By Harmonic
เนินผาบริเวณนั้นดูมืดทะมึนและน่าสะพรึงกลัวในยามรัตติกาลท่ามกลางพายุฤดูหนาวซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในรอบหนึ่งร้อยปีในภูมิประเทศแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่ปกติจะแห้งแล้ง สายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างหนัก พร้อมเสียงหวีดหวิวของลมอื้ออึงสะท้อนก้องกับพื้นดินปนหินและทรายก่อให้เกิดเสียงที่น่าสะพรึงและเงาแปลก ๆ ทาบบนผืนดินหินภูเขาไฟขรุขระ ผนวกกับเสียงคลื่นในทะเลที่กระหน่ำแรงผิดปกติในภูมิประเทศแถบทะเลอีเจียนยิ่งทวีความหวาดหวั่นให้กับผู้ที่เดินอยู่คนเดียว ความมืดซึ่งปกคลุมรอบตัวถูกจุดให้สว่างวาบด้วยสายฟ้าแลบเป็นระยะ พร้อมเสียงก้องกัมปนาทราวฟ้าจะถล่ม พื้นดินเฉอะแฉะด้วยน้ำฝนจนกลายเป็นโคลนลื่นและเจิ่งนองเป็นหย่อม ๆ อยู่ทั่วทุกบริเวณ
อนาสเตเซีย คิริยาคอส เด็กสาววัยสิบห้าปีเดินล้มลุกคลุกคลานฝ่าความมืดบนเนินผาที่มีต้นส้ม ต้นมะกอก สลับกับไม้พุ่มเตี้ยที่ขึ้นประปราย เธออาศัยเพียงแสงสว่างวาบเป็นระยะของสายฟ้าเพื่อมองหาทางและร่องรอยของบ้านเรือนหรือสังคมมนุษย์ที่ใกล้ที่สุดที่เธอพอจะไปขอความช่วยเหลือได้ เธอร้องตะโกนหาคนซึ่งอาจมีอยู่แถวนั้นแข่งกับเสียงพายุคะนองและเสียงคลื่นลมในทะเลที่กระหน่ำซัดเข้ากระทบหน้าผาซึ่งอยู่ไม่ไกลนักจนแสบคอ
เสียงคลื่นในทะเลที่ซัดสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทวีความหวาดหวั่นให้กับอนาสเตเซียราวกับจะซัดหัวใจของเธอให้ดำดิ่งสู่หุบเหวลึก เด็กสาวละล้าละลังระหว่างพยายามวิ่งหาความช่วยเหลือที่มองไม่เห็นวี่แววต่อไปหรือจะกลับไปพยายามช่วยเหลือมารดาของเธอเอง สายฟ้าแลบตามด้วยเสียงฟ้าคำรนและเสียงคลื่นที่กระหน่ำซัดเข้าสู่หน้าผาอย่างบ้าคลั่งเพิ่มความเครียดให้กับเธอ อนาสเตเซียตัดสินใจฉับพลัน เธอถอดเสื้อแจ็กเก็ตออก เหลือไว้แต่ชุดกระโปรงแบบเดรสสั้นตัวเดียวด้านใน จากนั้นก็เริ่มฉีกทึ้งเสื้อตัวนั้น ทั้งที่ฟันสั่นกึก ๆ ด้วยความหนาวท่ามกลางสายฝนที่สาดเทลงมาไม่ขาดสาย มือที่สั่นเทาถือเสื้อไว้พลางใช้ฟันช่วยฉีกชายเสื้อที่หนากว่าส่วนอื่น ๆ อย่างยากเย็น ในที่สุดเธอก็สามารถฉีกและดึงเสื้อตัวนั้นจนขาดเป็นสองชิ้นได้สำเร็จ แล้วจึงนำมาผูกต่อกันเป็นเส้นเชือกยาวประมาณเกือบหนึ่งเมตรครึ่ง
