บทที่ 58 กลิ่นเหม็น
นายท่านสองตกอยู่ในความสับสน เกิดอันใดขึ้น นางพูดว่าอันใดนะ
ไม่ได้พูดเรื่องมารดา แล้วพูดเรื่องของใครกัน วิญญาณร้าย เรือนตระกูลหมิงมีวิญญาณร้ายด้วยหรือ สถานการณ์ของนายท่านสองในตอนนี้ไม่ได้สูงไปกว่ากันเลย
ยอดฝีมือสองคนกำลังประมือกัน คนหนึ่งตั้งท่าต่อสู้เผยให้เห็นกลอุบายหลอกอีกฝ่ายนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังคิดหาวิธีนับไม่ถ้วนเพื่อทำลายฝ่ายตรงกันข้าม
อย่างไรก็ตามเมื่อถึงเวลาประมือ อีกฝ่ายก็ไม่ได้เดินตามกลอุบายที่คิดเอาไว้ แต่พุ่งต่อยเข้าไปตรงๆ…
โจมตีนายท่านสองจนเขามึนงง ไม่ใช่แค่นายท่านสองผู้เดียวเท่านั้น แต่ยังมีผู้คนอีกมากมายในที่แห่งนี้ พวกเขาต่างก็ไม่คิดว่าผลที่ออกมาจะกลับตาลปัตรกลายเป็นเช่นนี้
สิ่งที่นางจะพูดเป็นเรื่องอื่นหรอกหรือ แต่เมื่อครู่นี้…ทุกคนมองไปที่นายท่านสองด้วยสายตาที่ไม่สามารถอธิบายได้ นายท่านสองตระหนักได้ว่าเขาเป็นผู้พูดเรื่องสกปรกในครอบครัวด้วยตนเอง!
เขายอมรับแล้วว่าที่ฮูหยินสามฆ่าตัวตายเป็นเพราะความอัปยศที่ผู้เป็นน้องเขยได้ก่อขึ้น! นายท่านสองแทบอยากจะระเบิดหัวตนเอง
โดยทั่วไปแล้วการป่าวประกาศเรื่องอื้อฉาว แสดงว่ามีสิ่งที่ต้องปกปิดเอาไว้นั่นคือเรื่องที่อื้อฉาวยิ่งกว่า แต่เขาก็พูดมันออกไปเพราะคิดว่าหมิงเวยจะรายงานเรื่องมารดาของนาง
เขาเกรงว่าเจี่ยงเหวินเฟิงจะพบสาเหตุการตายที่แท้จริงถึงได้ยอมรับออกไปว่านายท่านหกดื่มสุราหนักจนขาดสติแล้วฮูหยินสามก็ฆ่าตัวตายเพื่อรักษาชื่อเสียงของตน
ที่เรียกว่าเปรียบเทียบสิ่งอันตรายสองสิ่งแล้วเลือกสิ่งที่ส่งผลร้ายน้อยกว่า
แต่ตอนนี้เรื่องที่หมิงเวยต้องการเรียกร้องกลับไม่ใช่เรื่องนี้ เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาเป็นคนป่าวประกาศเรื่องราวสกปรกของตระกูลให้เจ้าหน้าที่น้อยใหญ่ เหล่าชนชั้นสูงหัวเราะเยาะด้วยตนเอง
ยิ่งไปกว่านั้นหากเป็นหมิงเวยที่บอกเรื่องราวอัปยศอดสูของผู้เป็นมารดา ผู้คนก็จะกล่าวว่ารุนแรงกับผู้เคราะห์ร้ายมากยิ่งขึ้น ผู้คนส่วนใหญ่จะต่อว่าฮูหยินสามว่านางไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ของตน ยั่วยวนน้องเขยผู้ที่นางไม่ควรยุ่งด้วย แต่ตอนนี้กลับเป็นนายท่านสองที่พูดมันออกมาเอง จึงทำให้เรื่องราวนั้นแตกต่างออกไป
ปรากฏว่าฮูหยินสามฆ่าตัวตายเพราะตระกูลหมิงเต็มๆ ตระกูลหมิงมีบุตรที่ไม่ได้ความเช่นนี้ แค่ลงโทษตามกฎของตระกูลมันเพียงพอแล้วอย่างนั้นหรือ
เหอะๆ หากนายท่านหมิงเซียงรู้ว่าตระกูลของตนกลายเป็นเช่นนี้ เขาจะไม่กระโดดออกจากหลุมศพด้วยความโกรธหรอกหรือ ภายใต้ความสนใจของทุกคน สีหน้าของนายท่านสองประเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีดขาว
เขาทั้งเกลียด ทั้งเสียใจ เสียใจที่ตัวเองอายุปานนี้แล้ว เหตุใดถึงได้หัวร้อนแล้วยังกระโดดลงไปในหลุมที่ผู้อื่นขุดขึ้นอีก เขาโกรธที่เด็กคนนี้เจ้าเล่ห์เช่นนี้ เป็นไปได้ว่าการคาดเดานั้นจะเป็นเรื่องจริงไม่อย่างนั้นเด็กคนหนึ่งที่โง่มาเป็นสิบปี อยู่ๆ จะฉลาดขึ้นมาเพียงนี้ได้อย่างไร
