก"
"ครับ"
"สัญญากับแม่นะว่าลูกจะดูแลและปกป้องคนที่อ่อนแอกว่าเสมอ"
เด็กชายตัวน้อยเริ่มไม่มั่นใจ เขาคิดมาเสมอว่าเขาอ่อนแอเกินไป ทุกวันนี้เขายังร้องไห้งอแงอยู่เลย ไม่มีฮีโร่คนไหนขี้แยหรอก
"...ผมทำไม่ได้หรอก"
"ทำไมลูกถึงคิดว่าตัวเองจะทำไม่ได้ล่ะ หืม? ลูกมีดีกว่าที่ลูกคิดเยอะเลยนะ รู้ไหม" ผู้เป็นแม่เอื้อมมือไปลูบหัวของเด็กน้อยอย่างทะนุทนอมราวทารกแรกเกิด "แม่เชื่อนะว่าลูกของแม่จะโตไปเป็นเด็กที่ดีและน่ารัก" สายตาอันอ่อนโยนของเธอจ้องมองไปยังดวงตาสีทองคู่นั้น "สัญญากับแม่นะครับ"
เบ็นรับรู้ได้ถึงความเชื่อมั่นที่สัมผัสได้จากมือของผู้หญิงที่เขารักที่สุด
"ผมสัญญาครับ"
"สู้ไหมจ๊ะ!"
"สู้ฮะ!"