บทที่ 22
อดีต 7
หลังจากที่แยกย้ายกันมาพักผ่อน เขาก็กลับมาที่เรือนตนเองทันที ข่าวที่เสี่ยวหู่และพี่หลงได้มาก็มีเพียงความเคลื่อนไหวของพรรคมังกรนิลเพลิงที่สมาชิกพรรคคนอื่นๆที่อยู่หัวเมืองและเผ่าพันธุ์อื่นๆ กำลังเดินทางเข้าไปที่เมืองหลวงเพื่อร่วมงานฉลองเจ้าสำนักคนใหม่ที่จะถูกจัดขึ้นเป็นเวลาสามวันสามคืนนับจากสิ้นสุดเทศการกราบไหว้เจ้าแม่หมี่กวา ซึ่งประมาณเจ็ดวันข้างหน้า งานนี้คงต้องวางแผนเข้าไปถล่มพรรคมังกรนิลเพลิงให้ได้ เพราะงานนี้คงจะรวบรวมทุกคนที่สำคัญในพรรคมาอยู่ในงานเดียวกันแน่ๆ จะถอนรากถอนโคนพวกมันก็ต้องถอนในวันนั้นแหละเหมาะสมที่สุดแล้ว ถึงตัวหลิงหลงที่เป็นแกนนำพาคนมาทำร้ายท่านพ่อและท่านแม่จะตายแล้ว แต่คนที่มีส่วนร่วมทุกคนยังไม่ตาย โดยเฉพาะเจ้าสำนักคนใหม่เฟิงหลงนั้นคือน้องคนที่สามของหลิงหลง คนที่ทรมานท่านพ่อเขา ยังไงเขาก็ต้องแก้แค้นพวกมันอยู่ดี พอเข้าห้องมาเขาจึงเข้าไปให้แหวนมิติแล้วเข้าไปในอาณาเขตที่สร้างไว้เพื่อทรมานนักโทษทั้งหกคนของเขาทันที
"ชะะ…ช่วยยย….ด้วยยย…ขะ…ฆ่า…ฆ่าข้าที"พอเขาเข้ามาก็ได้ยินเสียงร้องของจอมเวทย์ที่ตอนนี้อยู่ในกรงขังเซียนที่เขาสร้างขึ้นขังคนให้ไม่สามารถใช้เวทย์และพลังปราณได้ ท่านพ่อเป็นปรมาจารย์เวทย์ที่สร้างอาวุธเวทย์ต่างๆเพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนทั่วไป แต่เขากลับสร้างทุกอย่างเพื่อแก้แค้น ของที่เขาสร้างถูกออกแบบมาเพื่อทรมานเท่านั้น และเขาไม่คิดจะสร้างของที่เป็นจุดอ่อนเหมือนท่านพ่อ เหมือนเชือกมัดเซียนที่ท่านพ่อสร้างยังถูกนำมาใช้ทำร้ายท่านพ่อได้ ฉะนั้นเขาไม่มีวันเป็นแบบนั้น คนที่จะต้องแพ้ในสงครามความแค้นครั้งนี้มีแค่พวกมัน
"ร้องทำไม จอมเวทย์เช่นท่านจะมาร้องขอชีวตอย่างน่าสมเพชได้ยังไง ไว้เกียรติตัวเองหน่อยสิท่านจอมเวทย์ผู้เก่งกาจ"เขาเอ่ยขึ้นอย่างเย้ยหยัน เมื่อเห็นสภาพเลือดท่วมตัวและเนื้อตัวเต็มไปด้วยหนอนที่ชอนไชไปทั่วทั้งร่างแล้วตอนนี้ แม้แต่ดวงตาที่มีหนอนชอนไชออกมา แต่จอมเวทย์ผู้นี้ก็ยังไม่ตาย ทำได้เพียงนอนร้องไห้และเอ่ยเสียงสั่นเครือร้องขอความตายเขาเท่านั้น ส่วนคนที่เหลือก็กำลังสั่นกลัวถึงวิธีการทรมานที่เห็นแล้วพยายามขดตัวแอบอยู่มุมกรงราวกับสัตว์ตัวน้อย ช่างแตกต่างกับตอนแรกที่เขาเห็นเหลือเกิน
"ขะ…ข้า..ทรมานเหลือเกิน…ข้าขอร้องท่านเถิด…ให้ข้าตายเถิด…อย่าทรมานข้าอีกเลย…อั๊กกก"ภาพที่เคยสง่างามในฐานะจอมเวทย์ถูกลืมเลือนไปด้วยร่างที่เต็มไปด้วยหนอนแมลงวันชอนไช เมื่อพูดอ้อนวอนเขาจบก็กระอักเลือดออกมาคำโต เลือดที่กระอักออกมาปะปนหนอนแมลงวันเต็มไปหมด ตอนนี้หนอนแมลงวันคงจะชอนไชไปในอวัยวะภายในทุกส่วนจนทรมานร่างนี้ให้อยู่มิสู้ตาย จนต้องร้องขอชีวิตเขาอย่างนี้
"ขอร้องข้างั้นเหรอ…"เขาถามลากเสียงยาวเพื่อถ่วงเวลา