“พรืด...” จู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้น
ท่ามกลางความเงียบนี้ทำให้ได้ยินเสียงดังกล่าวชัดเป็นพิเศษ ทุกคนหันไปตามเสียงแล้วก็พบว่าเป็นคุณชายหยาง
เขายกพัดปิดใบหน้าของตน “ขอประทานอภัยในห้องเซ่นไหว้ผู้ตาย ข้าไม่สมควรดูหมิ่นผู้ตาย” ถึงแม้จะหยุดหัวเราะแล้ว แต่ฟังจากน้ำเสียงก็รู้ได้ว่าใบหน้าหลังพัดมีสีหน้าเช่นไร
ดังนั้นทุกคนจึงหัวเราะขึ้นมาเพียงเพราะกลั้นเอาไว้ไม่อยู่
จิตใจของนายท่านสองจมดิ่ง เรื่องตลกนี้เกรงว่าจะเป็นที่แพร่กระจายไปทั่วตงหนิงอีกหลายสิบปี หากนำไปเขียนบันทึกในเมือง ไม่แน่ว่าอาจสืบทอดต่อกันไปชั่วนิรันดร์…
ไม่ต้องพูดถึงเลยว่านายท่านสองจะสิ้นหวังเพียงใด เจี่ยงเหวินเฟิงได้ยินหมิงเวยกล่าวเช่นนั้นก็รู้สึกประหลาดใจเช่นเดียวกัน
ตอนแรกเขาคิดว่าแม่นางท่านนี้คงต่อสู้จนร่างกายแหลกเหลวเพื่อนำตัวคนที่ทำร้ายมารดามาฉีกหนังเป็นชิ้นๆ แต่ท้ายที่สุดเรื่องที่นางต้องการร้องเรียนกลับเป็นเรื่องอื่น
เขาชะงักก่อนจะยิ้มอย่างรู้ทัน
หากเป็นวิธีนี้ยอดเยี่ยมกว่าการป่าวประกาศตรงๆ เป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่หาเหตุผลที่ทำให้เขาสามารถยื่นมือเข้ามาแทรกแซงได้เท่านั้น อีกทั้งยังไม่เป็นการทำลายชื่อเสียงของมารดาอีกด้วย
การปล่อยให้นายท่านสองเปิดเผยความอัปลักษณ์ของครอบครัวตนเองเป็นผลประโยชน์ที่ไม่คาดคิด นายท่านหมิงเซียงเป็นคนฉลาดปราดเปรื่อง ไม่คิดเลยว่าลูกหลานกลับ...ช่างน่าเสียดาย
แต่นางก็เป็นลูกหลานของนายท่านหมิงเซียง ความเฉลียวฉลาดนี้ไม่ถือว่าเป็นการลดทอนชื่อเสียงของบรรพบุรุษ
“คุณหนูเจ็ดลุกขึ้นเถิด” เจี่ยงเหวินเฟิงกล่าว “ไม่ทราบว่าคดีฆาตกรรมที่ท่านกล่าวมามีที่มาอย่างไร หากเป็นเรื่องจริง ข้าจำเป็นต้องสืบหาความจริงเพื่อความยุติธรรม”
หมิงเวยลุกขึ้นและกล่าวว่า “เรียนใต้เท้า เรื่องเกิดขึ้นเมื่อประมาณหนึ่งเดือนก่อน ข้าน้อยพบเจอผีเข้าที่สวนในเรือนของตนเองจึงตกใจกลัวแล้วนอนซมอยู่บนเตียงอยู่นาน ในช่วงที่ข้าน้อยป่วย ข้าน้อยมักจะฝันเห็นวิญญาณร้ายร้องไห้อยู่ทุกวัน บอกว่าเขาตายอยู่ที่นี่แล้วก็ไม่ได้ตายดีจึงไม่สามารถไปเกิดใหม่ได้...”
พอนายท่านสองได้ยินเรื่องนี้จากที่ลำบากใจก็ตื่นตกใจขึ้นมาในทันที
สวน!
พบผี!
วิญญาณร้าย!
หรือว่า…
“ไม่ได้!” เขาโพล่งออกมา
หมิงเวยชะงักและมองเขาอย่างสงสัย “ท่านลุงสองเป็นอันใดไปเจ้าคะ หรือว่าท่านลุงสองรู้ที่มาของวิญญาณร้ายนั่น รู้ว่าผู้ใดที่ตายอยู่ในสวนงั้นหรือ ท่านลุงสองไม่เคยพูดเรื่องนี้มาก่อน หลานกลัวมากจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร คิดแค่ว่าหากมีคนตายอย่างไม่เป็นธรรมใต้เท้าเจี่ยงคงจัดการเรื่องนี้ได้...”
นี่...แน่นอนว่าเขายอมรับไม่ได้!
นายท่านสองข่มความอายแล้วฝืนยิ้ม “ลุงจะไปรู้ความฝันของหลานได้อย่างไร ไม่มีผู้ใดตายในสวนของเราหรอก หลานคงฝันร้ายไปเอง! ความฝันที่ไม่มีมูลความจริงเช่นนี้นำมาพูดต่อหน้าใต้เท้าเจี่ยง หลานทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เกินไปแล้ว!”
