webnovel

ตอนที่ 2 แกงเห็ดโคน

"พี่ใหญ่มีอะไรอีกไหมที่ชาวบ้านไม่นิยมเก็บกินกัน"

หลี่หลิวมองเห็นทางเอาตัวรอดขึ้นมาในทันที นี่มันทองในดินชัดๆพวกเขาไม่รู้สินะว่าเห็ดโคนพวกนี้ทั้งดอกใหญ่ขาอวบดอกตูมๆพวกนี้ราคามันแสนแพงแค่ไหน นี่มันของหายากเลยนะ

"ได้สิ ไว้ข้าเจอจะค่อยๆบอกเจ้านะ ดื่มน้ำสักหน่อยไหม"

เมื่อเอาเห็ดวางใส่ตะกร้าที่ว่างเปล่าก็ดูชื่นใจขึ้นมาไม่น้อย เดินมาครึ่งชั่วโมงก็เจอของดีเข้าแล้วจะว่ายังไงดีล่ะ ต้องขอขอบคุณชาวบ้านที่ไม่ยอมกินกันอย่างสุดซึ้งหลี่หลิวถูกใจสิ่งนี้เป็นอย่างมากจนเดินไปยิ้มไปเลยทีเดียวแม้แต่น้ำนางยังไม่หิวแม้แต่น้อย

"ทางข้างหน้ามีต้นไม้ข้างทางขนาดใหญ่ ตอนเดินเจ้าต้องระวังอย่าไปเผลอเหยียบหนามมันเข้าให้ล่ะ"

"ได้ๆข้าจะระวังค่ะ"

"เหตุใดเจ้ายังไม่หุบยิ้มอีกเล่า"

"ข้าดีใจมากๆนี่เจ้าคะ"

"ต้องขนาดนั้นเลยงั้นรึ มันก็แค่เห็ดที่ถูกทิ้งก็เท่านั้น"

"เอาไว้ข้าทำแกงเห็ดให้ท่านได้กินก่อน แล้วท่านจะขอบคุณข้าที่เก็บมันกลับไปด้วย"

"ได้ๆ"

เจ้าสามตอบรับไปแต่ในใจยังกังวลว่าถ้ากินแล้วเป็นอะไรขึ้นมาจะทำเช่นไร แต่ก็ไม่กล้าดูถูกน้ำใจของน้องสาวตัวน้อยที่พึ่งหายไข้จึงได้แต่เอ่อออตามนางไป

"เดินระวังด้วยทางข้างหน้าที่ใกล้จะถึงนี้ก็เป็นป่าหนามแล้ว ข้าจะเก็บยอดผักหนามด้านบนส่วนเจ้าก็เก็บด้านล่างช่วยกันเก็บจะได้เสร็จเร็วๆ"

"นี่พี่ใหญ่... ข้าว่า... ข้าคงไปเก็บผักหนามกับท่านไม่ได้แล้วล่ะเจ้าค่ะ"

"ทำไมล่ะ ข้างหน้านี้ก็ถึงแล้ว หรือเจ้ากลัวลูกหนามพวกนี้ที่หล่นตามพื้น พี่สามารถอุ้มเจ้าไปได้นะ"

เจ้าสามมองดูเด็กน้อยที่เหงื่อผุดบนหน้าผากอย่างเอ็นดู แถมบนหัวยังมีผมที่มัดเป็นหัวหอมกลมๆสองข้าง บนหัวของนางมีเศษใบไม้ติดอยู่เขาจึงหยิบออกให้นางอย่างเบามือ

"ไม่ใช่ๆ ข้าจะเก็บเกาลัดพวกนี้ ท่านดูสิมันเยอะมากขนาดนี้คงไปช่วยท่านเก็บผักไม่ได้แล้ว"

"ว่าไงนะ เจ้าเรียกมันว่าเกาลัดงั้นรึ?"