"ชะ...ใช่…ข้าขอร้องท่าน….ข้าขออภัยที่ล่วงเกินมารดาท่าน…ข้าขออภัยจริงๆ…ข้าสำนึกผิดแล้ว…."ถึงแม้ว่าจอมเวทย์ผู้นี้จะไม่ใช่คนที่ทำร้ายท่านพ่อ แต่มันก็เอากระดูกท่านแม่เขามาทรมาน ฉะนั้นเห็นแก่ที่สำนึกผิดและขออภัยถูกคน เขาจะหลับหูหลับตาให้ตายเร็วขึ้นก็ได้
"เห็นแก่ที่เจ้ารู้ตัวว่าทำผิดสิ่งใด งั้นข้าจะให้เจ้าไปสบายหน่อยละกัน"เขาพูดพร้อมส่งยิ้มหวานไปให้ จากนั้นก็ร่ายเวทย์ให้เชือดรัดคอร่างนั้นทันที ไม่นานร่างนั้นก็กระตุกขาดลมหายใจตายไปในที่สุด เขาจึงเผาร่างนั้นให้เป็นจุณ ไม่ให้เหลือแม้แต่จิตวิญญาณให้ได้ไปเกิดใหม่
"คราวนี้ ผู้ใดจะเป็นคนต่อมาที่จะได้ไปเจอท่านพ่อท่านแม่ข้าดี"เขาหันมาถามคนทั้งห้าที่กำลังตัวสั่น บางคนถึงขั้นปล่อยน้ำตาออกมา เขามองอย่างสมเพชกับท่าทีเหล่านั้น ช่างต่างกับท่านพ่อเขายามที่โดนทรมานเหลือเกิน สั่นกลัวสักนิดก็ไม่มี แต่คนพวกนี้กลับรักตัวกลัวตาย แค่เห็นเพื่อนโดนทรมานก็สั่นกลัวแล้วทั้งที่ไม่ใช่ตนเอง เฮ้อออ อย่างนี้จะสนุกได้ยังไงกัน เขาจึงคิดอย่างออก
"งั้นข้าจะให้พวกเจ้าอยู่สบายหน่อยแล้วกันในช่วงนี้ เพราะข้าต้องไปตามหาเพื่อนและครอบครัวพวกเจ้ามาอยู่เพื่อนยังไงละ"เขาพูดทิ้งท้ายก่อนจะร่ายเวทย์ภาพหลอนสลักลงในใจของคนทั้งห้า เพื่อให้เวทย์บทนี้สร้างภาพหลอนความกลัวที่อยู่ในใจออกมาหลอกหลอนตนเอง ไม่ว่าจะกลัวสิ่งใด ไม่อยากให้เกิดสิ่งใดขึ้น สิ่งนั้นก็จะเกิดขึ้นในหัวและหลอกหลอนเจ้าของร่างจนอยากจะตายมากกว่าอยู่ นี่เป็นแค่เวทย์เด็กเล่นที่เขาหัดสร้างขึ้นมาตอนเป็นจอมเวทย์เท่านั้น ไม่ได้มีอานุภาพร้ายแรงขนาดนั้น เพราะมันไม่ได้หลอกหลอนตลอดไป หากคนที่โดนเวทย์บทนี้รู้ตัวเองว่าทำอะไรอยู่ และรู้สึกตัวว่านั้นเป็นเพียงแค่ภาพหลอนไม่ต่างจากฝันตื่นนึง เวทย์นี้ก็จะหายไปเอง เขาจึงพูดทิ้งท้ายสะกิดความกลัวว่าเขาจะตามไปทำร้ายครอบครัวพวกมัน พวกมันจะได้เข้าสู้วังวนของเวทย์บทนั้นและจมอยู่กับความกลัวจนหาทางออกไม่เจอ พอออกมานอกแหวนมิติเขาก็ชำระร่างกายและเข้านอนทันที กลางดึกที่อากาศเริ่มหนาวขึ้นจนผ้าน่วมไม่สามารถให้ความอบอุ่นเพียงพอร่างเล็กจึงชุกใบหน้าสวยเข้าหาความอบอุ่นเดียวที่โอบรอบตัวอยู่อย่างไม่รู้ว่าคือแผ่นอกของใครบางคน
สามวันก่อนถึงงานฉลองเจ้าสำนักพรรคมังกรนิลเพลิงพวกเขาสามคนได้เดินทางมาถึงเมืองหลวง แล้วสำรวจเส้นทางและรอบๆที่ตั้งพรรคมังกรนิลเพลิง พรรคมังกรนิลเพลิงเดิมทีพรรคอยู่บนเขา แต่เมื่อมีคนในพรรคเพิ่มมากขึ้นจึงขยับขยายลงมาจากเขาเรื่อยๆจนทั้งเขาลูกนั้นเต็มไปด้วยคนจากพรรคมังกรนิลเพลิง และขยายมาจนทางเข้าพรรคอยู่ตีนป่าที่ติดกับทางเข้าเมืองหลวง ทำให้พรรคมังกรนิลเพลิงสร้างสำนักและจวนหน้าทางขึ้นเขาอีกที จนตอนนี้แทบเป็นเมืองขนาดย่อมๆที่ใหญ่พอๆกับเมืองหลวงเลยก็ว่าได้ แต่พรรคมังกรนิลเพลิงยังสร้างกำแพงเวทย์ไม่ให้คนนอกเข้ามาในเขตเขาลูกนั้นได้ แต่มันใช้ไม่ได้กับปรมาจารย์เวทย์อย่างเขาที่ระดับเวทย์สูงกว่าคนที่สร้างกำแพงนี้ ทำให้เขาเข้ามาสำรวจที่นี้ได้ และตอนนี้เขาก็สำรวจรอบๆเสร็จแล้ว