webnovel

Chapter 1.5

"ทริปนี้นายอยากซื้ออะไรก็ซื้อ จะซื้อบ้านที่ฮ่องกงก็ตามใจ"

"..."

"ฉันจ่ายเอง"

หลังจากได้ยินแบบนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะปิดไอแพดแล้วยื่นมือไปดึงไหล่ของนับหนึ่งให้หันเข้าหาตัวผม คนถูกดึงเป็นมึนงงไปนิดหน่อยและตัวแข็งทื่อไปเลย

"อยู่นิ่งๆ" ผมพูดเบาๆ แล้วยื่นมือไปแตะหน้าผากของเพื่อนสนิท

"ทำไม" นับหนึ่งขมวดคิ้วจ้องผมตาเขม็ง

แตะๆ คลำๆ หน้าผากแล้วก็ไม่ได้รับรู้ถึงอุณหภูมิที่สูงกว่าปกติจึงถอนมือออก "ไม่มีไข้แต่ทำไมพูดจาแปลกๆ"

"มึง..." คนถูกหาว่าป่วยถลึงตาใส่ผมอย่างโมโห

"หรือล้มหัวฟาดมา" เริ่มกังวลแล้วนะ

"กูปกติดี!" เสียงทุ้มต่ำว่าลั่นรถแล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่นคล้ายจะโกรธผม "ไอ้เหี้ย ไอ้เหี้ย"

อ้าว ด่ากูอีก อะไรวะ

เจออาการบึ้งตึงของนับหนึ่งเข้าก็ไม่ได้เครียดอะไรเพราะมันเป็นแบบนี้ประจำอยู่แล้ว ผมเลยบ่นให้มันพึมพำบ่นกับกุมารทองไป เดี๋ยวอีกสักพักก็คงจะอารมณ์ดีขึ้นเอง ปล่อยๆ ไปก่อน

และแล้วพวกเราก็ฝ่ารถติดมาถึงร้านมาดามลิลลี่ได้ก่อนเวลานัดถึงสิบห้านาที มันค่อนข้างทำให้ผมเบาใจเลย

ผมแจ้งพนักงานต้อนรับของร้านถึงชื่อและห้องที่จองไว้ ก่อนจะเดินตามพนักงานเข้าร้านไป โดยมีคุณบอสจอมหงุดหงิดที่ยังไม่หายหน้าบึ้งเดินตามหลังมา

เชื่อเถอะ ถ้าคุณศศิกานต์มาก็คงต้องยิ้มแย้มการค้าอยู่ดี ตอนนี้อยากจะทำหน้าบูดเป็นตูดหมึกก็เรื่องของมัน

"จะสั่งอาหารเลยรึเปล่าครับ" พนักงานเด็กหนุ่มวัยยี่สิบเอ่ยถามผมอย่างระมัดระวังเพราะไอ้คนที่มากับผมมันแผ่รังสีหงุดหงิดไปทั่วซะชาวบ้านไม่กล้าเข้าใกล้

ผมพลิกนาฬิกาข้อมือดูเวลาเล็กน้อย "เริ่มเสิร์ฟอาหารตอนสองทุ่มนะ" หยิบรายการอาหารเล่มโตส่งให้เจ้านาย "คุณจะสั่งเองหรือให้ผมสั่ง"

"ฉันจะสั่งเอง" ปกตินับหนึ่งไม่ชอบทำเรื่องอะไรจูจี้จุกจิกนัก อย่างสั่งอาหารก็มักให้ผมเป็นคนทำ ตัวเองนั่งกระดิกเท้ารอกินอย่างเดียว

ผมถึงบอกไงว่าวันนี้มันแปลก ไม่รู้เพราะสนิทกันจนเห็นไส้เห็นพุงรู้นิสัยดีซะจนมีอะไรแปลกประหลาดนิดหน่อยก็จับสังเกตได้แล้ว ปล่อยให้เจ้านายเอาแต่ใจสั่งอาหารไป