"อื้ม ก็ใช่ไง"

"ลูกหนามเนี่ยนะ เจ้าจะเอามันไปทำอะไรได้ เม็ดดำๆที่อยู่ข้างในก็กินไม่ได้แถมหนามมันทั้งคมทั้งแข็ง มันจะตำมือเจ้าเอานะ"

"เห้อออ เอาเป็นว่าข้าจะเก็บมันกลับไปด้วยก็แล้วกัน ท่านก็ไปเก็บผักหนามของท่านเถอะ ตอนเดินมาข้าเห็นรอยเท้าคนคาดว่าผักท่านคงเหลือน้อยแล้วล่ะ"

"ใช่ๆข้าก็ว่าเห็นรอยเท้ายังใหม่อยู่ งั้นข้าไปเก็บผักก่อนเจ้ารอข้าอยู่นี่นะหากเบื่อก็เดินขึ้นไปป่าด้านบนแล้วเรียกหาพี่อย่างข้าได้เลย"

เจ้าสามทีเดินทีวิ่งไปด้านหน้าทั้งยังคอยหลบลูกหนามอย่างจริงจัง หลี่หลิวที่เห็นพี่ของเจ้าของร่างเดินไปแล้วจึงเริ่มเก็บเกี่ยวเกาลัด เธอใช้เท้าน้อยๆของเด็กวัยหกปีเหยียบและคลี่เอาเปลือกเกาลัดออก จากนั้นเอาเม็ดมันออกมาทีล่ะเม็ดโดยใช้มีดค่อยๆแงะออกมา และทำแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมาจนเจ้าสามกลับมานางก็ยังคงทำอยู่เช่นนั้น ตอนนี้หลี่หลิวรวบรวมเม็ดเกาลัดได้ประมาณหนึ่งกิโลแล้วด้วยร่างกายวัยเด็กแบบนี้จึงทำอะไรได้ไม่สะดวกนัก มือเท้าก็แสนจะเบาะบางทำแรงนิดหน่อยก็ได้รับแผลมาเสียแล้ว

"มาให้พี่ช่วยเจ้าเถอะไม่เช่นนั้นบ่ายนี้คงไม่ได้กลับบ้าน เจ้าจะเก็บมากเพียงใดล่ะ"

เจ้าสามเข้าใจว่าน้องสาวตนคงอยากได้เม็ดพวกนี้ไปเล่น จึงอาสาจะเก็บช่วยและเห็นวิธีที่นางเก็บแล้วมันก็ไม่ได้ยากนักจึงช่วยนางเก็บจนได้มากถึงสองสามโลเลยทีเดียว

"เจ้าพอได้หรือยัง นี่มันก็มากแล้วนะหากเจ้าจะเอาไปเป็นหมากไว้เล่นมันคงเกินพอแล้ว"

"ท่านเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า ข้าจะเอามันไปกินต่างล่ะ"

"ในหัวเล็กๆของเจ้าคิดอะไรอยู่กัน หรือเจ้ายังไม่ฟื้นไข้จึงเบลออยู่ใช่หรือไม่"

เจ้าสามได้ฟังเช่นนั้นจึงโยกหัวน้องรองเบาๆ เพื่อหยอกล้อกับนาง

"มันกินได้จริงๆนะพี่สาม"

"ได้ๆ กินได้ก็กินได้"

"หึ! นี่ท่านไม่เชื่อข้ารึ"

"ข้าต้องเชื่อเจ้าอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าเก็บมันทำไมกัน"

"ก็ได้ๆ ถ้าเจ้าอยากได้อีกข้าค่อยพาเจ้ามาเก็บอีกครั้งดีหรือไม่ ตอนนี้ต้องกลับบ้านแล้วข้าหิวไส้กิ่วแล้วเนี่ย"

เมื่อเจ้าสามเห็นว่าน้องสาวตัวน้อยของตนจะงอแงจึงตัดบท ทำตัวให้อ่อนแอซึ่งจริงๆแล้วก็จริงดั่งเขาว่านั่นแหละเขาหิวจนท้องร้องจริงๆ หลี่หลิวพึ่งนึกขึ้นได้ว่าพี่ชายตัวน้อยของร่างนี้ยังไม่ได้กินข้าวจริง จึงต้องวางมือจากการเก็บเกาลัดหาใบไม้ใหญ่ๆมาห่อแล้วเอาเถาวัลย์มัดนำไปใส่ตะกร้า

"นี่ท่านเก็บได้มากเลยทีเดียว ข้าคิดว่าคนอื่นเก็บไปก่อนท่านเสียแล้ว"