รอบนอกภูเขาเป็นเรือนที่พักอาศัยของครอบครัวคนพรรคในระดับกลางถึงระดับล่าง แต่พวกระดับหัวหน้าหรือที่ปรึกษาเจ้าสำนักจะอยู่กลางเขาที่รายรอบไปด้วยองครักษ์และเหล่าผู้คุ้มกันอีกที เรียกได้ว่าพวกที่เขาจะต้องจัดการกระจุกตัวกันอยู่ตรงกลางแบ่งแยกชนชั้นอย่างชัดเจน ซึ่งก็ดีเขาจะได้จัดการง่ายๆ จัดการทีเดียวไปเลย จะได้ไม่ต้องจัดการหลายรอบ หลังจากนั้นพวกเขาจึงออกมาที่โรงเตี๋ยมที่พวกเขาทำการจับจองไว้แล้วก่อนออกไปสำรวจ เมื่อจัดการที่พักเรียบร้อยพวกเขาก็ไปสั่งอาหารกับเสี่ยวเอ้อแล้วไปนั่งรอที่โต๊ะ
"เห็นทางเข้าออกและการจัดระบบเวรยามแล้ว บอกได้เลยว่าไม่ยากที่พวกเราจะจัดการพวกมัน"เสี่ยวหู่ที่เริ่มพูดขึ้นมาคนแรกหลังจากนั่งลงที่โต๊ะและรินชาดื่ม
"เวรยามถูกจัดอย่างหละหลวมมาก คงเพราะงานฉลองนี้ละมั้ง เลยไม่ระมัดระวังตัวกัน"เขาตอบ
"ไม่ใช่หรอก ต่อให้มีงานที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ เวรยามก็จะยิ่งถูกจัดอย่างเข้มงวดกว่าเดิม แต่ที่เห็นแบบนั้นคงเพราะเจ้าสำนักคนใหม่จัดระเบียบคนในพรรคไม่เป็นมากกว่า ใช้งานคนไม่ถูกงาน ใช้อำนาจในมือไม่ถูกต้อง ไม่นานคนในพรรคจะได้รับความเดือดร้อนไปด้วยจากผู้นำที่ไม่ได้เรื่อง"พี่หลงพูดขึ้นมาเสียงเข้ม จนเขากับเสี่ยวหู่ที่นั่งฟังอยู่ยังหันไปมองหน้ากันด้วยความงุนงง ไปโกรธใครมาทำไมต้องเสียงเข้มขนาดนั้น แต่ก็คงโกรธพวกพรรคมังกรนิลเพลิงละมั้ง อยู่กันสุขสบายในขณะที่คนที่โดนพวกมันทำร้ายอยู่อย่างหวาดระแวงอย่างนี้
"พูดเหมือนพี่หลงรู้เรื่องภายในดีเลยนะ"เขาถามอย่างไม่ได้คิดอะไร เพียงแค่หยอกเย้าอีกคนเล่นเท่านั้น แต่เห็นสีหน้าที่เข้มขึ้นกว่าเดิม เขาจึงนั่งเงียบไปพอดีกับที่เสี่ยวเอ้อยกอาหารที่สั่งมาให้ พวกเขาจึงเริ่มทานเมื่ออาหารได้ครบ เขาจึงร่ายเวทย์ป้องกันไม่ให้ใครรบกวนพวกเขาได้และไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาจะพูดกัน
"แล้วเราจะวางแผนกันยังไงดี ที่จะเข้าไปถล่มพวกมัน"เสี่ยวหู่ถามขึ้นมาก่อนคนแรก
"ข้าจะกางอาณาเขตเวทย์ขั้นสูง จำกัดไม่ให้คนที่อยู่ในอาณาเขตสามารถใช้เวทย์และพลังปราณได้ นอกจากพวกเราที่ข้าจะร่ายเวทย์อนุญาตเข้ามาในอาณาเขตโดยได้ไม่จำกัดพลัง จากนั้นเราจะจัดการยังไงถล่มให้ราบ แต่ต้องมีคนไปจัดการกับผู้ใช้โอสถก่อนเพื่อที่กันคนพวกนี้ไม่ให้ทำร้ายเรา เพราะเราไม่รู้ได้เลยว่าผู้ใช้โอสถจะทำอะไรได้บ้าง เราไม่ควรมองข้ามแค่คิดว่าสายโอสถร่ำเรียนเฉพาะตำรายาที่ใช้รักษาคน แต่คนพวกนี้ยังร่ำเรียนพิษและสมุนไพรที่อาจจะทำร้ายเราโดยไม่รู้ตัวได้ "เขาพูดแผนการที่วาดไว้ในใจ
"งั้นข้าจัดการผู้ใช้โอสถเอง"
"อืม งั้นข้ากับพี่หลงจะบุก"เสี่ยวหู่รับคำจัดการผู้ใช้โอสถ เขาจึงตอบรับไป
"เจ้าดูแลหลันเอ๋อร์ให้ดีละ อย่าเป็นภาระให้หลันเอ๋อร์เชียว"เสี่ยวหู่หันไปสั่งพี่หลงเสียงเข้ม
"ฮึ บอกตัวเจ้าเองเถอะว่าอย่าเป็นอะไรจนเป็นภาระข้ากับหลันเอ๋อร์"พี่หลงหันไปค่อนขอดกลับ
"นี่เจ้า…."
