บทที่ 56 ไม่เป็นธรรม
หมิงเซียงคุกเข่าเป็นเพื่อนนางจนถึงเที่ยงคืนเห็นได้ชัดว่านางง่วงจนทนไม่ไหวแล้ว แต่ก็ไม่ยอมกลับไปพักผ่อนคนเดียว
หมิงเวยจึงต้องแอบไปงีบกับนางที่ห้องเล็กที่อยู่ข้างๆ สักพัก สองวันมานี้ใจของนางทั้งเยือกเย็นทั้งโกรธจนอยากจะจุดไฟเผาเรือนนี้ให้สิ้นซากไปเสีย
แต่หมิงเฉิงกับหมิงเซียงทำให้หัวใจของนางอบอุ่นขึ้น เห็นได้ชัดว่าบนโลกนี้ ไม่สามารถแยกความดีกับความชั่วออกอยู่แล้ว ความสกปรก และความใสสะอาดมักอยู่คู่กันมาโดยตลอด
เมื่อเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้วนางจึงค่อยๆ ลุกขึ้น มีชิวหยู่คอยปรนบัติช่วยล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็ดื่มชากับทานหมั่นโถวไปสองสามลูก นางอาศัยโอกาสที่หมิงเซียงยังไม่ตื่นกลับไปเฝ้าศพก่อน
วันนี้ท้องฟ้ามีเมฆมาก พระอาทิตย์จึงยังไม่ขึ้น มีผู้มาร่วมไว้อาลัยเพียงไม่กี่คน คนใกล้ตัวก็มากันไปหมดแล้ว ส่วนผู้ที่ไม่สนิทชิดเชื้อคงไม่มาในเวลานี้
หมิงเวยได้ยินสาวใช้สองคนพูดกันแถวๆ เพิงที่จัดสำหรับพิธีศพ เสียงพวกนางไม่ดังแต่ก็ไม่เบาจนเกินไปนางจึงได้ยินเข้าพอดี
“ได้ยินว่าแม่นางจางโกนผมบวชชีไปแล้วหรือ”
“ตระกูลจางที่อยู่เมืองถงนั่นน่ะรึ”
“ใช่!”
“อยู่ดีๆ เหตุใดแม่นางจางถึงไปบวชชีได้เล่า เดือนก่อนข้าได้ยินมาว่าตระกูลจางได้หมั้นหมายนางไว้ให้ตระกูลอื่นแล้วมิใช่หรือ!”
“สาเหตุมาจากเรื่องแต่งงาน เป็นเพราะนางไม่รู้ความ บิดามารดาของนางจากไปแล้ว ท่านลุงของนางจึงเลี้ยงดูนางแทน นางบังเอิญไปพบว่าท่านลุงของนางใช้เงินของตนเอง นางจึงตะโกนลั่นบอกว่าจะไปฟ้องศาล นางไม่คิดเลยหรือว่าเลี้ยงดูนางก็จำเป็นต้องใช้เงินเช่นกัน เป็นแค่สตรีผู้หนึ่งไม่มีคุณสมบัติที่จะแบ่งทรัพย์สินของครอบครัวอยู่แล้ว”
“ใช่! พอบิดามารดาจากไป สมบัติของครอบครัวจะถูกแจกจ่ายให้กับคนในตระกูลอยู่แล้ว”
“จะพูดเช่นนั้นก็ถูก! ท่านลุงเลี้ยงดูนางรับผิดชอบนางอย่างเต็มที่ เมื่อถึงวัยออกเรือนก็ส่งนางออกเรือนก็เป็นเรื่องที่ถูกแล้ว นอกจากนี้เรื่องครอบครัวของนางท่านลุงก็เป็นผู้ดูแล เหตุใดถึงกล้าฟ้องศาลกัน เช่นนี้เขาเรียกว่าเนรคุณ”
“ข้าก็ว่าเช่นนั้น”
หมิงเวยเงยหน้าขึ้น “ชิวหยู่”
“บ่าวอยู่นี่เจ้าค่ะ”
“เจ้าไปบอกท่านป้าสองว่ามีผู้ที่ส่งเสียงดังในห้องเซ่นไหว้ผู้ตาย รบกวนวิญญาณของท่านแม่บนสวรรค์”
“เอ่อ...” ชิวหยู่ลังเล
“ทำไมรึ” หมิงเวยเชิดหน้าขึ้นเม้มริมฝีปากแน่น “ทันทีที่ท่านแม่ของข้าจากไป แม้แต่คนรับใช้สองคนข้าก็จัดการไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
ชิวหยู่รีบตอบกลับ “คุณหนูเจ็ดโปรดรอสักครู่ บ่าวจะรีบไปแจ้งฮูหยินสองให้ลงโทษพวกนางเจ้าค่ะ!” พูดจบนางก็รีบเดินออกไป
หมิงเวยยิ้มเย็นนางไม่โง่ขนาดไม่รู้ว่าคำพูดเมื่อครู่นี้ตั้งใจให้นางได้ยิน แต่แล้วอย่างไรล่ะ...
