webnovel

ตอนที่ 3 โรคชื่อประหลาด

หลังจากอาศัยอยู่ที่บ้านริมน้ำของหมู่บ้านดอยมอมแมม มาได้ครบ 1 เดือนแล้ว วันนี้เป็นวันสำคัญของหมู่บ้าน ได้ยินเสียงวุ่นวายเอะอะกันตั้งแต่ฟ้าสางทีเดียว

หมอนิลลี่กับมูมู่ได้รับเชิญจากผู้ใหญ่บ้านให้มาร่วมในพิธีอันสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ของหมู่บ้านโดยมีตุ๊ดตู่คอยอธิบายให้ฟังตลอดว่าพิธีมีอะไรกันบ้าง วันนี้ที่ลานกลางหมู่บ้านมีทั้งอาสนะที่นั่งสำหรับพระสงฆ์ โต๊ะมีไม้กางเขนและคัมภีร์ไบเบิลไว้สำหรับทำพิธีทางศาสนาคริสต์ และยังมีของเส้นไหว้ผีอยู่อีกโต๊ะข้างๆ กัน

นิลลี่เห็นว่ามีของสำหรับทำพิธีวันเดียวถึง 3 ศาสนา จึงอดสงสัยไม่ได้จึงถามกับพ่อหลวง จนได้รับคำตอบมาว่า ที่ดอยมอมแมมนั้นมีทั้งคนที่ยังเชื่อถือในภูตผีอยู่อย่างที่บ้านพ่อหมอ คนอีกส่วนหนึ่งนับถือศาสนาพุทธซึ่งมีวัดเล็กๆ ประจำหมู่บ้านและมีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่จำนวน 3 รูป นอกจากนั้นปัจจุบันคนส่วนใหญ่ของหมู่บ้านนับถือศาสนาคริสต์ ก็จะมีโบสถ์ตั้งอยู่กลางหมู่บ้านนั่นเอง

พอถึงเวลาพิธีนิลลี่ก็เห็นพระสงฆ์จำนวน 9 รูปมาร่วมในพิธี เนื่องจากเป็นพิธีสำคัญของหมู่บ้านพ่อหลวงจึงได้นิมนต์พระจากหมู่บ้านอื่นมาด้วยให้ครบ 9 รูป

พอทุกคนมาพร้อมหน้า ลูกชายของพ่อหลวง ซึ่งอายุใกล้เคียงกับดร.นิลลี่ ตัวสูง รูปร่างสันทัดมีกล้ามเนื้อหนาแน่น งานดีของหมู่บ้าน ก็ทำหน้าที่เป็นพิธีกรแทนพ่อหลวง โดยเริ่มต้นด้วยการเชิญพ่อหมอเป็นผู้ประกอบพิธีเลี้ยงผี

โดยพ่อหลวง พ่อหมอ และผู้ช่วย นำข้าวอาหาร ไปที่ต้นไม้ใหญ่และเก่าแก่ ซึ่งคือต้นไม้ประจำหมู่บ้านนั่นเอง พ่อหมอร่ายมนต์ยกมือพนมไหว้ไปที่ต้นไม้ต้นนั้น ผู้ช่วยที่ถืออาหารก็ส่งอาหารให้พ่อหมอ พ่อหมอเป่าคาถาแล้วนำไปวางที่ต้นไม้ พร้อมกับร่ายมนต์อีกครั้ง เป็นการรำลึกถึงบุญคุณของต้นไม้นั่นเอง

หลังจากนั้นลูกชายของผู้ใหญ่บ้าน ก็ประกาศให้ทุกคนมาที่หน้าอาสนะสงฆ์เพื่อประกอบพิธีทางพุทธ เป็นการสวดมนต์ รับศีลรับพร ถวายอาหารเพล และเครื่องปัจจัยไทยธรรม จนกระทั่งเสร็จพิธีสงฆ์ ก็พักเที่ยงกันก่อน