พอฟังรายการอาหารที่สั่งไปแล้วมันก็คุ้นๆ จะเป็นอาหารจานโปรดของผม หันเหสายตาไปมองเพื่อนสนิทตัวเองเงียบๆ ด้วยความรู้สึกไม่ชิน

จู่ๆ เหมือนได้รับความใส่ใจจากเพื่อนก็อดที่จะขนลุกไม่ได้... มันตั้งใจสั่งให้ผมเหรอ

"เอาเท่านี้ก่อน" นับหนึ่งว่าเสียงขรึมหน้านิ่งแล้วส่งเล่มเมนูคืนไปก่อนจะหันมาสบตาผม "มองอะไร"

"ไม่มีอะไร" ยิ้มน้อยๆ แล้วหันมาสนใจแฟ้มเอกสารในมือ

"ฮึ ฉันสั่งของที่ฉันชอบกินต่างหาก" เหรอ อ้อเหรอ อ้อๆ ตามนั้นๆ

ผมเพียงยิ้มไม่ตอบโต้อะไรแต่รอยยิ้มของผมมันคงดูกวนประสาทล่ะมั้ง

"หยุดยิ้มได้แล้ว น่าเกลียด" มันสั่งพร้อมกับพ่นลมหายใจระบายอารมณ์งุ่นง่าน "แล้วนี่กี่โมงแล้ว คุณศศิกานต์จะมายัง"

"ยังไม่ถึงเวลานัด" อีกห้านาทีถึงจะเป็นเวลานัด "รถอาจจะติด"

แต่ถ้าคุณศศิกานต์มาเลทเกินสิบนาทีเมื่อไร... การคุยธุรกิจวันนี้เป็นอันจบทันที นับหนึ่งค่อนข้างเป็นคนตรงต่อเวลา อันที่จริงคนตรงต่อเวลามันคือผมต่างหาก นับหนึ่งจะไม่ชอบคนที่มาเลท หากเลทถึงสิบนาทีจะไม่มีการคุยงานแล้ว จะต้องติดต่อนัดใหม่อีกครั้งที่ไม่รู้ว่าจะมีเวลาว่างอีกเมื่อไร

อืม ถ้าวันนี้คุณศศิกานต์มาไม่ทัน จะต้องนัดใหม่อีกทีเดือนหน้าเลย

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จวบจบถึงหนึ่งทุ่มสิบห้านาทีก็ยังคงไร้เงาของคุ๋ค้าธุรกิจคนสำคัญในวันนี้ ผมถอนหายใจเล็กน้อยแล้วหันไปมองนับหนึ่งที่กดกริ่งเรียกพนักงานของร้านแล้ว

พนักงานหนุ่มคนเดิมเป็นคนเดินเข้ามา "ต้องการอะไรเพิ่มเหรอครับ"

"เริ่มเสิร์ฟอาหารขึ้นโต๊ะเลย ไม่รอแล้ว" นับหนึ่งว่าอย่างหงุดหงิดพลางเคาะโต๊ะไปด้วย "แล้วก็ถ้ามีคนจะมาที่ห้องนี้ก็ไม่ต้องนะ ไล่กลับไปเลย"

"นับหนึ่ง!" ผมหน้าเปลี่ยนสี "อย่าพาล!"

"ก็เขาไม่ตรงต่อเวลาเอง" ดวงตาคมกริบจ้องผมอย่างดุดันและไร้ความเอื่อยเฉื่อยแบบทุกที "เขานัดฉันหลายครั้งและครั้งนี้ฉันก็ให้โอกาสแล้วแต่เขามาสายเอง ที่สำคัญไม่โทรมาแจ้งด้วย"

ผมเถียงไม่ออก "ผมรู้ว่าคุณกำลังไม่พอใจแต่รักษาภาพลักษณ์หน่อย"

จะไล่คนแบบนั้นก็ใจร้ายและเสียมารยาทเกินไป

"ฉันไม่สน" นับหนึ่งหันกลับไปมองพนักงานเสิร์ฟ "ไปเอาอาหารมาได้แล้ว"

