webnovel

คู่ชะตาบันดาลรัก

เหตุชะตาถึงฆาตทำให้วิญญาณของ 'หมิงเวย' หญิงสาวผู้มีวรยุทธ์เก่งกล้า ย้อนเวลามาอยู่ในร่างของคุณหนูเจ็ดแห่งตระกูลหมิงผู้อ่อนแอ แต่เรื่องราวกลับไม่ง่ายเมื่อทันทีที่ลืมตา นางกลับพบว่าในสวนอวี๋ฟางที่นางและฮูหยินสามผู้เป็นมารดาอาศัยอยู่นั้นมีสิ่งอัปมงคล! สองแม่ลูกเชื่อว่าสิ่งนี้อาจเกี่ยวพันกับไสยศาสตร์มืด จึงได้ลงมือสืบความจริงของเรื่องนี้อย่างลับๆ และยิ่งตามสืบปริศนามากมายที่เกิดขึ้นในจวนและตระกูลหมิงแห่งนี้... กลับยิ่งเจอความลับอันดำมืดที่ซุกซ่อนอยู่ แต่ท่ามกลางความมืดมิดและสิ่งชั่วร้าย โชคชะตากลับลิขิตให้หญิงสาวได้ไขประตูสู่ความจริง... รวมถึงนำไปสู่ความรัก! นับตั้งแต่ที่ 'หยางชู' เหลนของฮ่องเต้จอมเสเพลแฝงกายมายังเมืองที่นางอาศัยอยู่เพื่อภารกิจบางอย่าง นางและเขาจึงได้ตกลงร่วมกันทำภารกิจไขปริศนา แต่หารู้ไม่ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอาจเป็นไปเพราะโชคชะตารักบันดาลอยู่เบื้องหลัง!

อวิ๋นจี๋ · 歴史
レビュー数が足りません
682 Chs

008 ครอบครัว

บทที่ 8 ครอบครัว

มันเป็นการจัดฉากที่ง่ายมาก ก่อนอื่นก็เอาศพไปไว้ในสวนอวี๋ฟางเพื่อหล่อเลี้ยงหยินชี่ จากนั้นก็นำของเก่าที่มีจิตวิญญาณพวกนั้นเข้ามา แล้วใช้หยินชี่ทำให้เกิดรูปร่าง

ด้วยวิธีนี้เพียงแค่รอเวลาที่เหมาะสมก็จะพบผีเอง รอเจ้าบ้านเห็นผีแล้วคนที่สร้างสถานการณ์นี้ขึ้นมาก็จะปรากฏตัวในฐานะผู้มีความสามารถขับไล่วิญญาณชั่วร้าย จากนั้นเขาจะได้รับค่าตอบแทนมากมาย

ผู้มีวิชาใจคดบางคนมักใช้วิธีนี้ในการหาเงิน เรื่องนี้เกิดขึ้นในตระกูลหมิง แน่นอนว่าต้องมีจุดประสงค์อื่น ไม่อย่างนั้น ‘ผู้มีความสามารถ’ คงปรากฏขึ้นก่อนหน้านี้แล้ว ไม่รอให้พวกนางเชิญแม่นางหลิวมาหรอก

ไม่จำเป็นต้องสืบหาเบื้องหลังเหตุการณ์ที่เรียบง่ายนี้ก็แค่ทำให้ผู้คนตกใจเท่านั้นเอง ไม่มีทางทำร้ายคนได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วสิ่งชั่วร้ายที่ทำให้คุณหนูเจ็ดตกใจจนถึงแก่ความตายในที่นี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิด

เป็นเหตุการณ์ที่สมบูรณ์แบบเหตุการณ์หนึ่ง แต่เมื่อเกิดเรื่องผิดปกติแบบนี้เกิดขึ้น ก็ถือว่าไม่นับอยู่ในเหตุการณ์นี้ หรือว่ามีผู้พบเห็นเหตุการณ์นี้แล้วใช้โอกาสนี้นำสิ่งชั่วร้ายเข้ามาเป็นกลยุทธ์กวนน้ำจับปลา[footnoteRef:1] มีผู้ที่คิดร้ายกับฮูหยินสามแล้วบังเอิญเห็นเหตุการณ์นี้เข้า [1: กลยุทธ์กวนน้ำจับปลา : การรู้จักฉกฉวยจังหวะที่ศัตรูเกิดความปั่นป่วนภายในกองทัพให้เป็นประโยชน์ แย่งยึดเอาผลประโยชน์นั้นมาเป็นของตน]

สิ่งชั่วร้ายนั้นหมิงเวยเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว ชี่อันชั่วร้ายที่อยู่บนร่างของมันต้องมีอายุอย่างน้อยสิบปีถึงจะเป็นวิญญาณพยาบาทที่ถูกกลั่นแกล้งอย่างไม่เป็นธรรมจนถึงแก่ความตาย