หลี่หลิวมองไปที่ตะกร้าที่มีผักหนามอยู่เกินครึ่งซึ่งด้านบนมีห่อเห็ดโคนวางอยู่ ดีที่พี่ชายตัวน้อยไม่เอามันไว้ด้านล่างไม่เช่นนั้นคงโดนผักทับจนเสียรูปไปแล้ว เจ้าสามช่วยน้องรองเก็บลูกหนามจนเสร็จแล้วใส่ตะกร้าพักดื่มน้ำท่า จากนั้นพากันลงเขาด้วยความเหนื่อยล้าระหว่างทางเสียงเจือแจ้วที่เคยมีค่อยๆเงียบลงเหลือเพียงเสียงเท้าและเสียงเหนื่อยหอบตามทางเดิน ก่อนหน้านี้เจ้าสามบอกกับน้องสาวว่าโชคดีที่คนขึ้นเขามานั้นเป็นเพียงนายพรานเขาจึงไม่สนใจในการเก็บผักป่านักทำให้พี่สามได้ผักป่ามาเยอะมาก นี่เป็นเรื่องที่ดีท่านย่าจะไม่ดุด่าเมื่อพวกเขา เมื่อกลับไปเย็นนี้จะได้กินผัดผักป่าอีกด้วย 

ผักหนามเป็นผักกินยอดอ่อนชนิดหนึ่ง ทว่าต้นและกิ่งก้านของมันเต็มไปด้วยหนามแต่เป็นผักที่อร่อยทำได้หลายเมนูที่ทุกคนนิยมเอาไปผัดกินกัน

"เอาล่ะใกล้ถึงบ้านแล้ว เจ้าเอาของของเจ้าออกมาถือเอง แล้วเอาไปเก็บในครัวเล็กหลังบ้านของเรา อย่าให้ท่านย่าเห็นไม่เช่นนั้นจะโดยดุได้"

"ได้ข้าจะเอาไปเก็บที่ครัวเล็กข้างหลังบ้านของเรา ข้าจะอ้อมไปด้านหลังบ้านไม่ผ่านประตูใหญ่ดีหรือไม่"

หลี่หลิวพอเข้าใจว่าครัวใหญ่นั้นเอาไว้ใช้ทำอาหารให้ท่านย่าและลุงโจว ส่วนครัวเล็กนั้นใช้เฉพาะครอบครัวที่สองของนาง ซึ่งครัวเล็กอยู่หลังบ้านห่างจากตัวบ้านเล็กน้อย

"นี่แหละที่ฉันต้องการ"

หลี่หลิวแอบเอาของมาเก็บในครัวเล็ก โชคดีที่ท่านย่าไม่อยู่ออกไปทำธุระกับท่านปู่และครอบครัวลุงใหญ่ หลี่หลิวจึงรีบก่อไฟและแกงเห็ดที่ล้างสะอาดแล้วให้เรียบร้อย นี่ก็ปาเข้าไปบ่ายสามแล้วนางรีบต้มเกาลัดจนเสร็จ แล้วตากเกาลัดให้สะเด็ดน้ำก่อนจะเก็บเกาลัดที่หอมหวานเข้าบ้านไปพร้อมกับมีดสั้น และออกมาเอาหม้อแกงเห็ดเข้าไปเก็บที่ห้องนอนขนาดเล็กนั่นอย่างรวดเร็ว

"ท่านแม่ๆ ทำไมท่านย่าแบ่งผัดผักมาให้เราน้อยจังขอรับ ข้าได้ยินว่าพี่ใหญ่เก็บมาได้เยอะมากเลยนะขอรับ"

หลี่เฉินน้องเล็กที่อาบน้ำล้างเนื้อตัวเสร็จแล้ว ถามท่านพ่อท่านแม่ที่มานั่งเตรียมกินน้ำต้มโจ๊กกับผัดผักที่แสนน้อยนิดไม่รู้ว่าควรตอบลูกชายเช่นไรดี ถึงจะรู้ว่าท่านย่าลำเอียงรักครอบครัวนั้นมากกว่าแต่บุตรตนก็ลงทุนลงแรงไปหามาแต่กับได้กินเพียงน้อยนิด แต่หลี่หงทำได้แค่อดทนและซื่อสัตย์ต่อท่านแม่เท่านั้น