กลับมาต่อด้วยพิธีคริสต์ที่มีการสวดมนต์ตามศาสนา เป็นการประกอบพิธีครบทั้ง 3 ศาสนา ต่อด้วยพิธีสำคัญที่สุดของวันนี้ นั่นคือการบวชต้นไม้ ต้นใหญ่จำนวน 100 ต้นในป่าข้างหมู่บ้าน หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านปกาเกอญอ ซึ่งเป็นชาวเขาที่ผูกพันกับป่าไม้และต้นไม้มาก ไม่ว่าจะเกิดจะตายย่อมมีพิธีเกี่ยวกับต้นไม้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเขาจะไม่ทำลายป่า แต่จะดูแลป่าเป็นอย่างดี

การบวชป่าคือการที่พระสงฆ์นำชาวบ้านที่เป็นชายนำผ้าจีวรพระไปผูกไว้กับต้นไม้ ชาวคริสต์ก็จะนำไม้กางเขนไม้มาผูกไว้กับต้นไม้เช่นกัน เป็นการบอกว่าต้นไม้นี้มีเจ้าของห้ามตัดเป็นอันขาด และชาวบ้านที่นับถือผี ก็จะเอาไม้สานเป็นสัญลักษณ์เพื่อไล่ผีไม่ให้มาทำลายต้นไม้

กว่าจะบวชต้นไม้ครบ 100 ต้นก็ทำกันจนเย็น วันนี้นอกจากมีการบวชต้นไม้แล้ว ชาวบ้านก็จะมีการเลี้ยงฉลองกัน ถือเป็นงานใหญ่ประจำปีของหมู่บ้านเลยทีเดียว

บ้านผู้ใหญ่บ้านล้มหมูมาหลายตัวทีเดียว มาทำอาหารหลายชนิด มีทั้งแบบดิบ แบบสุก เตรียมเหล้ายาปลาปิ้งอย่างดี เหล้าก็เป็นเหล้าต้มแบบชาวบ้านพื้นเมือง ที่ต้มใส่หม้อแล้วใช้หลอดมาดูดจากหม้อต้มร่วมกัน

คืนนั้นหมอนิลลี่ก็เข้าร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วยโดยมีลูกชายพ่อหลวงคอยดูแลเพราะว่าตุ๊ดตู่ถูกตาม กลับบ้านไปแล้วนั่นเอง ซึ่งก่อนกลับบ้านตุ๊ดตู่ก็ได้บอกกับ ลูกผู้ใหญ่บ้านว่า

"พี่ณัฐ พี่ณัฐ ฝากดูแลพี่หมอด้วยนะ ต้องกลับบ้านแล้วอ่ะ แม่มาตามอยู่ตรงทางเข้าลานแล้ว เฮ้อจะอยู่ต่อกับมูมู่ก็ไม่ได้"

"ได้ได้ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพี่ดูแลหมอให้แกเอง ไอ้ตุ๊ดตู่ รีบกลับบ้านไปเหอะ เดี๋ยวถูกหวดที่ก้นหรอก"

"ไปแล้ว พี่พี่ทั้ง 2 เจอกันพรุ่งนี้นะ"

พอเสียงตุ๊ดตู่พูดจบ พี่ณัฐก็ส่งยิ้มให้ตุ๊ดตู่แล้วก็หันมาทางหมอนิลลี่

"สวัสดีครับคุณหมอนิลลี่ ผมลูกชายพ่อหลวง ชื่อจริง ณัฐพล ชื่อเล่นว่า ณัฐ ครับ จริงๆ ผมจบทางด้านเกษตรมาจากมหาวิทยาลัยในกรุงเทพ กลับบ้านมาเพื่อจะมาพัฒนาการแปรผลผลิตทางการเกษตร ตามแบบปกาเกอญอ เพื่อส่งขายหารายได้ให้หมู่บ้านครับ"

"อ่อ คะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ"