"ข้าทำไม…."
"หยุด ขอแค่ทั้งสองคนไม่เป็นภาระข้าก็พอแล้ว เริ่มแค่หยุดเถียงกันสักที"เขาจึงห้ามทั้งสองคนเสียงเข้มด้วยความหงุดหงิด เถียงกันได้ทุกวี่ทุกวัน เป็นไม้เบื่อไม้เมากันตลอด จนเขาเอือมระอา
"เขากวนโมโหข้าก่อนนะหลันเอ๋อร์"เสี่ยวหู่หันมาฟ้องเขาแทน
" ( -_-)!!!"
"ก็เจ้าว่าข้าก่อนทำไมละ หลันเอ๋อร์ดูเอาเถอะว่าใครเริ่มก่อน"พี่หลงก็หันมาฟ้องเขากลับ
" (-_-?)!!!"
"(-_-)ภาระทั้งคู่"เขาทำหน้าเอือมและพูดออกมาเบาๆให้ได้ยินทั้งคู่ จากนั้นก็เดินออกมาจากโต๊ะเลย
"เพราะเจ้าเลยหลันเอ๋อร์ถึงเดินหนีออกไปแบบนี้"เสี่ยวหู่พยายามโทษพี่หลงต่อ
"เพราะเจ้านั้นแหละเอะอะโวยวายจนเรื่องราวออกมาเป็นแบบนี้"พี่หลงก็ยังเถียงเสี่ยวหู่กลับอยู่ดี
เฮ้อออ นึกว่าสนิทกันมากแล้วนะเพราะกินข้าวด้วยกัน ทำอะไรมาด้วยกันมาก็มาก แถมยังจะร่วมเป็นร่วมตายกันอีก เขาไว้ใจพี่หลงจนบอกพี่หลงถึงพลังที่ตัวเขามี และเสี่ยวหู่คือสัตว์ในพันธะสัญญาเขา ส่วนพี่หลงก็บอกพลังตัวเองที่มี แถมยังมีมังกรทองเป็นสัตว์ในพันธะอีก เรียกได้ว่าใจแลกใจกันไปแล้ว ยามปกติเสี่ยวหู่และพี่หลงก็ฝึกวิชายุทธ์ด้วยกันออกบ่อย เขาก็นึกว่าญาติดีกันแล้วซะอีก ที่ไหนได้ เห็นวันนี้แล้วบอกได้คำเดียวเลยว่ายังเกลียดกันเหมือนเดิม เขาเดินออกมาไกลขนาดนี้ยังได้ยินเสียงคนทั้งคู่ทะเลาะกันอยู่เลย นี้ถ้าไม่ได้ต่อยปากกันแตกสักครั้งคงไม่ดีกันเลยสินะ เฮ้อ เหนื่อยใจกับสองคนนั้น เมื่อกลับมาที่ห้องเขาก็เข้าไปในอาณาเขตตัวเองทันที นักโทษทั้งห้าของเขายังไม่ตาย แค่ตอนนี้สภาพไม่เหมือนคนแล้ว เพราะแต่ละคนที่เริ่มเห็นภาพหลอนก็พยายามทำร้ายตัวเองตลอด ทั้งพยายามจิกเล็บทั่วร่างกาย วิ่งชนกรงเหล็ก หัวโขกพื้น หรือแม้แต่ถอดเสื้อผ้าออกมามัดต่อกันให้เป็นเชือกเพื่อมัดคอตัวเองตาย แต่ก็ไม่ตาย ทั้งสี่คนมีการทำร้ายร่างกายตัวเองชัดเจดเพราะไม่ได้สติว่าตัวเองทำอะไรอยู่ คงมีแค่กรงเดียวที่มีความสงบนิ่งที่สุด แต่นัยน์ตาที่แดงกร่ำราวกับร้องไห้หนักนั้นแถมยังมองไปยังสี่กรงที่เหลืออีก เดาว่าเวทย์บทนั้นคงทำอะไรคนที่เป็นหัวหน้านี้ไม่ได้ แต่ที่ร้องไห้คงเพราะสงสารและเจ็บใจที่ช่วยลูกน้องไม่ได้มากกว่า
บทที่ 22
อดีต 7
หลังจากที่แยกย้ายกันมาพักผ่อน เขาก็กลับมาที่เรือนตนเองทันที ข่าวที่เสีึ่ยวหู่และพี่หลงได้มาก็มีเพียงความเคลื่อนไหวของพรรคมังกรนิลเพลิงที่สมาชิกพรรคคนอื่นๆที่อยู่หัวเมืองและเผ่าพันธุ์อื่นๆ กำลังเดินทางเข้าไปที่เมืองหลวงเพื่อร่วมงานฉลองเจ้าสำนักคนใหม่ที่จะถูกจัดขึ้นเป็นเวลาสามวันสามคืนนับจากสิ้นสุดเทศการกราบไหว้เจ้าแม่หมี่กวา ซึ่งประมาณเจ็ดวันข้างหน้า งานนี้คงต้องวางแผนเข้าไปถล่มพรรคมังกรนิลเพลิงให้ได้ เพราะงานนี้คงจะรวบรวมทุกคนที่สำคัญในพรรคมาอยู่ในงานเดียวกันแน่ๆ จะถอนรากถอนโคนพวกมันก็ต้องถอนในวันนั้นแหละเหมาะสมที่สุดแล้ว ถึงตัวหลิงหลงที่เป็นแกนนำพาคนมาทำร้ายท่านพ่อและท่านแม่จะตายแล้ว แต่คนที่มีส่วนร่วมทุกคนยังไม่ตาย โดยเฉพาะเจ้าสำนักคนใหม่เฟิงหลงนั้นคือน้องคนที่สามของหลิงหลง คนที่ทรมานท่านพ่อเขา ยังไงเขาก็ต้องแก้แค้นพวกมันอยู่ดี พอเข้าห้องมาเขาจึงเข้าไปให้แหวนมิติแล้วเข้าไปในอาณาเขตที่สร้างไว้เพื่อทรมานนักโทษทั้งหกคนของเขาทันที
"ชะะ…ช่วยยย….ด้วยยย…ขะ…ฆ่า…ฆ่าข้าที"พอเขาเข้ามาก็ได้ยินเสียงร้องของจอมเวทย์ที่ตอนนี้อยู่ในกรงขังเซียนที่เขาสร้างขึ้นขังคนให้ไม่สามารถใช้เวทย์และพลังปราณได้ ท่านพ่อเป็นปรมาจารย์เวทย์ที่สร้างอาวุธเวทย์ต่างๆเพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนทั่วไป แต่เขากลับสร้างทุกอย่างเพื่อแก้แค้น ของที่เขาสร้างถูกออกแบบมาเพื่อทรมานเท่านั้น และเขาไม่คิดจะสร้างของที่เป็นจุดอ่อนเหมือนท่านพ่อ เหมือนเชือกมัดเซียนที่ท่านพ่อสร้างยังถูกนำมาใช้ทำร้ายท่านพ่อได้ ฉะนั้นเขาไม่มีวันเป็นแบบนั้น คนที่จะต้องแพ้ในสงครามความแค้นครั้งนี้มีแค่พวกมัน
"ร้องทำไม จอมเวทย์เช่นท่านจะมาร้องขอชีวตอย่างน่าสมเพชได้ยังไง ไว้เกียรติตัวเองหน่อยสิท่านจอมเวทย์ผู้เก่งกาจ"เขาเอ่ยขึ้นอย่างเย้ยหยัน เมื่อเห็นสภาพเลือดท่วมตัวและเนื้อตัวเต็มไปด้วยหนอนที่ชอนไชไปทั่วทั้งร่างแล้วตอนนี้ แม้แต่ดวงตาที่มีหนอนชอนไชออกมา แต่จอมเวทย์ผู้นี้ก็ยังไม่ตาย ทำได้เพียงนอนร้องไห้และเอ่ยเสียงสั่นเครือร้องขอความตายเขาเท่านั้น ส่วนคนที่เหลือก็กำลังสั่นกลัวถึงวิธีการทรมานที่เห็นแล้วพยายามขดตัวแอบอยู่มุมกรงราวกับสัตว์ตัวน้อย ช่างแตกต่างกับตอนแรกที่เขาเห็นเหลือเกิน
"ขะ…ข้า..ทรมานเหลือเกิน…ข้าขอร้องท่านเถิด…ให้ข้าตายเถิด…อย่าทรมานข้าอีกเลย…อั๊กกก"ภาพที่เคยสง่างามในฐานะจอมเวทย์ถูกลืมเลือนไปด้วยร่างที่เต็มไปด้วยหนอนแมลงวันชอนไช เมื่อพูดอ้อนวอนเขาจบก็กระอักเลือดออกมาคำโต เลือดที่กระอักออกมาปะปนหนอนแมลงวันเต็มไปหมด ตอนนี้หนอนแมลงวันคงจะชอนไชไปในอวัยวะภายในทุกส่วนจนทรมานร่างนี้ให้อยู่มิสู้ตาย จนต้องร้องขอชีวิตเขาอย่างนี้
"ขอร้องข้างั้นเหรอ…"เขาถามลากเสียงยาวเพื่อถ่วงเวลา
"ชะ...ใช่…ข้าขอร้องท่าน….ข้าขออภัยที่ล่วงเกินมารดาท่าน…ข้าขออภัยจริงๆ…ข้าสำนึกผิดแล้ว…."ถึงแม้ว่าจอมเวทย์ผู้นี้จะไม่ใช่คนที่ทำร้ายท่านพ่อ แต่มันก็เอากระดูกท่านแม่เขามาทรมาน ฉะนั้นเห็นแก่ที่สำนึกผิดและขออภัยถูกคน เขาจะหลับหูหลับตาให้ตายเร็วขึ้นก็ได้
"เห็นแก่ที่เจ้ารู้ตัวว่าทำผิดสิ่งใด งั้นข้าจะให้เจ้าไปสบายหน่อยละกัน"เขาพูดพร้อมส่งยิ้มหวานไปให้ จากนั้นก็ร่ายเวทย์ให้เชือดรัดคอร่างนั้นทันที ไม่นานร่างนั้นก็กระตุกขาดลมหายใจตายไปในที่สุด เขาจึงเผาร่างนั้นให้เป็นจุณ ไม่ให้เหลือแม้แต่จิตวิญญาณให้ได้ไปเกิดใหม่