"นี่เจ้าอยากอิ่มท้องหรือเปล่าล่ะ"

หลี่หลิวได้โอกาสจึงรีบลุกพรวดพราดยกหม้อที่แอบมุมห้องออกมาแล้วตักแกงเห็ดใส่ถ้วยใบใหญ่มาวางตรงกลาง แถมยังมีเกาลัดอีกจำนวนหนึ่งที่แกะแล้วมาวางไว้ด้วย

"ท่านพี่นี่มันเห็ดนี่ขอรับ กินได้ด้วยรึ"

"ได้สิข้ากินไปก่อนหน้านี้ตั้งแต่บ่ายแล้ว ข้าก็ยังสบายดีอยู่"

ว่าแล้วหลี่หลิวก็ตักเห็ดอวบอ้วนใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆอย่างอารมณ์ดี เจ้าสามเห็นเช่นนั้นก็จุกอก เพราะตนก็เป็นคนช่วยน้องรองเก็บมาแล้วน้องรองก็ยังกินต่อหน้าต่อตาท่านพ่อท่านแม่อีก

"กินเถอะ เห็ดนี้ข้าเคยเห็นลุงเหยียนเก็บไปหลายคาเขาบอกว่ามันกินได้"

ท่านพ่อหยิบช้อนขึ้นมาแล้วตักกิน ลุงเหยียนบอกว่าเห็ดนี้อร่อยมากและปลอดภัยที่สุด คนที่เก็บไปกินแล้วตายอาจเป็นเพราะเขาเก็บเห็ดชนิดอื่นไปแต่เห็ดนี้กินได้ 

"ข้ากินด้วย"

น้องเล็กตักเห็ดอวบๆอ้วนๆใส่ปากแล้วชมไม่หยุดว่าอร่อย ส่วนท่านพ่อก็ตักแล้วตักอีก ท่านแม่และข้ามองหน้ากันก่อนจะลงมือตักกิน

"อร่อย นี่มันอร่อยมาก"

เจ้าสามอุทานออกมาแล้วหันไปมองหน้าน้องรอง คิดถึงคำของนางที่พูดไว้ แล้วท่านจะขอบคุณข้าที่เก็บมันกลับมา ทั้งห้าคนพ่อแม่ลูกวันนี้ได้กินอย่างอิ่มท้องแบบที่ไม่เคยกินมาก่อน เกาลัดที่เจ้ารองเก็บมาต้องใช้มีดตัดผ่าครึ่งถึงจะกินมันได้แต่เนื้อข้างในมันหวานหอมคุ้มค่าที่ลงแรงในการแกะถึงจะแกะยากไปบ้างก็ตาม

"พี่ใหญ่... พรุ่งนี้เราไปเก็บเห็ดกันดีไหมขอรับ แล้วก็ไปเก็บลูกหนามมาไว้เยอะๆเลย ทีนี้เราก็จะอิ่มท้องแล้ว"

น้องเล็กหลี่เฉินมีความกระตือรือร้นขึ้นมาและอยากไปเก็บอาหารมาไว้เยอะๆ  หลี่จงพี่คนโตมองหน้าท่านพ่อ ท่านพ่อพยักหน้าทำให้น้องเล็กร้องไชโยเสียงดังจนท่านย่าตะโกนเอ็ดมา หลี่หลิวจึงบอกน้องเล็กว่าห้ามบอกเรื่องนี้กับใครไม่เช่นนั้นจะมีคนอีกมากไปแย่งลูกหนามของเจ้า หากเป็นเช่นนั้นเจ้าต้องอดอาหารอร่อยไปอีกนาน หลี่เฉินรีบเอามือปิดปากส่ายหน้าไปมาพร้อมบอกว่าข้าจะไม่บอกใครอีกเลย ทั้งห้าคนพ่อแม่ลูกก็พากันเข้านอนหลังจากเก็บถ้วยชามเสร็จแล้ว ทุกคนนอนหลับกันหมดเทียนที่จุดไว้ค่อยๆดับลงทีล่ะห้อง เสียงหายใจสม่ำเสมอแสดงว่าเริ่มหลับนอนกันแล้ว

"ท่านพ่อ.."