สิ่งชั่วร้ายนั้นยากที่จะควบคุมได้หากปราศจากผู้มีวิชาที่ได้รับสืบทอดวิชามาอย่างจริงจัง เหมือนอย่างที่แม่นางหลิวได้กล่าวไว้ว่าต้องเป็นเสวียนชื่อที่แท้จริง

แปลก ในฐานะเสวียนชื่อขอแค่เต็มใจทำก็มีคนเสนอความมั่งคั่งร่ำรวยและเกียรติยศให้อยู่แล้ว เหตุใดจึงต้องจ้องทำร้ายตระกูลหมิงด้วย หากมองดูแล้วก็ไม่คุ้มเสียเลยที่เสวียนชื่อต้องลงมือทำอะไรแบบนี้

หมิงเวยมองไปที่ถ้วยบนโต๊ะอย่างเหม่อลอย ยังมีนายท่านสี่อีก เขาก็แปลกมากเช่นกัน พอเขาเห็นวิธีที่แม่นางหลิวทำในวันนั้น เขาก็เดินเข้ามาอย่างเกรี้ยวกราด แล้วยังพูดอีกว่าผีไม่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้ แต่วันรุ่งขึ้นกลับพาคนมาปิดล้อมต้นหลิวที่มีสิ่งชั่วร้ายสิงอยู่

ถ้าแค่ปิดล้อมเฉยๆ คงไม่เป็นไร แต่นางพบว่ามีความลับอย่างอื่นอีก ชาดรอบต้นไม้นี้ แม้จะดูเรียบง่าย แต่ก็เป็นเคล็ดวิชาแผดเผาวิญญาณอย่างแท้จริง

วิชานี้มักใช้เพื่อปราบปรามวิญญาณชั่วร้าย การใช้ชาดแผดเผาวิญญาณ สลายพลังวิญญาณชั่วร้าย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ นายท่านสี่ไม่เพียงแต่เชื่อว่าผีมีอยู่จริง แต่ยังรู้อีกว่าเป็นวิญญาณชั่วร้าย

ตระกูลหมิง...ช่างน่าสนใจจริงๆ

หนึ่งมีแผนข่มขู่ฮูหยินสามและบุตรสาว หนึ่งคนแอบนำสิ่งชั่วร้ายที่เข้ามาเพื่อหาโอกาสเอาชีวิตแล้วยังมีหนึ่งคนที่ปากบอกไม่เชื่อเรื่องผี แต่จริงๆ แล้วแอบปราบมันอย่างลับๆ

ฮูหยินสามมีอะไรที่ควรค่าแก่การที่ผู้อื่นมาทำอะไรเปลืองสมองเช่นนี้กัน

“คุณหนู ทำอะไรอยู่หรือเจ้าคะ” เสียงของตัวฝูดึงสติของหมิงเวยกลับมา

“ไม่มีอะไร” ตัวฝูมองถ้วยชาบนโต๊ะ มันดูต่างออกไป ตำแหน่งที่วางอยู่มันแปลกๆ

หมิงเวยเหลือบตามองนาง “มีอะไรหรือ”

“อ้อ!” ตัวฝูนึกขึ้นมาได้ “ฮูหยินสองกับฮูหยินสี่มาหาเจ้าค่ะ”

……..

ในบรรดานายท่านทั้งห้าแห่งตระกูลหมิงที่ยังมีชีวิตอยู่ มีแค่นายท่านใหญ่และนายท่านห้าที่ทำงานอยู่ในเมืองหลวง ฮูหยินใหญ่เองก็ไม่ใช่คนที่ชอบให้สะใภ้เดินทางไปกลับจึงให้พวกเขาอยู่รวมเป็นครอบครัวเดียวกัน เพราะฉะนั้นคนที่อยู่ในเมืองตงหนิงจึงมีฮูหยินสอง ฮูหยินสี่ และฮูหยินหก

ยังไม่ทันที่หมิงเวยจะก้าวเข้าไป นางได้ยินเสียงผู้ใหญ่พูดคุยและเสียงเด็กๆ ดังมาจากในห้อง นางมาอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว แต่สวนอวี๋ฟางไม่เคยคึกคักขนาดนี้มาก่อน

ตัวฝูกระซิบ “คุณชายสี่ คุณชายหก คุณชายเก้าแล้วก็คุณหนูแปดก็มาด้วยเจ้าค่ะ”

“อ้อ” ฟังพวกนางสนทนากันก็มีเสียงอ่อนโยนของหญิงสาวดังขึ้นจากด้านใน “เสี่ยวชีมาแล้วหรือ รีบเข้ามาสิ มาทักทายท่านป้ากับท่านอา”