อนาสเตเซียย้อนกลับทางเดิมไปยังอุโมงค์ดินที่เธอเพิ่งมุดขึ้นมา เธอวิ่งควานหาก้อนหินขนาดเหมาะมือในบริเวณนั้น และมุดกลับเข้าไปในอุโมงค์เพื่อพยายามใช้ทั้งหินและมือขุดอุโมงค์ส่วนที่แคบให้ใหญ่ขึ้น เพื่อให้อแนสซ่า คิริยาคอส มารดาที่กำลังท้องแก่ของเธอมุดออกมาได้ อุโมงค์นั้นลึกประมาณสี่เมตร แต่ช่วงที่แคบจน อแนสซ่าซึ่งตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนลอดออกมาไม่ได้นั้นมีความยาวไม่ถึงยี่สิบเซนติเมตร ซึ่งเป็นช่วงเกือบสุดปลายอุโมงค์ด้านล่างเหนือถ้ำริมหน้าผา ถ้ำที่โจรเรียกค่าไถ่นำอนาสเตเซียและอแนสซ่ามาขังไว้ โพรงดินที่ถูกขุดไว้อยู่ก่อนแล้วเป็นอุโมงค์เก่าแก่นี้ แม้จะมีเนื้อดินค่อนข้างแน่นแต่ไม่แข็งนัก ทำให้ไม่ร่วนซุยจนทะลายลงมาและขณะเดียวกันก็ขุดได้ง่ายด้วย โดยเฉพาะในยามที่ฝนกำลังตกจนดินแฉะและนิ่มทำให้ขุดขยายออกได้ง่าย ถึงกระนั้นมือทั้งสองของอนาสเตเซียก็เปิง เล็บฉีก และมีเลือดไหลซิบ ๆ จากการตะลุยขุดด้วยมือเปล่า
เวลาสั้น ๆ ที่ผ่านไปกลับนานเหมือนชั่วกัลปาวสานสำหรับเธอ ไหล่ทั้งสองข้างปวดล้าลงไปถึงช่วงหลังและสันเอว หากเธอไม่ได้นำพาและมุ่งมั่นขุดต่อไปภายในอุโมงแคบ จนสองแขนอ่อนล้า และมือทั้งสองข้างเจ็บเกร็งราวจะเป็นตะคริว เลือดที่ซึมไหลจากมือชุ่มพอ ๆ กับน้ำฝน
"แม่ แม่ทนหน่อยนะ หนูจะขุดดินให้โพรงกว้างขึ้น แม่จะได้ลอดออกได้ แม่ยืนหลบนะคะ เดี๋ยวดินกับหินร่วงโดนแม่" อนาสเตเซียร้องตะโกนบอกมารดาที่ติดอยู่ในถ้ำด้านล่าง
"ไม่ทันหรอกอัณญ่า น้ำทะเลถึงเอวแม่แล้ว ลูกรีบหนีไปเถอะ อย่าห่วงแม่ ไปหาที่ซ่อน…อย่าให้มันเจอตัวลูกได้ ไปหาตำรวจหรือหาคน…ช่วยนะลูก" เสียงอู้อี้ดังลอดออกมาจากอุโมงค์แคบพร้อมเสียงหอบหายใจถี่ถูกกลบด้วยเสียงฝนฟ้าคะนองจนฟังแทบไม่ได้ยิน
"หนูไม่ไปค่ะแม่ หนูไม่ไป" อนาสเตเซียร้องตอบขณะที่มือยังทำงาน น้ำตาทะลักออกมาจากดวงตาทั้งสองด้วยความเครียดและหวาดกลัว ผนวกกับความเหนื่อยล้าและห่วงใยชีวิตมารดา "แม่คอยนะคะ หนูจะช่วยแม่ให้ได้ค่ะ"
เสียงที่เงียบไปของผู้เป็นแม่สร้างความพรั่นพรึงให้กับผู้เป็นลูกอีกระลอกใหม่ เด็กสาวเร่งมือพร้อมตะโกนเรียก
"แม่ แม่คะ ส่งเสียงให้หนูได้ยินหน่อย น้ำขึ้นถึงไหนแล้วคะแม่"