"คุณหมอลองอาหารบ้านๆ หน่อยไหมครับ พวกของดิบ กินได้ไหม หรืออยากลองเหล้าต้มของชนเผ่าเรา"

"หมูดิบหมอขอบายนะคะ แต่หมูสุกยินดีคะ ส่วนเหล้าต้มขอแค่ลองชิมพอ"

"ไม่ทราบว่าคุณหมอ จบที่ไหน และชำนาญสาขาไหนหรือครับ แล้วทำไมถึงมาอยู่กลางป่าแบบนี้"

หมอนิลลี่พอโดนถามแบบนี้เริ่มเครียด ด้วยว่าไม่อยากให้ทุกคนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนก่อนที่จะหลงเข้ามาให้หมู่บ้านดอยมอมแมมแห่งนี้ จะเลี่ยงตอบก็เสียมารยาทจึงตอบแบบไม่ครบทุกเรื่องไปว่า

"จบหมอมาจากอเมริกาคะ มีความชำนาญทางห้องฉุกเฉินเป็นพิเศษ และอยากออกมาทำงานชุมชนก็เลยลาออกจากงานแล้วเข้าป่ามาคะ"

"ได้ข่าวว่าคุณหมอมาอยู่ที่นี่ได้ 1 เดือนแล้ว พร้อมเจ้าหุ่นยนต์หน้าตาประหลาดที่นั่งข้างๆ นี่ พอดีช่วง 1 เดือนนี้ ผมไปอบรมการเกษตรเพิ่มเติมในจังหวัดถึงไม่ได้เจอกันเลย ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งนะครับ หากคุณหมอต้องการอะไรเพิ่มเติม หรือขาดเหลือ หรือต้องการความช่วยเหลืออะไรแจ้งผมได้ครับ ผมอยู่ที่หมู่บ้านตลอดเวลา"

"ขอบคุณมากๆ เลยคะ"

คืนนั้นณัฐนั่งดูแลหมอนิลลี่ตลอด จนกระทั่งหมอนิลลี่ง่วงขอลากลับบ้าน ณัฐก็เดินมาส่งถึงบ้านริมน้ำเลยทีเดียว ก่อนกลับก็ยังล่ำลาว่า

"ผมกลับก่อนนะครับ ฝันดีครับ"

"เช่นกันคะ"

หลังจากวันนั้นณัฐกับหมอนิลลี่ก็เจอกันทุกวัน อีก 2 วันต่อมา ระหว่างที่หมอนิลลี่ มูมู่ เดินเข้ามาในหมู่บ้านช่วงกลางวัน และณัฐเห็นพอดี ก็เดินเข้ามาและกำลังจะชวนคุยอยู่นั้น มีเสียงหญิงวัยรุ่นร้องตะโกนเรียก

"นั่นใช่แม่หมอหรือเปล่าจ๊ะ"

"ใช่ค่ะ มีอะไรหรือคะ"

หญิงวัยรุ่นนั้นอายุน่าจะประมาณ 20 กว่าต้นๆ หน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาว ตากลมโต รูปหน้าลูกไข่ หุ่นรูปร่างเอวเอส สะโพกงามทีเดียว ตอบกลับมาด้วยเสียงสั่นเครือว่า

"ช่วยมาดูพ่อหนูหน่อยจ้า แกเป็นไข้ อยู่ 2 วันตั้งแต่วันที่มีงานเลี้ยง แล้วก็หูไม่ได้ยินจ้า พาไปให้พ่อหมอดูมาเมื่อวานเป่ายาแล้วไม่ดีขึ้น มีไข้สูงกว่าเดิมอีก เลยไม่รู้จะทำยังไงจ้า"

นิลลี่ มูมู่ และณัฐ เดินตามหญิงสาวเข้ามาในห้องของชายสูงวัย นิลลี่ก็สั่งมูมู่

"มูมู่วัดไวทัลไซด์ ลูกสาวคนไข้คะ คุณพ่อมีโรคประจำตัวอะไรบ้างคะ"