เด็กหนุ่มรีบเดินออกไปแทบจะทันทีที่ได้รับอนุญาต ส่วนผมก็ลุกขึ้นไปคุยโทรศัพท์กับคุณศศิกานต์บอกว่าไม่ต้องมาแล้ว เนื่องจากมาไม่ทันตามนัด แน่นอนว่าคุณศศิกานต์ต้องหาเหตุผลล้านแปดมาโน้มน้าวผม

"ถึงคุณมาตอนนี้ บอสของผมก็ไม่คุยครับ" สุดท้ายก็ต้องพูดอย่างเด็ดขาดและไร้เยื่อใย "หวังว่าครั้งหน้าคุณจะรักษาเวลา สวัสดีครับ"

กดตัดสายแล้วหมุนตัวกลับมานั่งที่เก้าอี้ พอมองหน้าบอสเจ้าอารมณ์แล้วก็เป็นมึนอีก เพราะจู่ๆ มันก็ยิ้มอารมณ์ดีซะงั้น เป็นไบโพล่าร์มั้ยเนี่ย

"เขาว่ายังไง" นับหนึ่งถามถึงคู่สนทนาในสายเมื่อครู่

"ก็บอกรถติด กำลังมา อยากให้ช่วยรอ" หยิบแก้วน้ำขึ้นดื่ม

"เขาก็ควรออกมาก่อนรถติด"

ก็จริง... พวกเราเปลี่ยนหัวข้อสนทนาใหม่เป็นเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับแผนการเที่วฮ่องกงในเสาร์อาทิตย์นี้ บรรยากาศเคร่งเครียดจางหายไปเหลือแค่การพูดคุยแบบเพื่อน

"จำได้ว่าพี่ออสตินมีบ้านที่ฮ่องกง เราพักที่นั่นก็ได้" นับหนึ่งเหมือนเพิ่งจะนึกได้ "จะได้ไม่ต้องเสียค่าโรงแรม"

"พี่ชายคุณนี่มีบ้านอยู่ทุกที่เลยมั้ย" พูดขำๆ แต่ก็แอบอิจฉานะ อิจฉาความรวยของคนบ้านนี้

เฮ้อ ผมต้องเกิดอีกกี่ชาติถึงจะรวยกับเขานะ

กำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง และระหว่างนั้นก็มีคนเปิดประตูห้องอาหารส่วนตัวของเรา ตอนแรกผมคิดว่าเป็นพนักงานเสิร์ฟที่นำอาหารมาจึงไม่ได้หันไปมอง

"อ้าว ขอโทษครับ ผมมาห้องผิด"

เสียงอ่อนโยนนุ่มนวลน่าฟังกระแทกเข้ามาในหูของผม ความรู้สึกคุ้นเคยในน้ำเสียงทำให้ผมต้องหันไปมอง เมื่อหันไปมองก็เห็นว่าคนที่กำลังจะเดินจากไปก็ชะงักแล้วรีบหันกลับมามองผม

"...พารัม / พี่ควินซ์"

จากนั้นเราก็พากันเงียบ ส่วนนับหนึ่งจากตอนแรกที่งงๆ ไม่สนใจก็หันไปมองผู้ชายที่เผลอหลงเข้าห้องผิดด้วยสายตาแปลกๆ สีหน้ายิ้มแย้มค่อยๆ เรียบนิ่งเคร่งขรึม

"ไม่คิดว่าจะได้เจอพี่อีกนะ พี่ควินซ์"

"อืม" ผมพยักหน้าเบาๆ "ไม่คิดเหมือนกัน"

พารัมหัวเราะแล้วยิ้มกว้าง "บางทีอาจจะเป็นพรมลิขิตก็ได้"

นรกลิขิตสิไม่ว่า

นับหนึ่งขมวดคิ้วแน่นแล้วถามผมด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยเป็นมิตร "ใคร"

ผมยกแก้วน้ำขึ้นจิบอย่างไม่รีบร้อน

"ไม่มีอะไร"

"..."

"ก็แค่เด็กที่เคยมาจีบตอนสมัยมหา'ลัย"