"ไปเถอะลูก ไม่ต้องห่วงแม่… ให้แม่ตาย .. พร้อมน้องในนี้เถอะ หนูหนีไป ..แม่จะได้ชื่นใจว่า..ลูกสาวของแม่..มีชีวิตรอด" เสียงอแนสซ่าดังขาดเป็นห้วง ๆ ถี่ขึ้นด้วยต้องขืนร่างสู้กับกระแสน้ำทะเลที่ซัดผ่านประตูเหล็กเข้ามาในถ้ำและกวาดทุกอย่างในถ้ำกลับคืนสู่ท้องทะเล อแนสซ่าต้องคว้าโซ่ที่ยึดติดกับผนังถ้ำของที่จำขังนี้ไว้เป็นหลักเพื่อไม่ให้ถูกน้ำกวาดซัดกระแทกผนังถ้ำไปมาและอาจไปชนเข้ากับประตูเหล็กที่ปิดกั้นถ้ำส่วนบนเพื่อเป็นที่คุมขัง "..ไปเถอะ อัณญ่า หนีไป …ลูกต้องรอด และใช้ชีวิตต่อไป..แทนแม่และน้องที่ไม่มีโอกาส…ลืมตาดูโลก" เสียงของเธอสั่นเครือปนเสียงสะอื้นเมื่อพูดถึงตอนนี้ "น้ำทะลักเข้ามา…เกือบท่วมอกแม่แล้ว หนูอย่าทรมานตัวเองเลย จำไว้ว่า…แม่รักหนูมาก …มากเหลือเกิน ..และขอให้แม่ได้อยู่ในความทรงจำ…ของลูก..ตลอดไป อัณญ่า.. หนีไป…" เสียงอแนสซ่ากล่าวสั่งเสียด้วยถ้อยคำที่ราวกับการลาจากชั่วนิรันดร์ยิ่งทำให้อนาสเตเซียฝืนตัวเองเร่งขุดดินให้เร็วขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ด้วยหวังว่าหากน้ำท่วมสูง อแนสซ่ายังอาจจะว่ายน้ำขึ้นมาเพื่อโผล่พ้นปลายอุโมงค์ที่เธอกำลังพยายามขยายให้กว้างอยู่นี้ได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งเชือกจำเป็นที่ทำจากเสื้อซึ่งไม่รู้ว่าปมที่มัดต่อกันจะเหนียวพอให้อแนสซ่าโหนตัวขึ้นมาได้หรือไม่
อนาสเตเซียเร่งขุดอยู่นาน ในที่สุดเธอก็สามารถขยายโพรงด้านที่แคบที่สุดออกได้กว้างขึ้นบ้างเล็กน้อย เธอขุดต่อไปจนเกือบถึงปลายอีกด้านของโพรงดิน แต่น้ำได้ท่วมขึ้นมาเต็มช่องด้านล่างจนหมด เด็กสาวหวีดร้องออกมาอย่างหวาดกลัว เธอกลั้นใจดำหัวลงไปในโพรงดินที่มีน้ำท่วมเต็ม แหวกว่ายดำหาร่างของอแนสซ่าท่ามกลางน้ำทะเลที่ขังอยู่เต็มถ้ำในความมืดมิด
ในที่สุดความพยายามของเธอก็เป็นผลสำเร็จ มือของเธอควานเจอร่างของอแนสซ่า อนาสเตเซียคว้าร่างมารดาไว้ เธอใช้เชือกจำเป็นที่สร้างขึ้นผูกเอวตัวเองไว้กับใต้อกของมารดา และพยายามลากขึ้นมาที่โพรงดินด้านบนที่เห็นแสงสว่างลางเลือนเป็นครั้งคราวจากสายฟ้าที่แลบอยู่เหนือศีรษะ
ด้วยมัวแต่ห่วงที่จะช่วยชีวิตอแนสซ่า เด็กสาวจึงไม่ทันสังเกตความนิ่งเงียบอย่างผิดปกติของร่างนั้น อนาสเตเซียโผล่หัวขึ้นเหนือผิวน้ำเพื่อสูดลมหายใจ น้ำที่ท่วมขึ้นไปถึงอุโมงค์นั้น ขณะนี้ท่วมสูงขึ้นกว่าเดิมอีกเกือบสามสิบเซนติเมตร ในขณะที่สายฝนยังคงกระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้น้ำที่ไหลจากพื้นดินด้านบนลงท่วมอุโมงค์เร็วขึ้น ก่อนพยายามยันเท้ากับพื้นดินที่แสนลื่นในโพรงอย่างทุลักทุเล เพื่อที่จะลากร่างอแนสซ่าขึ้นมาให้ได้ หลังจากพยายามและลื่นไถลกลับลงไปในอุโมงค์อยู่หลายครั้ง เด็กสาวก็สามารถดึงอแนสซ่าจนศีรษะของเธอโผล่พ้นน้ำขึ้นมาได้สำเร็จ หากแต่ว่าร่างนั้นไม่มีลมหายใจ ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ
ความหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ อนาสเตเซียเขย่าร่างของมารดาแรง ๆ สายฟ้าวาบจุดประกายสว่างจ้าให้กับท้องฟ้าที่มืดมิด ช่วยให้เธอเห็นใบหน้าซีดไร้สีเลือดของอแนสซ่าอย่างชัดเจน ดวงตาซึ่งปิดสนิทและใบหน้าซีดขาว มือทั้งสองข้างเย็นชืด อนาสเตเซียค่อย ๆ รับรู้อย่างช้า ๆ ว่ามารดาของเธอได้จากไปแล้วในช่วงที่ถูกน้ำท่วมจนเต็มผนังถ้ำ
ไม่ บางทีอาจจะยังทัน อนาสเตเซียคิดในขณะที่รีบดึงร่างของอแนสซ่าให้พ้นขึ้นมาจากอุโมงค์แคบ เธอทุลักทุเลอยู่นานในที่สุดก็ทำได้สำเร็จ อนาสเตเซียวางร่างมารดาลงกับพื้นดินด้านบน และเริ่มพยายามผายปอดและปั๊มหัวใจให้อแนสซ่าเท่าที่เคยได้เรียนจากที่โรงเรียน
เวลาผ่านไปโดยที่ไม่รู้ว่านานแค่ไหน อนาสเตเซียเฝ้าเวียนปั๊มหัวใจ ผายปอด และเป่าลมหายใจเข้าไปในปากของอแนสซ่า เธอลองดึงแขนทั้งสองของอแนสซ่าให้ลุกขึ้นในท่านั่งและผ่อนกลับลงนอนเพื่อกระตุ้นการหายใจและเอาน้ำออกจากปอดอยู่หลายครั้ง หลัง เอว คอและแขนของเด็กสาวปวดล้าไปหมด
ในที่สุดความพยายามของเธอก็ประสบผล อแนสซ่าสำลักน้ำออกมาจากปอด และเริ่มหายใจแผ่ว ๆ เด็กสาวดีใจอย่างไม่มีอะไรจะเปรียบ เธอรีบบีบจมูกมารดาและเป่าลมหายใจเข้าไปในปาก สลับกับปั๊มหัวใจตามจังหวะ ในที่สุดอแนสซ่าก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น อนาสเตเซียเอามือลูบน้ำออกจากใบหน้ามารดา หัวใจพองโตด้วยความสุขและความหวังว่าอแนสซ่าจะรอดปลอดภัย
"แม่ขา แม่ แม่รู้สึกตัวแล้วหรือคะแม่" อนาสเตเซียกระซิบเบา ๆ กับร่างที่ยังแทบไม่ไหวติงของมารดา อแนสซ่าปรือตาขึ้นช้า ๆ และจ้องมองไปบนฟ้าอย่างงุนงงชั่วครู่ก่อนจะกลับมาสบตาที่รอคอยอย่างคาดหวังของบุตรสาว ดวงตาสีน้ำเงินเข้มใสของอแนสซ่าฉายทั้งความรักความห่วงใยในตัวลูกรวมถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทั้งที่ปอด ช่องท้องและทั่วร่างกายอันบอบช้ำมากเกินกว่าหญิงท้องแก่อย่างเธอจะทานทนได้
"อัณญ่า" เธอปริปากออกมาเบา ๆ ได้เพียงคำเดียวก็ต้องสำลักทั้งเลือดและน้ำออกมาจากปาก