"เบาหวาน ความดันจ้า"

ระหว่างนั้นมูมู่ วัดไวทัลไซด์ และส่งรายงานมาทางตา หมอนิลลี่อ่านผลการวัดแล้วก็หันมาพูดกับลูกสาวต่อ

"คุณพ่อมีไข้สูงมากนะ มีอาการอะไรบ้างตั้งแต่วันแรกคะ"

"อืม วันแรกคือเมื่อวาน หลังวันที่มีงานประจำหมู่บ้านคะ เช้ามาก็มีไข้เลย แต่รู้ตัวดี พอกลางวันมีอาเจียน ปวดหัวมาก เลยพาไปหาพ่อหมอ ให้แกเป่ายารักษาให้จ้า กลับบ้านมาไข้ก็ทรงๆ"

"เล่ามา แล้วมีอาการอื่น อะไรอีกไหมคะ"

"พอเมื่อคืน หนูเช็ดตัวให้ด้วย ไข้ก็กลับสูงกว่าเดิม เริ่มเพ้อ พอเช้ามาเหมือนเริ่มไม่รู้ตัว นอนตลอด ไม่ยอมกินข้าว เรียกก็ไม่ได้ยิน แกบอกว่าไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย"

"เป็นกี่ข้างคะ"

"ไม่แน่ใจคะ เพราะแกฟังไม่ค่อยได้ยิน เดิมแกหูดีตลอด"

หมอนิลลี่นั่งคิดสักพัก หันไปบอกมูมู่ว่า "มูมู่ช่วยหน่อย เข้าไปตรวจร่างกายโดยเฉพาะการได้ยินนะ แกยังพอจะคุยได้บ้าง แล้วกลับมารายงาน"

พอมูมู่กลับมาพร้อมรายงานประวัติตรวจร่างกายที่ตาและทำการวินิจฉัยแยกโรคให้กับดร.นิลลี่ พอหมออ่านก็หันมาซักประวัติต่อทันที

"วันงานคุณพ่อกินอะไรบ้าง มีกินของดิบๆ ไหม"

"ใช่จ้าแม่หมอ พ่อกินลาบหมูดิบๆ พร้อมกินเหล้า เมาไม่รู้เรื่องเลยจ้า"

มูมู่พอได้ประวัติครบก็ทำงานประมวลผลการวินิจฉัยโรคส่งให้กับนิลลี่ทันที

"รู้แล้ว พ่อเป็นโรคไข้หูดับ หรือโรคหมูชาวเขาคะ" นิลลี่บอกสาวน้อย

"โรคไข้หูดับ ผมเคยอ่านข่าวเจอ ไม่นึกว่าจะมาเจอในหมู่บ้านตัวเอง" เสียงลูกผู้ใหญ่บ้านพูดขึ้นมาบ้างหลังจากนั่งดูการตรวจคนไข้ของหมอทั้ง 2 มาสักพักแล้ว

"ใช่คะ โรคไข้หูดับ"

"จริงๆ จะว่าอันตรายก็อันตราย จะไม่อันตรายก็ไม่อันตราย แต่รายนี้ถือว่าอันตราย เพราะเป็นเบาหวานภูมิป้องกันโรคต่ำ จะเห็นว่าแกไข้สูงมากและเริ่มเพ้อ ไม่ค่อยรู้ตัว คุณณัฐว่างไหมคะ ช่วยพาแกกลับไปที่บ้านหมอหน่อยคะ ต้องให้น้ำเกลือยาฆ่าเชื้อทางเส้นเลือด ส่วนเรื่องหูหมอไม่รับประกันว่าจะหายหรือไม่นะคะ ต้องแล้วแต่ดวงจริงๆ" นิลลี่พูดกับทั้งณัฐและลูกสาวคนไข้

"ว่างครับ"