"คราวนี้ ผู้ใดจะเป็นคนต่อมาที่จะได้ไปเจอท่านพ่อท่านแม่ข้าดี"เขาหันมาถามคนทั้งห้าที่กำลังตัวสั่น บางคนถึงขั้นปล่อยน้ำตาออกมา เขามองอย่างสมเพชกับท่าทีเหล่านั้น ช่างต่างกับท่านพ่อเขายามที่โดนทรมานเหลือเกิน สั่นกลัวสักนิดก็ไม่มี แต่คนพวกนี้กลับรักตัวกลัวตาย แค่เห็นเพื่อนโดนทรมานก็สั่นกลัวแล้วทั้งที่ไม่ใช่ตนเอง เฮ้อออ อย่างนี้จะสนุกได้ยังไงกัน เขาจึงคิดอย่างออก
"งั้นข้าจะให้พวกเจ้าอยู่สบายหน่อยแล้วกันในช่วงนี้ เพราะข้าต้องไปตามหาเพื่อนและครอบครัวพวกเจ้ามาอยู่เพื่อนยังไงละ"เขาพูดทิ้งท้ายก่อนจะร่ายเวทย์ภาพหลอนสลักลงในใจของคนทั้งห้า เพื่อให้เวทย์บทนี้สร้างภาพหลอนความกลัวที่อยู่ในใจออกมาหลอกหลอนตนเอง ไม่ว่าจะกลัวสิ่งใด ไม่อยากให้เกิดสิ่งใดขึ้น สิ่งนั้นก็จะเกิดขึ้นในหัวและหลอกหลอนเจ้าของร่างจนอยากจะตายมากกว่าอยู่ นี่เป็นแค่เวทย์เด็กเล่นที่เขาหัดสร้างขึ้นมาตอนเป็นจอมเวทย์เท่านั้น ไม่ได้มีอานุภาพร้ายแรงขนาดนั้น เพราะมันไม่ได้หลอกหลอนตลอดไป หากคนที่โดนเวทย์บทนี้รู้ตัวเองว่าทำอะไรอยู่ และรู้สึกตัวว่านั้นเป็นเพียงแค่ภาพหลอนไม่ต่างจากฝันตื่นนึง เวทย์นี้ก็จะหายไปเอง เขาจึงพูดทิ้งท้ายสะกิดความกลัวว่าเขาจะตามไปทำร้ายครอบครัวพวกมัน พวกมันจะได้เข้าสู้วังวนของเวทย์บทนั้นและจมอยู่กับความกลัวจนหาทางออกไม่เจอ พอออกมานอกแหวนมิติเขาก็ชำระร่างกายและเข้านอนทันที กลางดึกที่อากาศเริ่มหนาวขึ้นจนผ้าน่วมไม่สามารถให้ความอบอุ่นเพียงพอร่างเล็กจึงชุกใบหน้าสวยเข้าหาความอบอุ่นเดียวที่โอบรอบตัวอยู่อย่างไม่รู้ว่าคือแผ่นอกของใครบางคน
สามวันก่อนถึงงานฉลองเจ้าสำนักพรรคมังกรนิลเพลิงพวกเขาสามคนได้เดินทางมาถึงเมืองหลวง แล้วสำรวจเส้นทางและรอบๆที่ตั้งพรรคมังกรนิลเพลิง พรรคมังกรนิลเพลิงเดิมทีพรรคอยู่บนเขา แต่เมื่อมีคนในพรรคเพิ่มมากขึ้นจึงขยับขยายลงมาจากเขาเรื่อยๆจนทั้งเขาลูกนั้นเต็มไปด้วยคนจากพรรคมังกรนิลเพลิง และขยายมาจนทางเข้าพรรคอยู่ตีนป่าที่ติดกับทางเข้าเมืองหลวง ทำให้พรรคมังกรนิลเพลิงสร้างสำนักและจวนหน้าทางขึ้นเขาอีกที จนตอนนี้แทบเป็นเมืองขนาดย่อมๆที่ใหญ่พอๆกับเมืองหลวงเลยก็ว่าได้ แต่พรรคมังกรนิลเพลิงยังสร้างกำแพงเวทย์ไม่ให้คนนอกเข้ามาในเขตเขาลูกนั้นได้ แต่มันใช้ไม่ได้กับปรมาจารย์เวทย์อย่างเขาที่ระดับเวทย์สูงกว่าคนที่สร้างกำแพงนี้ ทำให้เขาเข้ามาสำรวจที่นี้ได้ และตอนนี้เขาก็สำรวจรอบๆเสร็จแล้ว รอบนอกภูเขาเป็นเรือนที่พักอาศัยของครอบครัวคนพรรคในระดับกลางถึงระดับล่าง แต่พวกระดับหัวหน้าหรือที่ปรึกษาเจ้าสำนักจะอยู่กลางเขาที่รายรอบไปด้วยองครักษ์และเหล่าผู้คุ้มกันอีกที เรียกได้ว่าพวกที่เขาจะต้องจัดการกระจุกตัวกันอยู่ตรงกลางแบ่งแยกชนชั้นอย่างชัดเจน ซึ่งก็ดีเขาจะได้จัดการง่ายๆ จัดการทีเดียวไปเลย จะได้ไม่ต้องจัดการหลายรอบ หลังจากนั้นพวกเขาจึงออกมาที่โรงเตี๋ยมที่พวกเขาทำการจับจองไว้แล้วก่อนออกไปสำรวจ เมื่อจัดการที่พักเรียบร้อยพวกเขาก็ไปสั่งอาหารกับเสี่ยวเอ้อแล้วไปนั่งรอที่โต๊ะ
