webnovel

คู่ชะตาบันดาลรัก

เหตุชะตาถึงฆาตทำให้วิญญาณของ 'หมิงเวย' หญิงสาวผู้มีวรยุทธ์เก่งกล้า ย้อนเวลามาอยู่ในร่างของคุณหนูเจ็ดแห่งตระกูลหมิงผู้อ่อนแอ แต่เรื่องราวกลับไม่ง่ายเมื่อทันทีที่ลืมตา นางกลับพบว่าในสวนอวี๋ฟางที่นางและฮูหยินสามผู้เป็นมารดาอาศัยอยู่นั้นมีสิ่งอัปมงคล! สองแม่ลูกเชื่อว่าสิ่งนี้อาจเกี่ยวพันกับไสยศาสตร์มืด จึงได้ลงมือสืบความจริงของเรื่องนี้อย่างลับๆ และยิ่งตามสืบปริศนามากมายที่เกิดขึ้นในจวนและตระกูลหมิงแห่งนี้... กลับยิ่งเจอความลับอันดำมืดที่ซุกซ่อนอยู่ แต่ท่ามกลางความมืดมิดและสิ่งชั่วร้าย โชคชะตากลับลิขิตให้หญิงสาวได้ไขประตูสู่ความจริง... รวมถึงนำไปสู่ความรัก! นับตั้งแต่ที่ 'หยางชู' เหลนของฮ่องเต้จอมเสเพลแฝงกายมายังเมืองที่นางอาศัยอยู่เพื่อภารกิจบางอย่าง นางและเขาจึงได้ตกลงร่วมกันทำภารกิจไขปริศนา แต่หารู้ไม่ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอาจเป็นไปเพราะโชคชะตารักบันดาลอยู่เบื้องหลัง!

อวิ๋นจี๋ · 歴史
レビュー数が足りません
682 Chs

023 สอบสวนคดี

บทที่ 23 สอบสวนคดี

บริเวณโถงใหญ่ถูกจัดให้เหลือเพียงไม่กี่โต๊ะสำหรับเหล่าเจ้าหน้าที่

เหล่าชนชั้นสูงถูกจัดให้นั่งที่ม้านั่ง ส่วนคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับหมิงเฉิงทำได้แค่ยืนดู

โชคดีที่พวกหมิงเวยนั่งอยู่ในเขตที่นั่งส่วนตัวพวกเขาจึงไม่ถูกไล่ออกมา

หากถูกพบเข้าล่ะก็คงไม่สามารถหนีพ้นได้

เมื่อเจี่ยงเหวินเฟิง ท่านเจ้าเมือง และคนอื่นๆ เข้ามา แม่นางอาหว่านท่านนั้นก็เข้ามาพร้อมกับสาวใช้สองนาง

“ท่านเจ้าของร้าน คุณชายของพวกเราต้องการเข้ามาดื่มชา รบกวนเตรียมโต๊ะส่วนตัวให้ด้วย” นางกระซิบเสียงเบา

หมิงเซียงเบิกตากว้าง นางจับข้อมือของหมิงเวยแล้วลดเสียงลง พูดอย่างตื่นเต้นว่า “พี่เจ็ด! ท่านได้ยินหรือไม่ คุณชายหยางจะมาที่นี่ พวกเรามาไม่เสียเที่ยวจริงๆ!”

หมิงเวยเหลือบมองนางแล้วพูดเบาๆ “เจ้าจะไม่กังวลหน่อยหรือ หากพวกเขาเข้ามาเห็นเราขึ้นมาจะทำอย่างไร”

หมิงเซียงตัวสั่นนางรีบหันไปมองโถงใหญ่ที่มีม่านไม้ไผ่กั้นอยู่

โชคดีที่เรื่องนี้ไม่เกิดขึ้น

แม่นางอาหว่านท่านนั้น มองไปที่โต๊ะส่วนตัวทางฝั่งตรงข้าม เจ้าของร้านไปคุยกับลูกค้าฝั่งนั้นซึ่งทางลูกค้าก็รีบออกไปแต่โดยดี

แม่นางอาหว่านปรบมือ คนรับใช้กลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาเป็นแถวยาวเหยียด ในมือพวกเขาถือของเข้ามาด้วย