"หนูขอตามแม่หมอไปที่บ้านด้วยได้ไหมคะ"

"ไว้ไปช่วงเย็นหรือพรุ่งนี้ดีกว่า รอให้แกไข้ลงและอาการดีขึ้นพูดคุยได้ก่อนดีกว่า"

"ไปกลับบ้านกันมูมู่ มูมู่ช่วยแปลงร่างเป็นเปลคนไข้หน่อย ฝากคุณณัฐช่วยกันเข็นไปกับมูมู่นะคะ"

เมื่อถึงบ้านก็ช่วยกันย้ายคุณลุงเข้าห้องสังเกตอาการ "มูมู่เปิดเส้นให้น้ำเกลือนะ เจาะเลือดด้วย เอาไปตรวจกลูโคส เครียอะตินีน บียูเอ็น การทำงานของตับ อิเลคโตรไลท์ พร้อมให้ยาพารากับบลูเพ็น เช็ดตัวลดไข้ด่วนๆ เลย เอาเลือดไปเคาว์เจอร์หาเชื้อด้วย"

"ให้ผมช่วยอะไรได้บ้างไหมครับ"

"คุณช่วยเข็นและยกตัวคนไข้เหนื่อยแล้วคะ นั่งพักก่อนก็ได้ ต่อไปนี้เป็นหน้าที่ของมูมู่คะ"

"อย่าลืมให้ยาฆ่าเชื้อทางเส้นเลือดด้วย มูมู่ ลองประมวลทีซิว่าให้ตัวไหนดี"

สักครู่พอมูมู่ประมวลผลแล้วส่งให้ดร.นิลลี่อ่าน

"ตามนั้น เพนนิซิลิน เข้าเส้นเลย ไม่ต้องรอผลการเค้าล์เจอร์นะ"

สั่งยาสั่งการรักษาเสร็จพอดี ก็มีเสียงเด็กดังมา

"หวัดดีพี่หมอ วันนี้มีอะไรให้ตุ๊ดตู่ ผู้ช่วยหมอมือหนึ่งช่วยไหมครับ"

"อ้าว พี่ณัฐ วันนี้มาแย่งตำแหน่งผมหรือครับ ฮึ" พร้อมส่งค้อนวงใหญ่มาให้ลูกชายผู้ใหญ่บ้าน

"ฮา ฮา ฮา วันนี้มาช้าจัง มูมู่จัดการไปเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวรอผลตรวจทางห้องปฏิบัติการก่อนเพื่อมีอะไรให้ช่วยจ้า วันนี้เดี๋ยวสอนโรคไข้หูดับให้ฟังดีไหม"

"ดีครับ แต่ว่ามันคืออะไรอ่ะ"

"รอก่อนนะ รอให้ทำการรักษาคุณลุงก่อน"

"ผมขอเรียนกับคุณหมอด้วยคน นะครับ"

"ยินดีคะ แต่ต้องรอให้คุณลุงได้รับการรักษาและอาการคงที่ไม่อันตรายก่อนนะคะ"

แล้วมูมู่ก็กลับมาพร้อมการแปลผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการยกเว้นผลเค้าล์เจอร์เพราะต้องรออย่างน้อย 3-7 วัน เมื่อส่งผลให้หมอนิลลี่อ่านแล้ว

"หืม ลุงแกน้ำตาลขึ้นกระฉูดเลยดีนะที่ยังไม่ซีเวียร์มาก ไตกับตับโอเคร มูมู่เตรียมอินซูลินฉีดเข้าเส้นด่วนเลย"

เมื่อให้น้ำเกลือให้ยาฉุกเฉินจำเป็นเรียบร้อยแล้ว เป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ดร.นิลลี่หันมาบอกไอ้ตุ๊ดตู่

"ช่วยเช็คไวทัลไซน์คุณลุง ให้พี่ที ตุ๊ดตู่"