“แต่ว่า...” หมิงเวยพูดช้าๆ “หลังจากที่หลานไปขุดดินตรงนั้นก็ได้กลิ่นแปลกๆ เหมือนมีอะไรเน่า...”
“เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอีกแล้ว! เจ้าอยู่แต่ในห้องจะไปรู้ว่าซากศพมีกลิ่นเช่นไรได้อย่างไรกัน เกรงว่าหลานคงคิดมากเกินไป!” นายท่านสองครุ่นคิดแล้วพูดเสริม “ก่อนหน้านี้ที่สวนเจ้าไม่ได้พบซากหนูตายเป็นจำนวนมากหรอกหรือ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นกลิ่นซากหนูก็เป็นได้”
“ที่ท่านลุงสองพูดมาก็ถูกเจ้าค่ะ” หมิงเวยมองเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา “แต่หลานได้ยินมาว่า ชีวิตคนสำคัญเท่าฟ้า หากหลานเข้าใจผิดไปจริงๆ ก็แค่ไปเสียเที่ยว แต่ถ้าหากมีวิญญาณร้ายอยู่ในเรือนของเราจริงๆ ก็จะส่งผลต่อโชคชะตาของตระกูลเราเป็นอย่างมาก! ท่านแม่ก็จากไปแล้วหลานเองก็ไม่มีญาติที่ไหน แค่อยากรอคอยดูความเจริญรุ่งเรืองอันยืนยาวของตระกูลเรา ใต้เท้าเจี่ยง ท่านว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
เจี่ยงเหวินเฟิงยิ้ม “ชีวิตคนสำคัญเท่าฟ้าก็เป็นเรื่องจริง”
พอมีคนเห็นด้วยกับความคิดของนาง หมิงเวยก็ดูเหมือนจะโล่งใจ “ถ้าเช่นนั้นใต้เท้าเจี่ยงช่วยส่งคนไปขุดดินที่สวนของข้าน้อยได้หรือไม่เจ้าคะ แค่คิดว่าที่นั่นมีวิญญาณร้าย ข้าน้อยก็รู้สึกกินไม่ได้นอนไม่หลับ เมื่อนึกถึงสองวันที่ผ่านมาแค่คิดว่าสาเหตุที่ทำให้ท่านแม่คิดไม่ตกอาจเป็นเพราะหยินชี่ที่รุนแรงในสวนก็เป็นได้นะเจ้าคะ”
นางก้มหน้าใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา ผู้ใดที่เห็นภาพนี้ต่างก็รู้สึกสงสาร
คุณหนูเจ็ดผู้นี้ช่างมีชีวิตที่อาภัพนัก ก่อนหน้านี้สูญเสียบิดา ตอนนี้ยังมาสูญเสียมารดาไปอีก พี่น้องร่วมสายเลือดพ่อแม่เดียวกันก็ไม่มี
แล้วสิ่งที่คนในตระกูลปฏิบัติต่อนาง...พอมองดูนายท่านสอง หลานสาวยังไม่ทันได้พูดอันใดก็ตำหนินางเสียแล้ว เอาแต่สงสัยว่านางจะฟ้องร้องตระกูลตนเอง เกรงว่าหากนางยังอยู่ที่เรือนนี้ต่อคงลำบากเป็นแน่!
แน่นอนว่าในบรรดาผู้ที่คิดเช่นนั้น จะมีกี่คนที่แสดงน้ำใจเพราะรูปลักษณ์ภายนอกของนางก็ไม่อาจรู้ได้
“ที่คุณหนูเจ็ดกล่าวมาก็มีเหตุผล” เจี่ยงเหวินเฟิงพูดเสียงนุ่ม “มันเกี่ยวกับชีวิตคน จงเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ อย่ากลัวแม้ในตอนนี้มันจะยังไม่เป็นจริง หากมีผู้ถูกฆ่าฝังศพในเรือนพวกท่านจริงๆ หากเรื่องนี้ถูกเปิดเผยในภายหลังอาจส่งผลต่อชื่อเสียงของพวกท่านด้วย”
เขาหันไปหาฉีตงจวิ้นอ๋อง “ท่านอ๋อง ท่านว่าอย่างไรบ้างขอรับ”
ฉีตงจวิ้นอ๋องมีสีหน้าลำบากใจ “ที่ใต้เท้าเจี่ยงพูดมาก็มีเหตุผล แต่การไปขุดดินบ้านผู้อื่นทั้งที่ยังไม่มีหลักฐานนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีไม่ใช่หรือ อีกอย่างตระกูลหมิงมีการไว้ทุกข์อยู่ดูจะเป็นการรบกวนผู้ตาย ทำไมไม่รอสักสองวันเล่าให้พิธีศพผ่านพ้นไปก่อนค่อยให้ตระกูลหมิงขุดดินด้วยตนเอง เช่นนี้ไม่เป็นการดีต่อทั้งสองฝ่ายหรอกหรือ”
…………………………………………………