"แม่ แม่อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย" ผู้เป็นลูกสาวร้อง "หนูจะพาแม่ไปจากที่นี่นะจ๊ะ แม่อดทนหน่อยนะ"
อแนสซ่าหลับตาอย่างเจ็บปวด พลางฝืนยิ้มให้ลูกสาวอย่างยากเย็น
"อย่าลำบากเลยลูก ให้แม่ได้พักผ่อนอยู่ตรงนี้เถอะนะ แม่เหนื่อยเต็มทีแล้ว ลูกไปเถอะ อย่าห่วงแม่เลย" น้ำตาไหลรินมาทางหางตาทั้งสองข้างของอแนสซ่า เธอสะท้อนหายใจช้า ๆ อย่างเจ็บปวดภายในทรวงอกที่เหมือนมีน้ำทะเลท่วมปอด และยังความปวดร้าวอย่างสาหัสที่บริเวณมดลูก อุณหภูมิที่ลดต่ำเพียงไม่กี่องศาในฤดูหนาวท่ามกลางสายฝนทำให้เลือดในกายเย็นจนแทบแข็ง
"ไม่ค่ะแม่ ไม่ หนูต้องพาแม่กลับไปบ้านให้ได้ค่ะ แม่ทนอีกนิดนะคะ เห็นแก่น้องนะคะแม่" เด็กสาววิงวอนพร้อมกับประคองร่างมารดาให้ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล เธอไม่สนใจเสียงห้ามปรามของอแนสซ่า ฝืนกายพาอแนสซ่าก้าวเดินไปทีละนิดอย่างช้าเต็มที เลือดเริ่มไหลซึมลงมาตามขาของอแนสซ่า พร้อมกับความปวดเร้าที่สุดแสนทรมานที่ช่องท้องของเธอ หญิงสาวสะดุ้งสุดแรงก่อนที่คนทั้งคู่จะล้มลงหลังจากที่เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว
"ไปเถอะอัณญ่า แม่ไปไม่ไหวแล้ว ทิ้งแม่ไว้ตรงนี้ ลูกต้องหนีเอาชีวิตรอดก่อนนะ"
"ไม่ค่ะแม่ หนูทิ้งแม่ไว้ตรงนี้ไม่ได้ ถ้าเจ้าโจรกลับมาเจอแม่เข้าจะทำยังไง หนูคงไม่มีทางให้อภัยตัวเองได้ แม่ทนหน่อยนะคะ หนูจะพาแม่ไปให้พ้นตรงนี้ก่อน ไปกับหนูนะคะ แม่ ทนอีกนิดนะคะ"
อแนสซ่ายิ้มเพลีย ๆ ร่างกายของเธอเจ็บปวดทรมานอย่างไม่อาจบรรยายได้ แต่ภายในหัวใจกลับเจ็บสะท้อนลึกยิ่งกว่า ด้วยความเวทนาบุตรสาวที่พยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อให้มารดาและน้องชายมีชีวิตรอด
หากแต่ในใจอแนสซ่ารู้ดีว่ามันเป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์ สัญชาติญาณความเป็นแม่บอกเธอว่า ชีวิตน้อย ๆ อีกชีวิตที่เคยอยู่ในครรภ์ของเธอบัดนี้ได้สูญสิ้นไปแล้วไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงก่อน น้ำตาไหลรินช้า ๆ ไม่ขาดสาย จูเลียน ลูกชายของเธอและคิโรสผู้ยังไม่เคยมีโอกาสลืมตาขึ้นมาดูโลก
อนาสเตเซียไม่นำพากับความหนาวเย็นและร่างกายที่ชุ่มทั้งน้ำฝนและน้ำทะเล เธอขืนตัวดึงมารดาขึ้นอีกครั้งและค่อย ๆ ก้าวทีละก้าวมุ่งหน้าลงจากเนินเขาสู่ฝั่งทะเลด้านล่าง ซึ่งน่าจะเป็นที่โล่งกว่าแนวป่าทางเบื้องหลังของทั้งคู่