ม่านไม้ไผ่ฝั่งตรงข้ามถูกยกออก เหล่าคนรับใช้เช็ดโต๊ะ ทำความสะอาด ปูผ้าคลุม เปลี่ยนเก้าอี้ จากนั้นนำถ้วยชามตะเกียบของตนเองออกมาลวก แม้แต่เตากับกาต้มน้ำก็ยังเอามาเองด้วย

ทุกคนประหลาดใจกับภาพที่เห็น อะไรคือความพิถีพิถัน วันนี้พวกเขาได้เห็นและเข้าใจแล้ว

สุดท้ายแม่นางอาหว่านทำการจุดเทียนหอม

“นึกไม่ถึงเลยว่าคุณชายจวนตระกูลโหว ช่างเป็นอะไรที่เปิดหูเปิดตาจริงๆ” บัณฑิตโต๊ะข้างๆ กระซิบกัน

อีกคนกลับหัวเราะ “รสนิยมสูงเสียจริง!” ในขณะที่พูดคุยกันประตูรถม้าก็ถูกเปิดออก

สาวใช้สองนางลงจากรถม้าก่อนเพื่อมารอด้านข้างด้วยความเคารพ

“อา!” หมิงเซียงร้องเสียงเบาแล้วรีบคว้าข้อมือของหมิงเวย

หมิงเวยเสียสมาธิ “...ยังไม่ออกมาเลยเจ้าจะร้องทำไม”

“ข้าตื่นเต้น...” ดวงตาของหมิงเซียงเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น

พอถูกขัดจังหวะ เมื่อหมิงเวยหันศีรษะไปมอง คุณชายหยางก็ได้ลงจากรถม้ามาเรียบร้อยแล้ว

ถึงนางจำคนไม่ค่อยได้ แต่ก็แยกออกว่าใครขี้เหร่ใครรูปงาม คุณชายหยางผู้นี้สวมเครื่องแต่งกายประณีตงดงาม สวมหมวกทองคำ รูปร่างสูงใหญ่ ดูเป็นชายที่มีรสนิยมมาก เมื่อเขาหมุนตัวมา นางได้ยินเสียงสูดลมหายใจอย่างชัดเจน

“งาม...งามมาก” หมิงเซียงพึมพำ

เขางดงามจริงๆ นั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาที่สมบูรณ์แบบ ไฝเม็ดเล็กๆ ที่อยู่ตรงหว่างคิ้ว ใบหน้าหล่อเหลาที่ดูเกินจริงจนไม่เหมือนคนที่พบเจอได้บนโลกมนุษย์ ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือใบหน้านี้ดูไม่เหมือนหญิงสาวสักนิดเลย

กล่าวสั้นๆ เลยคือ เขาเป็นชายที่รูปงามมาก หมิงเวยก้มหน้าลงดื่มชา

“พี่เจ็ดๆ ท่านเห็นหรือไม่” หมิงเซียงรู้สึกตื่นเต้นมาก และนางต้องการแบ่งปันความรู้สึกนี้ให้กับผู้อื่น

“เห็นแล้ว”

“มีคนรูปงามเช่นนี้อยู่บนโลกใบนี้ด้วย! ตอนนี้ข้าเชื่อแล้วว่าทำไมเผยกุ้ยเฟยถึงได้เป็นใหญ่ในวังหลัง คุณชายหยางมีใบหน้าเหมือนท่านป้า เผยกุ้ยเฟยจะต้องงามบาดตาเป็นแน่!”

ความสนใจของหมิงเวยไม่ได้อยู่ตรงนี้

นางพบว่าคุณชายหยางผู้นี้ถึงจะดูผิวขาวผ่องและดูอ่อนแอ แต่ที่จริงแล้วการก้าวเท้าของเขาดูมั่นคง เมื่อพิจารณาจากรูปร่างและท่าทางของเขาแล้ว แน่นอนว่าเขาเป็นผู้มีวิทยายุทธ์

ดูเหมือนว่าจวนโป๋หลิงโหวจะไม่ได้แค่เลี้ยงดูเขาอย่างเดียว ทั้งองค์หญิงหมิงเฉิงและโป๋หลิงโหวต่างเป็นทหารที่กล้าหาญ นี่คงเป็นสิ่งที่ครอบครัวนี้สืบทอดต่อกันมา