"เห็นทางเข้าออกและการจัดระบบเวรยามแล้ว บอกได้เลยว่าไม่ยากที่พวกเราจะจัดการพวกมัน"เสี่ยวหู่ที่เริ่มพูดขึ้นมาคนแรกหลังจากนั่งลงที่โต๊ะและรินชาดื่ม
"เวรยามถูกจัดอย่างหละหลวมมาก คงเพราะงานฉลองนี้ละมั้ง เลยไม่ระมัดระวังตัวกัน"เขาตอบ
"ไม่ใช่หรอก ต่อให้มีงานที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ เวรยามก็จะยิ่งถูกจัดอย่างเข้มงวดกว่าเดิม แต่ที่เห็นแบบนั้นคงเพราะเจ้าสำนักคนใหม่จัดระเบียบคนในพรรคไม่เป็นมากกว่า ใช้งานคนไม่ถูกงาน ใช้อำนาจในมือไม่ถูกต้อง ไม่นานคนในพรรคจะได้รับความเดือดร้อนไปด้วยจากผู้นำที่ไม่ได้เรื่อง"พี่หลงพูดขึ้นมาเสียงเข้ม จนเขากับเสี่ยวหู่ที่นั่งฟังอยู่ยังหันไปมองหน้ากันด้วยความงุนงง ไปโกรธใครมาทำไมต้องเสียงเข้มขนาดนั้น แต่ก็คงโกรธพวกพรรคมังกรนิลเพลิงละมั้ง อยู่กันสุขสบายในขณะที่คนที่โดนพวกมันทำร้ายอยู่อย่างหวาดระแวงอย่างนี้
"พูดเหมือนพี่หลงรู้เรื่องภายในดีเลยนะ"เขาถามอย่างไม่ได้คิดอะไร เพียงแค่หยอกเย้าอีกคนเล่นเท่านั้น แต่เห็นสีหน้าที่เข้มขึ้นกว่าเดิม เขาจึงนั่งเงียบไปพอดีกับที่เสี่ยวเอ้อยกอาหารที่สั่งมาให้ พวกเขาจึงเริ่มทานเมื่ออาหารได้ครบ เขาจึงร่ายเวทย์ป้องกันไม่ให้ใครรบกวนพวกเขาได้และไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาจะพูดกัน
"แล้วเราจะวางแผนกันยังไงดี ที่จะเข้าไปถล่มพวกมัน"เสี่ยวหู่ถามขึ้นมาก่อนคนแรก
"ข้าจะกางอาณาเขตเวทย์ขั้นสูง จำกัดไม่ให้คนที่อยู่ในอาณาเขตสามารถใช้เวทย์และพลังปราณได้ นอกจากพวกเราที่ข้าจะร่ายเวทย์อนุญาตเข้ามาในอาณาเขตโดยได้ไม่จำกัดพลัง จากนั้นเราจะจัดการยังไงถล่มให้ราบ แต่ต้องมีคนไปจัดการกับผู้ใช้โอสถก่อนเพื่อที่กันคนพวกนี้ไม่ให้ทำร้ายเรา เพราะเราไม่รู้ได้เลยว่าผู้ใช้โอสถจะทำอะไรได้บ้าง เราไม่ควรมองข้ามแค่คิดว่าสายโอสถร่ำเรียนเฉพาะตำรายาที่ใช้รักษาคน แต่คนพวกนี้ยังร่ำเรียนพิษและสมุนไพรที่อาจจะทำร้ายเราโดยไม่รู้ตัวได้ "เขาพูดแผนการที่วาดไว้ในใจ
"งั้นข้าจัดการผู้ใช้โอสถเอง"
"อืม งั้นข้ากับพี่หลงจะบุก"เสี่ยวหู่รับคำจัดการผู้ใช้โอสถ เขาจึงตอบรับไป
"เจ้าดูแลหลันเอ๋อร์ให้ดีละ อย่าเป็นภาระให้หลันเอ๋อร์เชียว"เสี่ยวหู่หันไปสั่งพี่หลงเสียงเข้ม
"ฮึ บอกตัวเจ้าเองเถอะว่าอย่าเป็นอะไรจนเป็นภาระข้ากับหลันเอ๋อร์"พี่หลงหันไปค่อนขอดกลับ
"นี่เจ้า…."