หลี่หลิวเอ่ยเบาๆท่ามกลางความมืด

"เจ้านอนไม่หลับหรือ"

"ข้าอยากมีบ้านที่มีแต่เราพ่อลูก"

หลี่หลิวใช้ลูกอ้อนกอดแขนผู้เป็นพ่อของเจ้าของร่าง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเธอถึงได้รู้สึกผูกพันรักใคร่ครอบครัวเจ้าของร่างขนาดนี้ แต่ที่รู้คือตอนนี้เธอเป็นลูกของเขาผู้ชายที่นอนเอามือหนุนท้ายทอยคนนี้คือพ่อของฉัน

"ถ้าออกจากบ้านใหญ่ไป เราต้องเริ่มใหม่กันหมดเลยนะ"

"ไม่เป็นไรหรอกท่านพ่อ ขอแค่มีพวกเราอยู่ด้วยกันก็เพียงพอแล้วข้าไม่อยากอดมื้อกินมื้ออีกแล้วท่านพ่อ.."

หลี่หลิวแหงนมองหน้าผู้เป็นพ่ออย่างรอคอยคำตอบ อันที่จริงเขามีความคิดหลายครั้งที่จะพาครอบครัวย้ายออกแต่กลัวว่าการเริ่มต้นใหม่จะทำให้ครอบครัวต้องลำบากกว่าเดิม จึงต้องพักพิงอยู่กับครอบครัวใหญ่เช่นนี้ พอลูกสาวเพียงคนเดียวถึงกับเอ่ยปากมาในใจเขาก็กระวนกระวายไม่น้อย นี่เราปล่อยให้ลูกอดอยากขนาดนั้นเลยรึ ข้าเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ

"ได้ พ่อรับปากเจ้า"

"งั้นพรุ่งนี้เราไปบอกท่านปู่กันนะเจ้าคะ"

"ได้ เจ้านอนได้แล้ว"

"เจ้าค่ะ"

หลี่หงเอามือลูบหลังบุตรสาวเบาๆ ในใจคิดว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ท่านพ่อจะเห็นด้วยหรือไม่ หากเราไปแล้วท่านพ่อท่านแม่จะอยู่อย่างไร ใครจะหุงหาอาหารให้ท่าน ใครจะทำงานไร่งานนาให้ท่าน เมื่อเห็นบุตรสาวหลับแล้วเขาก็ต้องเอามือก่ายหน้าผาก ภรรยาที่เห็นเช่นนั้นได้แต่ส่งยิ้มให้บางๆ เขาหันไปเห็นสายตาที่อ่อนโยนของหวังลู่ภรรยาของเขา ใบหน้าที่ซีดเซียวลงทุกวันของนางทำให้เขาได้คิดใคร่ครวญ นางทนทุกข์ร่วมสุขมามากมายครอบครัวอื่นภรรยาอยู่บ้านทำงานเรียบง่าย แต่นางต้องทำงานหนักหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ใบหน้างามตอนนี้หมองคล้ำไม่นวลผ่องเหมือนก่อนเก่าอีกแล้ว ข้าเป็นสามีและพ่อที่ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ

เอ้กอี้เอ้ก~

เสียงไก่ขันตอนเช้ามืดเป็นนาฬิกาปลุกที่ดีที่สุด หวังลู่ตื่นขึ้นพบว่าลูกสาวตัวน้อยก็ตื่นตามนางเช่นกัน หวังลู่จึงพาบุตรสาวไปล้างหน้าล้างตาจากนั้นให้นางนั่งตั่งไม้อยู่ข้างๆเตาไฟครัวเล็ก ส่วนตนรีบไปก่อไฟหุงหาอาหารที่ครัวใหญ่เสร็จแล้วค่อยไปทำครัวเล็กที่นางเอาแกงเห็ดของบุตรสาวมาอุ่นจนได้ที่แล้วจึงยกหม้อออกจากเตา

"วันนี้เราจะได้ย้ายออกใช่ไหมเจ้าคะ"

