webnovel

คู่ชะตาบันดาลรัก

เหตุชะตาถึงฆาตทำให้วิญญาณของ 'หมิงเวย' หญิงสาวผู้มีวรยุทธ์เก่งกล้า ย้อนเวลามาอยู่ในร่างของคุณหนูเจ็ดแห่งตระกูลหมิงผู้อ่อนแอ แต่เรื่องราวกลับไม่ง่ายเมื่อทันทีที่ลืมตา นางกลับพบว่าในสวนอวี๋ฟางที่นางและฮูหยินสามผู้เป็นมารดาอาศัยอยู่นั้นมีสิ่งอัปมงคล! สองแม่ลูกเชื่อว่าสิ่งนี้อาจเกี่ยวพันกับไสยศาสตร์มืด จึงได้ลงมือสืบความจริงของเรื่องนี้อย่างลับๆ และยิ่งตามสืบปริศนามากมายที่เกิดขึ้นในจวนและตระกูลหมิงแห่งนี้... กลับยิ่งเจอความลับอันดำมืดที่ซุกซ่อนอยู่ แต่ท่ามกลางความมืดมิดและสิ่งชั่วร้าย โชคชะตากลับลิขิตให้หญิงสาวได้ไขประตูสู่ความจริง... รวมถึงนำไปสู่ความรัก! นับตั้งแต่ที่ 'หยางชู' เหลนของฮ่องเต้จอมเสเพลแฝงกายมายังเมืองที่นางอาศัยอยู่เพื่อภารกิจบางอย่าง นางและเขาจึงได้ตกลงร่วมกันทำภารกิจไขปริศนา แต่หารู้ไม่ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอาจเป็นไปเพราะโชคชะตารักบันดาลอยู่เบื้องหลัง!

อวิ๋นจี๋ · 歴史
レビュー数が足りません
682 Chs

054 อดหลับอดนอน

บทที่ 54 อดหลับอดนอน

“คุณหนูเจ็ด ท่านอยากลุกหรือเจ้าคะ” หมิงเวยที่สวมเสื้อนอนค่อยๆ ยันกายขึ้นจากเตียงแล้วมองไปยังสาวใช้ที่เดินเข้ามาหา

หมิงเวยจำได้ว่านางเป็นสาวใช้คนสนิทของฮูหยินสองชื่อชิวหยู่

“ตัวฝูล่ะ”

“เมื่อสักครู่ตัวฝูหกล้มกับพื้น สองสามวันนี้จึงไม่ค่อยสะดวก ฮูหยินสองจึงให้บ่าวมาอยู่รับใช้คุณหนูแทนเจ้าค่ะ” ชิวหยู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

หมิงเวยยกมุมปาก “ปิงซินกับซู่เจี๋ยไม่ได้หกล้มมิใช่หรือ”

ชิวหยู่ตอบกลับไป “พอดีต้องนำร่างของฮูหยินสามบรรจุโลงกะทันหัน พี่สาวทั้งสองจึงต้องคอยอยู่ข้างกายเพื่อคอยปรนนิบัติ อีกทั้งยังมีหลายเรื่องที่ต้องจัดการ”

หมิงเวยไม่ถามอันใดต่อลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า

ชิวหยู่ช่วยเกล้าผมให้นาง สวมเสื้อไว้ทุกข์ ไม่สวมใส่เครื่องประดับใดๆ

พอเห็นผิวกายที่ขาวละเอียด ริมฝีปากแดง ฟันขาวสะอาด ใบหน้างามราวกับภาพวาด ชิวหยู่จึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “คุณหนูเจ็ดเติบโตได้งด...”

พูดออกไปได้ครึ่งเดียวแล้วนางก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นสีหน้าของหมิงเวยจึงรีบพูดออกไปว่า “บ่าวพูดผิดไปแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูเจ็ดอย่าโกรธบ่าวเลยนะเจ้าคะ”

หมิงเวยยิ้ม “เจ้าชมข้า ข้าจะโกรธได้อย่างไร” ชิวหยู่เห็นนางส่งยิ้มให้ก็ไม่กล้าพูดอันใดออกมาอีก

“ห้องเซ่นไหว้ผู้ตายเรียบร้อยดีแล้วหรือ”

ชิวหยู่รีบตอบอย่างรวดเร็ว “เรียบร้อยดีเจ้าค่ะ”