ทั้งสองเดินต่อไปอีกราวหนึ่งชั่วโมงอแนสซ่าก็ทนต่อความหนาวและความเจ็บปวดบอบช้ำภายในร่างกายไม่ไหว หญิงสาวล้มลงอีกครั้งตรงบริเวณเชิงเขา เสียงคลื่นกระทบฝั่งทำให้รู้ว่าทั้งคู่อยู่ไม่ไกลจากชายทะเลมากนัก
"แม่ไปต่อไม่ได้อีกแล้วจริง ๆ อย่าฝืนแม่เลยลูก แม่จะคอยอยู่ตรงนี้ หนูรีบเดินต่อไปสิจ๊ะ ไปตามคนมาช่วยแม่ก็ได้" อแนสซ่ากล่าวกึ่งวิงวอนอย่างอ่อนเพลียและเจ็บปวดทรมาน ปากของเธอทั้งซีดทั้งสั่นและมือเย็นจนแทบแข็ง
อนาสเตเซียมองหน้าที่ซีดยิ่งกว่ากระดาษของมารดา และมองไปรอบ ๆ ตัว เธอไม่อาจฝืนสังขารมารดาต่อไป เด็กสาวเหลือบมองเลือดที่ไหลซึมช้า ๆ ลงมาตามขาของมารดา และร่างกายที่บอบช้ำอย่างหนักของเธอ
ร่างกายของอนาสเตเซียเองก็อ่อนล้าเกินกว่าจะฝืนต่อไปได้เช่นกัน เธอฝืนกายแบกรับน้ำหนักมารดาที่แม้จะผอมบางแต่ก็อุ้มท้องแก่ถึงเจ็ดเดือนไว้ พาเดินมาร่วมชั่วโมงท่ามกลางความหนาวเย็นจนอ่อนแรงและก้าวขาไม่ออก พายุที่ซัดกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งตลอดคืนค่อย ๆ อ่อนตัวลงเหลือเพียงสายฝนโปรยปรายและสงบลงไปในที่สุด
เธอเหลียวมองรอบตัวอีกครั้งในขณะที่ฟ้าเริ่มสางแลเห็นควันไฟอยู่ไกล ๆ อนาสเตเซียเพ่งตามองและแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เบื้องหน้าห่างไปประมาณหนึ่งกิโลเมตรมีกระท่อมไม้ตั้งอยู่หลังหนึ่ง แม้จะยังไม่สว่างดีแต่ในความมืดสลัวนั้น มันก็ดูเหมือนเป็นบ้านของชาวไร่หรือเหมืองแถวนั้น และน่าจะมีคนอยู่ในนั้นเพราะเธอแลเห็นแสงไฟที่หน้าต่างบ้าน และควันไฟซึ่งลอยขึ้นมาจากปล่องไฟ ความหวังที่จะช่วยให้อแนสซ่ามีชีวิตรอดผุดขึ้นในหัวใจดวงน้อย ๆ อนาสเตเซียก้มลงมองมารดาพร้อมส่งเสียงวิงวอน
"แม่คอยหนูตรงนี้นะคะ หนูเห็นบ้านคนข้างหน้า หนูจะวิ่งไปขอความช่วยเหลือเขาค่ะ แม่ทนอีกนิดนะคะแม่ ตรงนี้น่าจะปลอดภัย เราพ้นแนวป่ามาแล้ว แม่คอยนะคะ"
อแนสซ่ายิ้มรับบาง ๆ อย่างอ่อนแรงขณะที่ลูกสาวผ่อนร่างของเธอลงนอนกับพื้นพิงโคนต้นมะกอก อนาสเตเซียไม่รู้มาก่อนเลยว่า นั่นคือครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้เห็นมารดาขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
เด็กสาวดูจนแน่ใจว่ามารดาปลอดภัยก็รีบเร่งมุ่งตรงไปยังบ้านหลังนั้นที่อยู่ห่างออกไปไม่มาก แต่ก็เหมือนจะนานแสนนานสำหรับสองขาที่อ่อนล้าและหนาวเย็นจนแทบยืนไม่ไหว
"ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย" อนาสเตเซียยืนทุบประตูบ้าน "มีใครอยู่บ้างคะ ช่วยพวกเราด้วย"
ประตูเปิดออกชายวัยประมาณห้าสิบปีใส่เสื้อตาสก๊อตสีแดงสลับน้ำตาลและกางเกงยีนส์ที่ซ้อนทับอยู่ในรองเท้าบู๊ทยางยืนอยู่ตรงกรอบประตู
"แม่หนู มาทำอะไรแต่เช้ามืดขนาดนี้" ชายวัยกลางคนถามพร้อมกับหันไปมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนเตาผิง แล้วหันกลับมามองสภาพสะบักสะบอมในร่างผอมสูงเก้งก้างของเด็กสาว ผมสีทองเลอะโคลนจนสกปรกไปหมด เลือดเกรอะกรังตามมือ บาดแผลถลอกและฟกช้ำตามแขนขาและทั่วบริเวณที่โผล่พ้นเสื้อผ้า ดวงตาสีฟ้านั้นทั้งหวาดหวั่น อ่อนล้า เท้าทั้งคู่เปล่าเปลือยและถลอกปอกเปิกมีเลือดไหลซึม "หนูถูกใครทำร้ายมาหรือ"
"ช่วยแม่หนูด้วยค่ะ หนูทิ้งแม่ให้นอนอยู่ที่โคนต้นไม้ตรงเชิงเขาโน่น แม่เดินต่อไปไม่ไหวแล้ว แม่ท้องแก่ และเลือดก็ออกด้วย"
อนาสเตเซียละล่ำละลักพร้อมกับคว้าแขนชายวัยกลางคนให้เดินตามเธอมา
เขาหยุดคิดนิดหนึ่งก่อนจะพยักหน้า
"เดี๋ยวนะ ให้ฉันไปโทรศัพท์บอกตำรวจก่อน หนูว่าแม่หนูตกเลือดหรือ ฉันคงต้องเรียกหน่วยพยาบาลด้วย" เขาเดินไปยกหูโทรศัพท์พูดอะไรบางอย่าง ก่อนจะหันมาถามคำถามเด็กสาว "หนูชื่ออะไร"
"อนาสเตเซีย คิริยาคอสค่ะ" เด็กสาวรีบบอก ใจร้อนรนห่วงมารดาจนแทบจะกรีดเสียงออกมา
ดวงตาสีน้ำตาลของชายวัยกลางคนเบิกขึ้นนิดหนึ่งอย่างประหลาดใจเมื่อได้ยินชื่อคิริยาคอส ก่อนหันไปบอกชื่อของเธอกับทางปลายสาย จากนั้นก็คว้าปืนยาวเหนือเตาผิงพร้อมไฟฉาย แล้วตามเธอออกจากบ้านมา
เขาคว้าเสื้อโค๊ตกันหนาวตัวหนึ่งติดมือออกมาส่งให้เด็กสาวที่หนาวสั่นจนฟันกระทบกันแทบตลอดเวลา
"ใส่เสื้อคลุมไว้ ก่อนจะหนาวตายเสียก่อนแม่หนู" เมื่อเห็นสีหน้ากังวลของเด็กสาวชาวไร่วัยกลางคนก็รีบกล่าวต่อ "ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวฉันถอดของฉันให้แม่ของหนูสวมได้ รีบไปกันเถอะ"
อนาสเตเซียสวมเสื้อไว้กล่าวขอบคุณ ก่อนจะรีบก้าวนำชายวัยกลางคนย้อนกลับไปจุดที่เธอทิ้งอแนสซ่าไว้ร่วมสามสิบนาที ความรักและห่วงใยในตัวมารดาทำให้เธอมีพละกำลังอย่างประหลาดที่จะฝืนร่างกายอันอ่อนล้าและหนาวเหน็บให้ก้าวเดินต่อไป ทั้งคู่ใช้เวลาอีกกว่าสิบนาทีจึงมาถึง ร่างที่เคยนั่งพิงกับต้นมะกอกของอแนสซ่าร่วงลงมานอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น ดูสงบนิ่งจนชายชาวไร่สังหรณ์ใจไม่ดี