"ครับผม" แล้วตุ๊ดตู่ก็เดินไปกับมูมู่ ทำการตรวจวัดไวทัลไซน์เสร็จก็เดินมารายงานพี่หมอของเขาว่า

"อุณหภูมิ 37 องศา ไม่มีไข้ครับ บีพี 140/90 ความดันสูงนิดหน่อยแต่ไม่อันตรายครับ ชีพจร 100 ต่อนาที น่าจะเกิดจากไข้ครับผม ส่วนการหายใจดูแล้วไม่หอบหายใจไม่เร็วครับ"

ดร.นิลลี่หันไปดูที่ตาของมูมู่ซึ่งขณะที่ตามตุ๊ดตู่ไปวัดไวทัลไซน์นั้น มูมู่จะบันทึกค่าต่าง ๆ ไว้ด้วย เมื่อดูแล้วเห็นว่า ตุ๊ตตู่แปลผลได้ถูกต้องก็ ปรบมือแล้วชมเชยว่า

"เดือนเดียว ฝึกได้ขนาดนี้แล้ว เก่งมาก ตุ๊ดตู่ เดี๋ยววันนี้พี่ให้กินเค้กช็อกโกแลตหนึ่งชิ้น ตอนสอนโรคไข้หูดับนะ"

ระหว่างที่ณัฐนั่งฟังอยู่ด้วยนั้นก็ทำหน้าทึ่งในการสนทนาของทั้ง 2 คนแล้วพูดด้วยเสียงที่ตื่นเต้นว่า

"งั้นผมขออนุญาตมาเป็นลูกศิษย์ ของคุณหมออีกคนนะครับ ต่อไปขออนุญาตเรียกว่าแม่หมอตามคุณพ่อของผมนะ และขออนุญาตมาเรียนทุกวันกับไอ้ตุ๊ดตู่ด้วย"

"จะดีหรือคะ คุณณัฐมีงานยุ่งต้องทำทั้งวันแล้วยังจะมาเรียนศัพท์แสงทางการแพทย์ตอนเย็นอีก"

"ไม่เป็นไรครับ ผมแบ่งเวลามาเรียนได้สบาย"

"งั้นตามสะดวกคะ"

"เย้ ผมมีเพื่อนเรียนแล้ว พี่ณัฐต้องเรียกผมว่าศิษย์พี่นะ"

"ตามนั้นเลย ศิษย์พี่ตุ๊ดตู่"

"ศิษย์น้อง พี่ณัฐ"

และแล้วดร.นิลลี่ก็ได้ลูกศิษย์มาเพิ่มอีก 1 คน เมื่ออาการคนไข้ดูทรงตัวแล้ว ดร.ก็ทำตามสัญญาคือมาสอนนักเรียนทั้ง 2 ดังนี้

"โรคไข้หูดับนะ เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิด สเตร็ปโตค็อกคัด จำชื่อเชื้อแค่นี้พอ โดยเชื้อนี้มักจะอยู่ในหมู ติดต่อมายังคนด้วยการที่ไปสัมผัสกับหมู หรือกินหมูดิบเข้าไป พอป่วยจะมีไข้ หลังแข็ง อาเจียน ปวดหัว แล้วก็หูไม่ได้ยิน จึงเรียกว่าไข้หูดับ หรือบางคนเรียกว่า โรคไข้หมูชาวเขา เพราะตอนพบครั้งแรก ๆ มักเกิดจากงานเลี้ยงของชาวเขา แบบนี้เลย เอาเนื้อหาแค่นี้เนอะ เข้าใจเรื่องโรคเนอะ"

"เข้าใจครับ" ลูกศิษย์ทั้งสองประสานเสียงกันตอบทีเดียว

"ตามสัญญาเนอะ ไปกินเค้กกัน แล้วก็กลับบ้านกันได้แล้วฟ้ามืดแล้ว"

"ครับ"