หมิงเวยพยักหน้า “เจ้าไปเอาข้าวต้มในครัวมาให้ข้าที กินเสร็จข้าคงมีแรงไปเฝ้าศพท่านแม่” ชิวหยู่คิด คุณหนูเจ็ดใจเย็นจริงๆ เวลานี้ยังจำได้ว่าต้องทานอาหาร

ลูกหลานกตัญญูควรที่จะแสดงความเศร้าโศกด้วยการ ‘อดอาหารสามวัน’ ‘มารยาทในวันตายของบุพการี’ ‘คลุกคลานร้องไห้’ มิใช่หรือ แม้การเฝ้าศพจะไม่ใช่พิธีเคร่งครัดอีกต่อไป แต่หากนางไม่ร้องไห้หรือไม่เศร้าโศกเช่นนี้ คนอื่นจะมองนางอย่างไรกัน

แต่นางไม่ใช่สาวใช้ในสวนอวี๋ฟางจึงทำอันใดมากไม่ได้ ได้แต่เพียงตอบไปว่า “เจ้าค่ะ”

ชิวหยู่ออกไปสั่งการสาวใช้หมิงเวยจึงหลับตาบำรุงเซิน[footnoteRef:1] ตัวฝูหกล้มได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเจตนาของตระกูลหมิงให้ชิวหยู่มาคอยจับตาดูนาง [1: เซิน : บำรุงรักษาพลังสมองหรือพลังระบบประสาท หลังจากทานข้าวแล้วเราปิดตาหรือหลับตาสักครู่ไม่ใช้สมอง เลือดก็จะไปเลี้ยงกระเพาะอาหารดูดซึมทำงานดี ทำให้ที่ย่อยอาหารได้ ถ้าเราใช้สมองหลังจากทานข้าว เลือดบางส่วนจะไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอเพราะต้องเลี้ยงกระเพาะอาหารเพื่อช่วยย่อยก่อนนั้นเอง]

ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้มากความ การที่นางไปสวนซิ่นแทนฮูหยินสามเมื่อคืนวาน หมายความว่านางได้รับรู้เรื่องราวสกปรกนี้เข้าให้แล้ว และกังวลว่านางจะนำเรื่องสกปรกเล่าออกไป

หมิงเวยลูบไล้ปิ่นปักผมสีทองในอ้อมกอด

ในเมื่อตระกูลหมิงอยากจับตาดูนางก็ให้พวกเขาจับตาดูไปสิ คิดว่าแค่นี้จะทำให้พวกเขาไร้ความกังวลงั้นหรือปล่อยให้พวกเขาฝันไปสักพักจะดีกว่า

ไม่นานสาวใช้ก็มาพร้อมกับกล่องอาหาร ในเรือนมีพิธีศพ ปกติแล้วจะไม่อุดมสมบูรณ์ด้วยอาหาร หมิงเวยทานข้าวต้มกับแตงกวาดองเสร็จแล้วก็จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่อีกครั้งแล้วไปที่ห้องเซ่นไหว้ผู้ตายเพื่อเฝ้าศพ

ในเวลาสั้นๆ เพียงวันเดียว จวนตระกูลหมิงโอบล้อมไปด้วยสีขาว นำพาแสงแดดในฤดูไม้ผลิจางลงไปหลายเท่า หมิงเวยเหยียบย่ำน้ำค้างในยามเช้าตรู่ เดินไปถึงทางแยกถนนนางก็หยุดฝีเท้าแล้วมองไปยังต้นหลิวในท้ายที่สุด

พลังของนางฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยจึงเห็นร่างของสิ่งชั่วร้ายนั่นได้อย่างชัดเจน พลังของมันดูจางลงไปเยอะพอสมควร

ใกล้แล้ว...หากลงมือตอนนี้นางคงสามารถปราบมันได้

“คุณหนูเจ็ดเจ้าคะ” ชิวหยู่ที่อยู่ด้านหลังเรียกนาง หมิงเวยยังคงเดินหน้าต่อไป

ที่ห้องเซ่นไหว้ผู้ตาย ฮูหยินสองรีบหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่แล้วเดินมาหานาง ถามด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “เหตุใดจึงตื่นเช้าเช่นนี้ เมื่อคืนหลานไม่ได้นอนเลยไม่ใช่หรือ เพิ่งได้งีบสักพักเมื่อตอนยามสี่ ร่างกายหลานยังไม่แข็งแรงดีอีกทั้งยังเศร้าเสียใจอยู่ เรื่องเฝ้าศพเป็นเรื่องเปลืองแรง อย่าประมาทจะดีกว่า”