ในตระกูลหมิงมีบรรดาท่านลุงท่านอามากมาย พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องสนใจเด็กกำพร้าที่สูญเสียมารดาไปเช่นนาง ถึงได้คิดใช้วิธีต่ำๆ เช่นนี้ข่มขู่นางให้สงบปากสงบคำสินะ
ขณะที่กำลังคิดก็มีเสียงฝีเท้าที่วุ่นวายจากด้านนอก เหล่าเด็กรับใช้กลับวิ่งไปที่ประตูราวกับมีเรื่องบางอย่างที่สำคัญ
หมิงเวยได้ยินผู้ดูแลด้านนอกเรือนตะโกนสั่ง “เจ้าเดินเร็วหน่อย! หวางเจี้ยเดินทางมาถึงแล้ว”
หวางเจี้ย...ฉีตงจวิ้นอ๋องน่ะหรือ เป็นอย่างที่นางคาดไว้ คนในตระกูลหมิงทุกคนมารวมตัวกัน รอไม่นานนักฉีตงจวิ้นอ๋องก็มาถึง
มีผู้ที่เดินทางมากับเขาด้วยแล้วก็มีเจี่ยงเหวินเฟิง หมิงเวยได้ยินเสียงอ่อนโยนของชายผู้หนึ่ง “นี่อะไรกัน ฮูหยินผู้เฒ่าลุกขึ้น! ท่านเป็นผู้อาวุโส เปิ่นหวางจะรับได้อย่างไร วันนี้เปิ่นหวางมาร่วมไว้อาลัยต้องให้เกียรติผู้ตายถึงจะถูก”
นายท่านสองกล่าวด้วยความเคารพ “ท่านอ๋องมาเยือนที่เรือนทั้งที ข้าน้อยรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากขอรับ เชิญท่านอ๋องเข้ามานั่งจิบน้ำชาด้านในก่อนเถิด...”
“เปิ่นหวางบอกแล้วว่ามาไว้อาลัยต้องเข้าไปห้องเซ่นไหว้ผู้ตายอยู่แล้ว ใช่หรือไม่ ใต้เท้าเจี่ยง”
“ท่านอ๋องพูดถูกแล้วขอรับ” แล้วคนกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาทางด้านนี้
ฉีตงจวิ้นอ๋องเดินนำเข้ามาตามด้วยเจี่ยงเหวินเฟิง จากนั้นก็นายอำเภออู๋...เจ้าหน้าที่ประจำเมืองตงหนิงมากันอย่างครบถ้วน
หยางชูเองก็อยู่ในหมู่คนพวกนั้นเช่นเดียวกันเขาเดินตามหลังอย่างไม่ช้าไม่เร็วไป หมิงเวยเข้าใจแล้วที่แท้บทสนทนาของสาวใช้สองคนก่อนหน้านี้ก็เพราะเหตุนี้นี่เอง
นางแอบยิ้มอยู่ในใจ ตระกูลหมิงช่างไม่สุภาพเรียบร้อยจริงๆ วิธีเช่นนี้ก็ยังกล้านำออกมาใช้
“ท่านอ๋อง เชิญด้านนี้ขอรับ” ฉีตงจวิ้นอ๋องมีอายุย่างเข้าสี่สิบ ดูเหมือนความสูงของเขาจะได้รับมาจากทางตระกูลเจียง
ท่าทางดังกล่าวไม่ต้องดูรูปลักษณ์ภายนอก เขาก็ดูสง่างามมาก เมื่อเขาเดินเข้ามาก็เห็นหมิงเวยในชุดไว้ทุกข์เงยหน้าขึ้นมอง สายตาสบประสานกัน เขาถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง
ผ่านไปสองลมหายใจสติของเขาถึงกลับมา และพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ “แม่นางผู้นี้คงเป็นเสี่ยวชีสินะ ตอนที่เปิ่นหวางพบกับฮูหยินสามเป็นครั้งแรก เหมือนดั่งเช่นพบเจ้าในวันนี้ ราวกับได้ย้อนเวลากลับไปทำให้อดทอดถอนใจไม่ได้”