หลี่หลิวมองดูนางหวังแม่ของเจ้าของร่างเดิมที่กำลังทำกับข้าวจนเสร็จจึงเอ่ยปากถามขึ้น เพราะรู้ว่าเมื่อคืนตอนที่นางถามแม่ของเจ้าของร่างก็ยังนอนไม่หลับเช่นกัน หวังลู่เหน็บผมทัดหูให้บุตรสาวอย่างเอ็นดู นางก็อยากทำแบบนั้นเช่นกันจะได้ไม่ต้องให้ลูกๆทนอดอยากเช่นนี้ นางมีบุตรสาวและบุตรชายท่านย่าก็ยังไม่พอใจทำอะไรก็ขวางหูขวางตาท่านย่าไปเสียทุกสิ่งอย่าง หากย้ายออกไปถึงให้นางใช้ชีวิตในป่าเขาอาจจะดีกว่านี้ก็เป็นได้ ห่วงก็แต่ลูกๆยังเล็กพวกเขาจะทนร้อนทนหนาวได้หรือยิ่งคิดนางยิ่งท้อใจ

"ท่านไม่ต้องกังวล ข้าหน่ะแข็งแกร่งกว่าที่ท่านคิด หากหลุดพ้นออกจากที่นี่ไปได้ข้าจะมีชีวิตที่สุขสบายกว่านี้แน่นอน"

หลี่หลิวเห็นสีหน้ากังวลของมารดาจึงเข้าใจว่านางคงห่วงความเป็นอยู่หากย้ายออกไปก็ต้องกระทบหลายอย่าง ทั้งที่อยู่อาศัยอาหารการกินคนเป็นแม่ต้องแบกรับสิ่งพวกนี้ไว้ ข้าคงทำได้แค่ให้กำลังนางเท่านั้น

"เจ้าไม่กลัวว่าออกไปแล้วจะลำบากรึ"

"ข้าไม่กลัวความลำบาก ข้ากลัวข้าจะอดตายเสียมากกว่า"

หลี่จงที่ตื่นขึ้นมาแล้วได้ยินสองแม่ลูกคุยกันใจเขาเจ็บปวดเหลือเกิน เขาจึงหันตัวเดินเข้าบ้านไป ก่อนหน้าเห็นท่านแม่ตื่นแล้วท่านพ่อคงตื่นแล้วเช่นกันเขาจึงบากหน้าเข้าไปปรึกษาท่านพ่ออย่างจริงจัง

"เจ้าแน่ใจรึ"

"ขอรับ"

หลี่หงนั่งคุกเข่าต่อหน้าท่านพ่อที่นั่งเก้าอี้แล้วจิบชายามแต่เช้ามืด เขาบอกไปแล้วว่าอยากย้ายออก แต่ท่านพ่อดูนิ่งและสงบมากจนเขาคาดเดาไม่ได้เลยว่าท่านจะยินยอมหรือไม่

"ในเมื่อเจ้ามั่นใจแล้วก็รีบพาครอบครัวเจ้าไปเสีย"

ชายวัยกลางคนลุกขึ้นและเดินไปหยิบของบางอย่างที่ซุกซ่อนไว้ในกล่องหนังสือมาใส่มือเขา หลี่หงถึงกับตกใจท่านพ่อมอบเงินให้ข้างั้นรึนี่มันห้าตำลึงเงินเชียวนะ

1 ก้วน = 1,000 อีแปะ/เวิน

1 ตำลึงเงิน = 1 ก้วน

1 ตำลึงทอง = 10 ตำลึงเงิน

"ท่านพ่อ..."

"รีบไปเสีย ส่วนนี่คือโฉนดที่ดินมันมีขนาด3ไร่กับอีก2งาน ที่ตรงนั้นมีคนเช่าอยู่ให้เจ้าถือโฉนดที่เป็นชื่อเจ้าไปยืนยันกับเขาว่าเจ้าเป็นเจ้าของที่คนใหม่ ที่นั่นอยู่ห่างไกลจากที่นี่พอควรใช้เวลาในการเดินทางยี่สิบนาทีถึงจะถึงที่นั่น ข้าแอบเก็บเล็กผสมน้อยไว้จนได้ที่แปลงนี้มาที่นั่นมีกระท่อมอยู่หลังหนึ่งมันเพียงพอต่อครอบครัวของเจ้า"

"ไปรีบ ไปก่อนที่ยายเฒ่านั่นจะมา ข้าจะบอกนางเองรีบไปเสีย"