เย็นวันรุ่งขึ้นลูกสาวคุณลุงมาเยี่ยม เห็นอาการพ่อดีขึ้นก็ดีใจมาก สอบถามว่า

"คุณพ่อต้องอยู่ที่นี่อีกกี่วันคะ"

"ต้องให้ยาทางเส้นเลือด ต่อจนครบอาทิตย์ ถ้าอาการดีขึ้นไม่มีอะไรแทรกซ้อนก็กลับบ้านได้ค่ะ อ่อ ขอถามเพิ่มคะ รักษาเบาหวานและความดันยังไงคะ"

"รักษากับพ่อหมอคะ"

"หมอรบกวนให้มารักษากับแม่หมอด้วยได้ไหมคะ คือไม่ถึงกับเลิกรักษากับพ่อหมอ แต่กินยาทั้ง 2 ที่ประมาณนี้นะ จะได้รักษาระดับความดันกับน้ำตาลให้ได้ดีกว่านี้คะ"

"ได้คะ งั้นวันนี้ขอตัวกลับก่อนนะคะ"

พอให้ยาฆ่าเชื้อครบอาทิตย์ อาการของคุณลุงก็ดีขึ้นเป็นลำดับ แต่การได้ยินนั้นยังไม่ดีขึ้น หมอนิลลี่จึงแจ้งกับทางลูกสาวที่รับคุณลุงกลับบ้านว่า

"อาการหูดับยังไม่ดีขึ้นเลยคะ ไว้นัดมาตรวจซ้ำพร้อมกับรับยาความดันและเบาหวานนะคะ ไม่ต้องกังวล ถ้าไม่ดีขึ้นจริงๆ ก็ใส่เครื่องช่วยฟังช่วยได้คะ"

"ได้คะ ตามนั้น"

สุดท้ายเมื่อนัดมาดูอาการไปเรื่อยๆ จนครบ 6 เดือนอาการหูดับของคุณลุงก็ยังไม่ดีขึ้น หมอนิลลี่ก็หันไปสั่งมูมู่ว่า

"มูมู่ เดี๋ยวช่วยวัดระดับการได้ยินให้ด้วย ชั้นจะประดิษฐ์เครื่องช่วยฟังให้คุณลุง" แล้วหันมาบอกสาวน้อยว่า "มารับอาทิตย์หน้านะคะ"

แล้วนิลลี่ก็ทำเครื่องช่วยฟังให้คุณลุงตามนัดภายในหนึ่งอาทิตย์ เมื่อคุณลุงได้ยินดีขึ้นก็ขอบอกขอบใจเป็นการใหญ่ แล้วชวนไปกินข้าวที่บ้าน หมอนิลลี่รีบแซวว่า

"กินลาบหมูดิบกันนะลุง"

"ไม่เอาแล้วหมอ เข็ด นี่หูไม่ได้ยินเลย ดีที่ไม่ตาย มามาเย็นนี้มากินข้าวที่บ้านเดี๋ยวล้มหมูเลี้ยง"

"ยินดีมากเลยคะ ขอพาลูกศิษย์ทั้ง 2 ที่ช่วยดูแลคุณลุงไปด้วยนะคะ"

"เย้ศิษย์น้องเราได้ไปด้วยแหละ" เสียงตุ๊ดตู่หันมาบอกณัฐ

"หวังว่าคงไม่รบกวนนะครับ คุณลุง"

"เชิญไอ้หลาน มาเลย ล้มหมูทั้งตัวกินแค่นี้กินไม่หมดหรอก"

สุดท้ายแล้วหมอนิลลี่ก็ดีใจที่เปลี่ยนนิสัยการกินของคุณลุงได้ อย่างน้อยเริ่มต้นที่ 1 คนก่อนก็ยังดี เมื่อทุกคนเข้าใจก็จะได้หันมาเลิกแบบคุณลุง

การสร้างสรรค์งานเป็นเรื่องยาก ส่งกําลังใจให้กันด้วยนะ!

DrNillycreators' thoughts