นางหันไปถามชิวหยู่ “ไปนำข้าวต้มมาให้คุณหนูเจ็ดทานเสียหน่อย กินไม่ลงอย่างน้อยกินสักนิดก็ยังดีเดี๋ยวไม่มีแรงร้องไห้”

ชิวหยู่พูดลำบาก คุณหนูเจ็ดเจริญอาหารมากทานข้าวต้มไปสองชามติด แต่ทำได้แค่ตอบไปว่า “ฮูหยินวางใจเถิดเจ้าค่ะ คุณหนูทานข้าวต้มเรียบร้อยแล้ว”

หมิงเวยย่อกายคำนับตอบอย่างใจเย็น “ท่านป้าสองเองก็แทบไม่ได้นอน ยุ่งทั้งวันทั้งคืน หลานในฐานะบุตรสาวจะเกียจคร้านได้อย่างไร ท่านแม่ได้จากไปแล้ว หลานเหลือเวลาอยู่กับท่านแม่ไม่กี่วันเท่านั้น”

ฮูหยินสองได้ยินเช่นนั้นก็ซับน้ำตา “หลานเป็นเด็กกตัญญูจริงๆ หากท่านแม่ของหลานได้รับรู้นางคงดีใจ” หมิงเวยไม่ได้พูดอันใดต่อ ไม่ร้องไห้ไปกับนาง ก็แค่ยืนอยู่อย่างนั้นด้วยสีหน้าเฉยเมย

ฮูหยินสองอดไม่ได้ที่จะพึมพำในใจ เสี่ยวชีคนนี้ถึงแม้จะหายดีแล้ว แต่ก็ดูแตกต่างจากคนทั่วไปเล็กน้อยเห็นนางเป็นเช่นนี้ ไม่ใช่ไม่เศร้า แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า หรือว่าอาการโง่เขลายังคงเหลืออยู่กัน

เมื่อไม่มีการตอบสนองใดๆ ที่คิดไว้ว่าจะแสดงด้วยการร้องไห้ไว้อาลัยจึงไม่ได้ผล ฮูหยินสองจำต้องเก็บเสียงร้องไห้ลงไปแล้วพูดออกไปว่า “ชิวหยู่ เจ้าดูแลคุณหนูเจ็ดให้ดีๆ อย่าทำให้นางรู้สึกเหนื่อย”

สั่งการเสร็จนางจึงกลับไปทำธุระของตนเองต่อ พอฮูหยินสองเดินจากไป หมิงเวยจึงเดินไปคุกเข่าต่อหน้าศพ นางไม่ร้องไห้เพียงแค่โยนเงินกระดาษลงในเตาอั้งโล่ทีละก้อน

เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นคนใกล้ชิดกับตระกูลหมิงก็มาร่วมแสดงความเสียใจ เมื่อพวกเขาได้เห็นคุณหนูเจ็ดที่ไม่คอยปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่นเลยจึงแอบกระซิบกระซาบกัน

ก่อนหน้านี้รู้มาว่าคุณหนูเจ็ดผู้นี้สติไม่ค่อยเต็ม มีอาการโง่เขลา แม้จะได้ยินมาว่านางหายดีแล้ว แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังเอาแต่พูดแปลกๆ กันอยู่

ไม่คิดว่าตัวจริงจะเป็นเช่นนี้...

คนที่มีอายุแล้วก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงแม่นางจากตระกูลจี้ผู้มีจิตใจดีงาม พวกเขารู้สึกอาลัยในชะตากรรมของนางมาก สาเหตุการตายของฮูหยินสามมีข่าวลือไม่มากก็น้อย คนส่วนใหญ่ที่เพิ่งมาร่วมไว้อาลัยคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีแล้วจึงไม่เอ่ยถึง

งานศพดำเนินไปอย่างราบรื่นทำให้ฮูหยินสองถอนหายใจด้วยความโล่งอก

…………..