ทุกคนต่างเข้าใจในทันทีจึงพยักหน้า หญิงสาวตระกูลหมิงถึงจะมีหน้าตางดงาม แต่ท่านอ๋องเป็นผู้ใดกันเล่าเหตุใดถึงได้ยั้งสติไม่อยู่เช่นนี้กัน
หมิงเวยนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้นโค้งกายคารวะฉีตงจวิ้นอ๋อง แต่ไม่เปิดปากพูดอันใดสักคำ
นายท่านสองรีบบอกไปว่า “ท่านอ๋องโปรดยกโทษให้ด้วย เด็กคนนี้แตกต่างจากผู้อื่นเล็กน้อยตั้งแต่ยังเล็กแล้ว...”
ฉีตงจวิ้นอ๋องโบกมือ “เสี่ยวชีไม่ได้เสียมารยาทเสียหน่อยเหตุใดจึงต้องขอโทษด้วยเล่า”
ทุกคนจึงชื่นชมในความใจกว้างของท่านอ๋อง หมิงเวยฟังอย่างไม่แยแส นางหลบตาเล็กน้อย ไม่มองผู้ใด แม้แต่ใต้เท้าเจี่ยงก็ยังไม่ขอให้นางเงยหน้าขึ้นราวกับว่าเรื่องที่นางขอร้องอาหว่านไปก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้นแม้แต่น้อย
อาหว่านแต่งกายเป็นเด็กรับใช้ชายติดตามข้างกายหยางชู นางอาศัยประโยชน์ที่มีคนมากมาย พูดเบาๆ กับหยางชู “นางไม่ควรเปลี่ยนความตั้งใจมิใช่หรือ แต่เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้วนางจะได้ไม่ตกเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนในภายหลัง”
นางมาคิดอีกทีก็ตอบว่า “แต่ก็ไม่ดี หากเป็นเช่นนี้คุณชายก็จะเดือดร้อน”
หยางชูหุบยิ้ม “เจ้าควรคิดตัดสินใจให้ดีก่อนแล้วค่อยพูด อย่าพูดเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเช่นนี้” จริงๆ แล้วเขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าตกลงหมิงเวยจะทำหรือไม่ทำกันแน่
เจี่ยงเหวินเฟิงคิดว่านางต้องการร้องทุกข์ให้มารดา แต่หยางชูรู้ว่านางกับฮูหยินสามไม่ใช่มารดากับบุตรสาวที่แท้จริง ความสัมพันธ์แม่ลูกเพียงแค่เดือนกว่า มันคุ้มค่ากับการที่นางต้องทำเรื่องใหญ่เช่นนี้เลยหรือ
แต่เสวียนชื่อมีความสามารถมากกว่าคนทั่วไปอยู่มาก แต่ถึงอย่างไรก็ยังอยู่ในโลกโลกีย์ หากนางทำเช่นนี้คงมีภัยเงียบตามมาไม่น้อยในภายภาคหน้า
จากนั้นก็มีการจุดธูป จวิ้นอ๋องเป็นผู้เริ่ม จากนั้นคนอื่นก็วนกันมาทีละคน
หมิงเวยมองอย่างเฉยเมยแล้วกล่าวขอบคุณพวกเขาทีละคน
นายท่านสองมองมาที่นางอยู่ตลอด เมื่อทุกคนจุดธูปเสร็จ และเห็นว่านางไม่เคลื่อนไหวอันใด เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เขาไม่ได้รู้สึกภาคภูมิใจแต่อย่างใด อย่างน้อยสตรีก็คือสตรี ถึงกลัวแต่ก็ซื่อสัตย์
“ท่านอ๋อง เชิญขอรับ” ขณะที่เขากำลังจะพาทุกคนออกไปหมิงเวยก็เงยหน้าขึ้น
“รอก่อนเจ้าค่ะ!”