ทหารผู้ติดตามกางร่มให้ ส่วนสาวใช้ปูพรม จากรถม้าไปจนถึงโรงน้ำชา เป็นแค่ระยะทางสั้นๆ แต่รองเท้าของเขาไม่ได้สัมผัสแม้แต่ฝุ่นเลยด้วยซ้ำ

โต๊ะข้างๆ พูดเยาะเย้ยเสียงเบา “ระยะทางแค่นี้ยังต้องกางร่ม เขาคิดว่าตัวเองเป็นหญิงหรืออย่างไร ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดใบหน้าท่านจึงขาวราวกับแป้ง”

คราวนี้สหายของเขาไม่ได้เอ่ยห้ามปรามคงคิดว่าที่สหายตนกล่าวมาก็ถูก

แม้ว่าในยุคสมัยนี้เหล่าขุนนางจะมีความมั่งคั่ง แต่หากพูดถึงอำนาจแล้วละก็ยังอยู่ในมือของอำมาตย์ บัณฑิตเหล่านี้แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีอำนาจ แต่พวกเขาก็มีคุณสมบัติที่จะก้าวเข้าสู่ระบบอำมาตย์ได้ พวกเขาจึงไม่กลัวการลงโทษจากขุนนาง

แน่นอนว่ายังคงต้องให้ความเคารพอยู่

ดังนั้น เมื่อตอนที่คุณชายหยางเข้ามา เจ้าหน้าที่ทุกคนในที่นี้ล้วนลุกขึ้นถวายความเคารพ

คุณชายหยางผู้นี้ไม่พูดอะไร แค่พยักหน้ารับการเคารพแล้วเข้าไปในเขตโต๊ะส่วนตัว

ม่านไม้ไผ่ถูกวางกั้นบดบังทุกอย่างจากสายตา

หลายคนถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วกลับไปสนใจการสอบสวนคดีของเจี่ยงชิงเทียนต่อ

เจี่ยงเหวินเฟิงนั่งลงตรงกลางแล้วพูด “พาคนเข้ามา”

“ขอรับ”

ท่านยายหมี่และหลานสาวของนางถูกพาตัวเข้ามา พอจะนั่งลงคุกเข่า เจี่ยงเหวินเฟิงก็ยกมือห้าม “พวกท่านหนึ่งคนชรากับหนึ่งเด็กหญิง ไม่ต้องคุกเข่าหรอก ยืนพูดเถิด”

เจี่ยงเหวินเฟิงไม่ได้ถามพวกนางในทันที แต่หันตัวไปถามเหล่าเจ้าหน้าที่ของเมืองตงหนิง “คดีนี้ตรวจสอบแล้วเป็นอย่างไร มีใครอ่านเอกสารแล้วหรือยัง”

เจ้าหน้าที่สวมเครื่องแบบนายหนึ่งยืนขึ้น “คดีนี้ได้รับการตรวจสอบแล้วขอรับ”

เจี่ยงเหวินเฟิงพูด “เจ้ารายงานคดีนี้มาทีละเรื่อง สืบหาอย่างไร ตรวจสอบอย่างไร อย่าข้ามไปแม้แต่เรื่องเดียว”

“ขอรับ” นายอำเภอเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก จากนั้นก็เริ่มอธิบายเกี่ยวกับคดีนี้

คดีวางยานั้นง่ายมาก ครอบครัวเหออาศัยอยู่ในหมู่บ้านซานชู่ซึ่งมีสมาชิกทั้งหมดสามรุ่นหกคน ครอบครัวนี้มีความรักใคร่สามัคคีปรองดองกันและไม่เคยโกรธเคืองผู้อื่นเลย

ในเช้าวันนั้น ลูกสะใภ้ของบ้านให้อาหารหมูสาย หมูในคอกจึงร้องด้วยความหิว

พ่อตาเห็นอย่างนั้นจึงพูดกับนางไปสองสามประโยค ปกติชาวนาจะทานข้าวสองมื้อ หากทำงานอย่างหนักก็จะเพิ่มอีกหนึ่งมื้อ

ตอนบ่ายพ่อตากลับจากทำงานเพื่อมาพักผ่อน ผูชื่อเองก็ปรุงก๋วยเตี๋ยวเสร็จเรียบร้อยแล้ว