ณ สวนซิ่น หยางชูเอนกายนอนอยู่บนเก้าอี้อาบแดดอย่างเกียจคร้าน

ในมือถือหนังสืออยู่เล่มหนึ่งดูเหมือนเขาจะอ่านหนังสืออย่างหนัก แต่พอมาดูใกล้ๆ บนหน้ากระดาษกลับเป็นภาพวาดภาพหนึ่ง

มันคือสมุดที่เป็นที่นิยม ภาพเยอะตัวอักษรน้อย ส่วนใหญ่พูดถึงเรื่องราวความรักของบัณฑิตและสาวงาม

“นางบอกเช่นนั้นกับเจ้างั้นหรือ” หยางชูมองภาพวาดพลางถามอาหว่านที่กำลังปอกเปลือกผลไม้

“เจ้าค่ะ” หยางชูชะโงกหน้ากัดผลไม้ในมือของอาหว่านคำหนึ่ง

อาหว่านรอสักพักนางไม่ได้ตอบอันใด แต่ถามกลับไปว่า “คุณชายตอบรับหรือไม่เจ้าคะ”

หยางชูเลิกคิ้ว “เจ้าสนใจเรื่องนี้หรือ”

อาหว่านหัวเราะ “รู้สึกว่าน่าสนใจเล็กน้อยเจ้าค่ะ”

“ตรงไหนกันที่น่าสนใจ” อาหว่านใช้ตะเกียบคีบเนื้อผลไม้เข้าใส่ปากแล้วเคี้ยวช้าๆ พอทานเสร็จจึงตอบไปว่า “ความสกปรกของตระกูลนี้ไม่ได้ถูกเปิดเผย หมายความว่าหากตระกูลหมิงทำเรื่องสกปรกอีก การเผยแพร่ออกสู่คนภายนอกไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง นี่เป็นกฎประจำตระกูลที่ถูกตั้งขึ้นมาเป็นเวลายาวนาน หากนางทำเช่นนั้นจริงๆ แม้จะแก้แค้นให้ฮูหยินสาม แต่เกรงว่านางจะถูกคนวิพากษ์วิจารณ์เป็นแน่”

“แต่นางไม่ใช่คุณหนูเจ็ดแห่งตระกูลหมิงตัวจริง...”

“แล้วอย่างไร นางอยู่ในร่างนั้นนะเจ้าคะ! ผู้ใดจะสามารถหลีกหนีชะตาได้กัน แม้จะออกจากตระกูลไป แต่ผู้คนภายนอกยังจัดลำดับผู้อาวุโสกันอย่างเงียบๆ ผู้ใดอยากเกี่ยวข้องกับคนที่สามารถแทงข้างหลังคนในครอบครัวตนเองได้เล่า”

หยางชูได้ยินแล้วก็หัวเราะ “ฟังที่เจ้าพูดแล้ว เหมือนเจ้ามองนางในแง่ไม่ดีเลยนะ!”

อาหว่านตอบ “นางตั้งใจเอาไม้ซีกงัดไม้ซุงเช่นนี้ จะให้บ่าวมองนางในแง่ดีได้อย่างไรกันเจ้าคะ” คิดอยู่พักหนึ่งนางก็แสดงความเห็นออกไปว่า “ดูเหมือนจะฉลาด แต่จริงๆ แล้วก็โง่เขลา”

หยางชูตอบ “นางเป็นเสวียนชื่อ”

อาหว่านคัดค้าน “เสวียนชื่อเองก็เป็นปุถุชนเช่นกัน เสวียนตูกวานแห่งนั้นเพื่อที่ให้ได้ตำแหน่งเจ้าสำนักมาต้องต่อสู้มากี่ปี เจ้าสำนักคนก่อนไม่ใช่ถูกปลดเพราะว่าเรื่องที่ไม่สามารถพูดออกไปได้ไม่ใช่หรือ นี่คือจิตใจของมนุษย์!”

หยางชูปรบมือ ชมเชยอย่างไร้ความจริงใจ “เจ้าพูดมามีเหตุผล อาหว่านฉลาดมาก!”

อาหว่านส่งเสียงไม่พอใจ “แบบนี้บ่าวก็เก้อเขินจนทำอะไรไม่ถูกสิเจ้าคะ ท่านไม่ชมจะดีกว่าเสียอีก” หยางชูหัวเราะ หลังจากกินผลไม้ชิ้นสุดท้ายในจานเสร็จ เขาก็พูดว่า “ไปเรียกอาสวนมา”

การเคลื่อนไหวของอาหว่านชะงัก นางหันกลับมามองเขา “คุณชายตอบตกลงหรือเจ้าคะ”

“อย่างที่เจ้าพูดมา ค่อนข้างน่าสนใจ” หยางชูเขย่าสมุดภาพในมือ “ข้าว่างมากพอที่จะดูเรื่องสนุกนี้ ฟังที่นางขอสักครั้งก็ดีไม่แน่ว่านางอาจจะหาทางให้พวกเราได้จริงๆ”

…………………………………………………….