เสียงของหญิงสาวที่คมชัดทว่าแหบเล็กน้อยดังก้องไปทั่วทั้งห้องเซ่นไหว้ผู้ตาย นางมองไปที่เจี่ยงเหวินเฟิงแล้วพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ใต้เท้าเจี่ยง โปรดรอก่อนเจ้าค่ะ”
มาแล้ว...หยางชูถอนหายใจในใจ บอกไม่ถูกว่าเขาควรดีใจหรือสงสารกันแน่
แต่นางก็ได้เลือกแล้ว...
ใจของนายท่านสองหล่นไปที่เท้า เขาหันกลับมาแล้วดุว่า “เสี่ยวชี! พวกผู้ใหญ่เสียสละเวลาอันมีค่ามาร่วมงานที่นี่ หลานไม่ควรเสียมารยาท”
นางยกมุมปากขึ้นแสดงถึงการเยาะเย้ยแล้วไม่สนใจนายท่านสอง สายตามองไปที่เจี่ยงเหวินเฟิง “ใต้เท้าเคยกล่าวไว้ว่า ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี คนชราหรือเด็ก บัณฑิต ชาวนา กรรมกรหรือพ่อค้า สามลัทธิเก้าอาชีพ[footnoteRef:1] ตราบใดที่เป็นราษฎรของต้าฉี หากมาร้องทุกข์ต่อหน้าท่าน ท่านก็จะรับไว้ใช่หรือไม่เจ้าคะ” [1: สามลัทธิเก้าอาชีพ : 3 ลัทธิ ได้แก่ ศาสนาพุทธ ศาสนาขงจื๊อ ศาสนาเต๋า
9 สาขาอาชีพ มีการแบ่งย่อยเป็นอีก 3 ระดับ คือ
ระดับที่ หนึ่ง 9 สาขาอาชีพ ระดับบน ได้แก่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เซียน จักรพรรดิ ขุนนาง ต้มสุรา โรงรับจำนำ พ่อค้า เจ้าที่ดิน ชาวนา
ระดับที่ สอง 9 สาขาอาชีพ ระดับกลาง ได้แก่ บัณฑิต แพทย์ หมอดูฮวงจุ้ย หมอดูพยากรณ์โชคชะตา จิตรกร หมอดูลักษณะนรลักษณ์ ปัญญาชน หลวงจีนพุทธศาสนา นักพรตลัทธิเต๋า
ระดับที่สาม 9 สาขาอาชีพ ระดับล่างได้แก่ หมอผี เขียนเลขยันต์ นางคณิกา ม้าทรง ยามรักษาการณ์ กัลบกหรือช่างตัดผม นักดนตรี นักแสดงปาหี กระยาจก คนขายน้ำตาลเป่า ]
“เสี่ยวชี!” นายท่านสองตะโกนเสียงดัง นางโง่รึเปล่า นางไม่กลัวว่าจะเป็นเหมือนแม่นางตระกูลจางหรืออย่างไรกัน
เจี่ยงเหวินเฟิงเองก็รออยู่เช่นกัน อันที่จริงเขาไม่ได้หวังว่าแม่นางหมิงผู้นี้จะเป็นคนแจ้งด้วยตัวเอง แต่เขาก็เตรียมตัวมาแล้ว หากนางกล้าที่จะทำเช่นนั้น เขาก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของนาง
ตอนนี้นางเปิดปากพูดแล้ว งั้นเขาคงต้องตอบรับ
เขาจะมุ่งไปข้างหน้าเพื่อให้คุ้มกับความกล้าหาญของเด็กสาวตัวเล็กๆ ผู้นี้
“ใช่”
หมิงเวยย่อกายลงคารวะเขา “ข้าน้อยมีเรื่องมาร้องทุกข์ ใต้เท้าโปรดช่วยรับฟังด้วยเถิดเจ้าค่ะ!”
…………………………………………