"แม่ แม่คะ หนูตามคนมาช่วยแล้ว แม่ แม่ตื่นนะคะแม่" อนาสเตเซียประคองร่างมารดาขึ้นไว้กับอก ใช้มือลูบไล้ใบหน้าพร้อมกับเอ่ยเรียกเธอเบา ๆ ฝ่ามือเธอสะดุดกึกเมื่อมันลากผ่านจมูกที่ไร้ลมหายใจ ใบหน้านั้นเย็นชืด
"แม่ แม่" ความกลัวถาโถมกลับคืนมาจับขั้วหัวใจจนหนาวเหน็บ "แม่"
อนาสเตเซียเริ่มเขย่าร่างมารดาเบา ๆ แต่ไม่ได้รับการตอบสนองใด ๆ เธอพยายามฟื้นคืนลมหายใจให้อแนสซ่าอีกครั้ง ทั้งเป่าปาก ปั๊มหัวใจ และผายปอด แต่มันสายเกินไป และร่างกายของอแนสซ่าบอบช้ำและอ่อนล้าจนเกินไป เธอพยายามอยู่นาน แต่ก็ไม่อาจนำลมหายใจกลับคืนสู่ร่างไร้วิญญาณของอแนสซ่าได้สำเร็จ
เด็กสาวเริ่มร้องไห้เงียบ ๆ น้ำตาไหลทะลักออกมาราวกับทำนบพัง เธอร้องไห้อยู่นานและค่อย ๆ กลายเป็นเสียงร้องโหยหวนราวจะขาดใจดังก้องไปทั่วบริเวณเชิงผาจวบจนฟ้าสาง พระอาทิตย์ลอยโผล่ขึ้นมาเหนือขอบฟ้าทางฝั่งทะเล
ชายวัยกลางคนคุกเข่าลงนั่งข้าง ๆ เด็กสาวผมทองและเอามือวางบนไหล่ของเธอด้วยอาการเห็นใจ เขานั่งนิ่งไม่ไหวติงแต่น้ำตาแห่งความเวทนาไหลซึมออกมาจากดวงตา เขาไม่อาจปลอบโยนเด็กสาวได้ดีกว่านี้ และไม่อาจพรากเธอออกมาจากร่างที่ไร้วิญญาณของมารดาในอ้อมกอดของเธอได้
เสียงเฮลิคอปเตอร์ที่มีชื่อของคิริยาคอสปรากฎอยู่บนตัวเครื่องบินมาวนอยู่เหนือศีรษะ และค่อย ๆ ร่อนลงจอดตรงพื้นที่โล่งว่างห่างไปไม่ไกลนัก เขาหันกลับไปมอง ความช่วยเหลือที่เขาได้โทรไปขอไว้มาถึงแล้ว แต่เขาสงสัยว่าจะยังมีอะไรเหลือให้ช่วยได้อีกนอกจากร่างที่ไร้วิญญาณของหญิงสาวท้องแก่และร่างที่ยังมีชีวิตแต่หัวใจแหลกสลายของเด็กหญิงวัยรุ่นคนนี้
นวนิยายเรื่องนี้ผู้เขียน เขียนขึ้นเป็นเรื่องแรกเมื่อราวกลางปี 2008
บริบทหลายอย่างจากวันที่เขียนจนถึงวันนี้มีความเปลี่ยนแปลงไปมาก ทั้งสภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และที่สำคัญคือเทคโนโลยี
ในการอ่านขอให้เข้าใจว่ามันคือเรื่องราวในช่วงปี 2008 ซึ่งหลายคนยังใช้ PDA Phone กับ Blackberry อยู่ iPhone ยังไม่ได้แพร่หลายมากเท่าทุกวันนี้ รวมถึง iPad ในวันนั้นก็ยังไม่ถือกำเนิดขึ้นค่ะ
หากมีอะไรผิดพลาด สามารถให้คำแนะนำผู้เขียนได้เสมอค่ะ
Reading this novel, you might need to read from your laptop or PC as the Thai font goes funny on other gadgets, eg: iPad | iPhone.