"ท่านพ่อดูแลตัวเองด้วยนะขอรับ"

หลี่หงคุกเข่าคำนับผู้เป็นบิดา เขาคิดมาโดยตลอดว่าท่านพ่อนั้นรักและเอ็นดูครอบครัวพี่ใหญ่มากกว่าครอบครัวตน แท้จริงแล้วท่านกับเตรียมการไว้ล่วงหน้าให้เขาซะดิบดีทั้งที่ดินเงินตราและที่พักอาศัย หลี่หงโขกหัวลงพื้นด้วยความละอายใจที่คิดกับท่านพ่อเช่นนั้นได้แต่หวังว่าท่านพ่อจะอภัยในความคิดแง่ลบของตน

"เจ้าตัดสินใจแล้วก็อย่าชักช้า ไปได้แล้ว"

ชายวัยกลางคนเห็นบุตรคนกลางน้ำตาคลอจึงรีบพยุงให้เขาลุกขึ้น และเร่งรีบให้เขาไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเพราะตอนนี้นางหลี่ไช่หัวออกไปดูบ้านข้างๆที่มีหมูคลอดลูกอยู่ หากนางกลับมาบางทีพวกเขาคงไม่ได้ไปแล้ว

"ข้าจะกลับมาทดแทนคุณท่านพ่อท่านแม่อย่างแน่นอนขอรับ"

"พูดมากเสียจริง รู้แล้วๆไปได้แล้ว"

ชายวัยกลางคนโบกมือไล่เขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เจ้าลูกคนนี้จิตใจดีเกินไปชอบช่วยเหลือคนอื่นแถมยังทำอะไรเกินตัวจนตนเองและครอบครัวลำบาก หาได้ใช้ยากเงินสักอีแปะยังไม่เคยคิดจะเก็บไว้ หากข้าไม่ตระเตรียมไว้เมื่อหลายปีก่อนเขาคงต้องทนทุกข์อีกนานยังดีที่เขายังรู้ตัวว่าต้องเป็นผู้นำครอบครัวที่ดีแบบไหนถึงจะนำพาครอบครัวให้สุขสบาย

"เฮ้อ... เจ้าคิดได้ก็ดีแล้ว"

ชายวัยกลางคนนั่งจิบชาอ่านหนังสือใต้แสงเทียน ทว่าใจจิตใจกับล่องลอย กว่าเขาจะคิดได้ใช้เวลานานมากเพียงนี้เชียว ก็ยังดีที่คิดจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นภายนอกบ้านหลังนี้ แต่มันคงจะลำบากในช่วงแรกๆข้าหวังว่าเขาจะผ่านมันไปได้ล่ะนะ

"หวังลู่!! เจ้ารีบไปเก็บข้าวของเราจะไปกันตอนนี้เลย ท่านพ่ออนุญาตแล้วเราต้องรีบไปก่อนที่ท่านย่าจะกลับมาพบ"

"จริงหรือเจ้าคะงั้นข้าจะไปปลุกพี่ใหญ่ให้ช่วยเก็บของ"

"ท่านพ่อ แล้วเราจะไปที่ไหนกันหรือเจ้าคะ"

"อย่าพึ่งถามมากความและเบาเสียงลงหน่อยเดี๋ยวคนในบ้านจะตื่นเอาได้"

หลี่หงเห็นบุตรสาวดีใจออกนอกหน้าจึงเอ็ดไปเล็กน้อยและบอกให้นางเบาเสียงลง จากนั้นทั้งหลี่หง หวังลู่และหลี่จงต่างรีบเก็บเสื้อผ้าและของใช้ในห้องไปใส่รถลากที่ท่านพ่อบอกว่าถึงมันจะพังแต่เขาส่งมันไปซ่อมแล้วจนเกือบเต็มรถ ให้หลี่หลิวคอยดูแลหลี่เฉินที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ลาวบนรถลาก ไม่นานพวกเขาก็ย้ายออกไปแบบเงียบๆหลี่หวนมองทอดออกไปเห็นครอบครัวสองหันมาโค้งคำนับให้เขาก่อนที่จะออกเดินทางไปจึงได้แต่อวยพรให้พวกเขาไปดีมีสุข