พ่อตาทานก๋วยเตี๋ยวไปไม่นานก็ตายเนื่องจากถูกวางยาพิษ

นายอำเภอชี้แจงข้อเท็จจริง “เจ้าหน้าที่ระดับล่างได้รับรายงานและสั่งให้มีการชันสูตรพลิกศพ ยืนยันว่ามีการวางยาจริง นอกจากนี้ยังมีการตรวจสอบผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ แม่ยายของผูชื่อเดินทางไปหมู่บ้านข้างเคียง และไม่กลับมาจนกระทั่งเกิดเหตุ บุตรชายของผู้ตายยังคงทำงานอยู่ที่นา ส่วนลูกๆ ทั้งสองคนอยู่ในห้อง คนพี่ดูแลคนน้องอยู่ บ้านเหอไม่มีคนนอกเข้ามา มีเพียงแค่ผูชื่อคนเดียว เจ้าหน้าที่ไม่เห็นชีวิตคนเป็นผักปลาแน่นอนขอรับ!”

“แล้วผูชื่อนางว่าอย่างไร แล้วเพื่อนบ้านล่ะว่าอย่างไรบ้าง”

“ผูชื่อแน่นอนว่านางไม่ยอมรับ บอกว่าตนเองไม่ได้วางยา เพื่อนบ้านบอกว่าปกตินางเข้ากับคนในครอบครัวได้ดีและไม่ค่อยทะเลาะวิวาท แต่เพื่อนบ้านไม่เห็นเหตุการณ์ในวันนั้น”

เจี่ยงเหวินเฟิงถามต่อว่า “ถ้างั้นพิษมาจากไหน ตรวจสอบร้านยาแล้วหรือยัง”

หน้าผากของนายอำเภอมีเหงื่อผุดออกมากขึ้น “เจ้าหน้าที่...เจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบแล้วขอรับ แต่ไม่มีคนเคยเห็นผูชื่อไปซื้อยา แต่ในชนบทมีของที่มีพิษเยอะอยู่แล้ว ผูชื่อเองก็รู้เรื่องนี้ดีจึงไม่น่าแปลกใจอะไร”

“ก๋วยเตี๋ยวที่ผูชื่อปรุงเล่า ตรวจสอบแล้วหรือยัง”

“ตรวจสอบแล้วขอรับ ตัวเส้นทำเอง น้ำแกงไม่มีปัญหาอะไร เครื่องปรุง ภาชนะใส่อาหารล้วนสะอาดหมด”

“ก่อนที่ท่านเหอจะกลับมา มีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่”

“ไม่มีขอรับ” โชคดีของนายอำเภอที่เขาตรวจสอบเรื่องพวกนี้โดยละเอียดจึงตอบคำถามเหล่านี้ได้ “ท่านเหอออกไปทำงานในตอนเช้า เขาเดินทางไปพร้อมกับบุตรชายคนรอง เดินทางด้วยเส้นทางเดียวกัน ร่างกายไม่มีร่องรอยบาดแผลหรือถูกกัดแต่อย่างใดขอรับ”

“ขั้นตอนตั้งแต่ผูชื่อทำก๋วยเตี๋ยวจนถึงท่านเหอเดินเข้ามา มีอะไรตกหล่นหรือไม่”

“ผูชื่อบอกว่านางอยู่ที่บ้านตลอดและไม่มีใครเข้ามาเลย” นายอำเภอชะงัก แล้วพูดต่อ “หลังจากเจ้าหน้าที่สอบปากคำซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางบอกว่าหลังจากปรุงก๋วยเตี๋ยวเสร็จแล้ว นางก็วางทิ้งไว้ที่ขอบหน้าต่างเพื่อคลายร้อน ส่วนนางกลับห้องมาหยิบแผ่นรองเท้าแต่ท่านเหอก็กลับมาพอดี ซึ่งช่วงเวลาแค่นั้นไม่เพียงพอที่คนนอกจะข้ามกำแพงเข้ามาได้”

เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้า จากนั้นก็หันไปถามท่านยายหมี่และเด็กสาว “พวกท่านมีอะไรอยากพูดหรือไม่”

ท่านยายหมี่ที่ไม่รู้ว่าสืบคดีกันอย่างไร นางเอาแต่ร้องไห้และพูดว่า “บุตรสาวของข้าน้อยไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้ ใต้เท้าได้โปรดพิจารณาด้วยเถิดเจ้าค่ะ!”

......................................................................................