"ข้าทำไม…."
"หยุด ขอแค่ทั้งสองคนไม่เป็นภาระข้าก็พอแล้ว เริ่มแค่หยุดเถียงกันสักที"เขาจึงห้ามทั้งสองคนเสียงเข้มด้วยความหงุดหงิด เถียงกันได้ทุกวี่ทุกวัน เป็นไม้เบื่อไม้เมากันตลอด จนเขาเอือมระอา
"เขากวนโมโหข้าก่อนนะหลันเอ๋อร์"เสี่ยวหู่หันมาฟ้องเขาแทน
" ( -_-)!!!"
"ก็เจ้าว่าข้าก่อนทำไมละ หลันเอ๋อร์ดูเอาเถอะว่าใครเริ่มก่อน"พี่หลงก็หันมาฟ้องเขากลับ
" (-_-?)!!!"
"(-_-)ภาระทั้งคู่"เขาทำหน้าเอือมและพูดออกมาเบาๆให้ได้ยินทั้งคู่ จากนั้นก็เดินออกมาจากโต๊ะเลย
"เพราะเจ้าเลยหลันเอ๋อร์ถึงเดินหนีออกไปแบบนี้"เสี่ยวหู่พยายามโทษพี่หลงต่อ
"เพราะเจ้านั้นแหละเอะอะโวยวายจนเรื่องราวออกมาเป็นแบบนี้"พี่หลงก็ยังเถียงเสี่ยวหู่กลับอยู่ดี
เฮ้อออ นึกว่าสนิทกันมากแล้วนะเพราะกินข้าวด้วยกัน ทำอะไรมาด้วยกันมาก็มาก แถมยังจะร่วมเป็นร่วมตายกันอีก เขาไว้ใจพี่หลงจนบอกพี่หลงถึงพลังที่ตัวเขามี และเสี่ยวหู่คือสัตว์ในพันธะสัญญาเขา ส่วนพี่หลงก็บอกพลังตัวเองที่มี แถมยังมีมังกรทองเป็นสัตว์ในพันธะอีก เรียกได้ว่าใจแลกใจกันไปแล้ว ยามปกติเสี่ยวหู่และพี่หลงก็ฝึกวิชายุทธ์ด้วยกันออกบ่อย เขาก็นึกว่าญาติดีกันแล้วซะอีก ที่ไหนได้ เห็นวันนี้แล้วบอกได้คำเดียวเลยว่ายังเกลียดกันเหมือนเดิม เขาเดินออกมาไกลขนาดนี้ยังได้ยินเสียงคนทั้งคู่ทะเลาะกันอยู่เลย นี้ถ้าไม่ได้ต่อยปากกันแตกสักครั้งคงไม่ดีกันเลยสินะ เฮ้อ เหนื่อยใจกับสองคนนั้น เมื่อกลับมาที่ห้องเขาก็เข้าไปในอาณาเขตตัวเองทันที นักโทษทั้งห้าของเขายังไม่ตาย แค่ตอนนี้สภาพไม่เหมือนคนแล้ว เพราะแต่ละคนที่เริ่มเห็นภาพหลอนก็พยายามทำร้ายตัวเองตลอด ทั้งพยายามจิกเล็บทั่วร่างกาย วิ่งชนกรงเหล็ก หัวโขกพื้น หรือแม้แต่ถอดเสื้อผ้าออกมามัดต่อกันให้เป็นเชือกเพื่อมัดคอตัวเองตาย แต่ก็ไม่ตาย ทั้งสี่คนมีการทำร้ายร่างกายตัวเองชัดเจดเพราะไม่ได้สติว่าตัวเองทำอะไรอยู่ คงมีแค่กรงเดียวที่มีความสงบนิ่งที่สุด แต่นัยน์ตาที่แดงกร่ำราวกับร้องไห้หนักนั้นแถมยังมองไปยังสี่กรงที่เหลืออีก เดาว่าเวทย์บทนั้นคงทำอะไรคนที่เป็นหัวหน้านี้ไม่ได้ แต่ที่ร้องไห้คงเพราะสงสารและเจ็บใจที่ช่วยลูกน้องไม่ได้มากกว่า
ของขวัญจากผู้อ่านคือกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงาน ช่วยส่งกำลังใจให้ไรต์หน่อยนะ!