หมิงเวยเดินเข้ามาในห้องพบว่าในห้องมีหญิงสาวสองนาง ฮูหยินคนแรกเป็นหญิงสาวอายุประมาณสี่สิบปี สวมชุดประโปรงสีฟ้า ใบหน้ากลมคิ้วโค้งมน ดูอ่อนโยนและใจดี ส่วนหญิงสาวที่อยู่ข้างหลังนั้น อายุดูอ่อนกว่าไม่มากหางตาตกและสัมผัสได้ถึงความทุกข์จากนาง

ฮูหยินสามยิ้มพลางกวักมือเรียก “เสี่ยวชี สองท่านนี้คือท่านป้าสองกับท่านอาสะใภ้สี่มาทักทายพวกท่านเร็ว”

หมิงเวยย่อตัวคำนับ “ท่านป้าสอง ท่าอาสะใภ้สี่”

สายตาของฮูหยินสองมีร่องรอยของความประหลาดใจ “เสี่ยวชีอาการดีขึ้นแล้ว ดูสุขุมขึ้นเยอะเลย” เมื่อก่อนแม้หมิงเวยอาจเคยคารวะ แต่การพูดจาของนางไม่ต่างจากเด็กทารก มาในวันนี้กิริยาท่าทางดูสง่าสุขุมเหมือนคนเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่ปาน

ฮูหยินสามยิ้มและกล่าวว่า “สองสามวันก่อนนางป่วยหนักมากใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตลอดทั้งวัน ตอนนี้ดีขึ้นแล้วแต่กลับกลายไม่ชอบพูดแทนนี่สิ” พูดอีกว่า “เสี่ยวชี คนนี้คือพี่สี่ คนที่เมื่อก่อนลูกมักถามหาเสมอ จำได้หรือไม่”

หมิงเวยเพิ่งสังเกตว่ามีเด็กหนุ่มอยู่ในห้องนี้ด้วย

เด็กหนุ่มอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี ใบหน้าของเขาคล้ายคลึงกับนายท่านสี่มาก เขาสวมเสื้อสีเขียวซึ่งดูเกือบจะเป็นนายท่านสี่อีกคนหนึ่งแล้ว แค่ขาดความเป็นผู้ใหญ่จากประสบการณ์ และยังดูเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของวัยเยาว์อยู่

หมิงเวยคิดหากนายท่านสาม และนายท่านสี่ในวัยเยาว์มีลักษณะเช่นนี้ ไม่น่าแปลกใจที่แม่นมถงมักจะถอนหายใจเมื่อพูดถึงอดีต และไม่แปลกใจเลยที่หญิงสาวอย่างฮูหยินสามจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถลืมนายท่านสามได้

พอเห็นนางมองตัวเขาอยู่แบบนี้คุณชายสี่หมิงเฉิงก็ยิ้มอย่างเขินๆ

“เสี่ยวชีจำพี่ได้หรือไม่ ปีที่แล้วพี่สี่ให้ว่าวสาวงามแก่เจ้า เจ้าบอกว่าสวยมาก”

หมิงเวยไม่ใช่คุณหนูเจ็ดตัวจริงจะจำได้อย่างไรกัน นางส่ายหน้า

ฮูหยินสามพูด “หลายปีมานี้พี่เฉิงไม่ได้อยู่ที่นี่ เสี่ยวชีคงลืมหน้าตาพี่ชายไป อันที่จริงนางมักจะถามป้าว่าพี่ชายที่เคยเล่นกับนางอยู่ที่ใด”

ฮูหยินสองและฮูหยินสี่หัวเราะ ปีนี้หมิงเฉิงอายุสิบเจ็ด โตกว่าคุณหนูเจ็ดไม่ถึงสองปี ตอนเด็กจึงมักเล่นด้วยกัน พอหมิงเฉิงต้องขึ้นเหนือเพื่อเข้าเรียน สี่ห้าปีมานี้เขาเลยไม่อยู่บ้าน จิตใจของคุณหนูเจ็ดไม่ต่างจากเด็กน้อย นางค่อยๆ ลืมรูปลักษณ์ของเขาไป

“เฉิงเอ๋อร์” ฮูหยินสี่เรียก “ลูกพูดถึงเสี่ยวชีอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้ได้พบกันแล้ว ลูกพานางไปเดินเล่นสักหน่อยไหม”

“ข้าด้วยๆ!” เสียงห้าวดังขึ้น “พี่สี่ เล่นชู่จวี[footnoteRef:2]กัน!” เด็กหนุ่มที่ดูไม่เด็กแต่ก็ยังไม่เข้าสู่วัยผู้ใหญ่นี้น่าจะเป็นคุณชายหก บุตรชายคนเล็กของฮูหยินสอง เขาเพิ่งจะอายุสิบสามเสียงเพิ่งจะแตกหนุ่ม [2: ชู่จวี : เป็นการละเล่นหรือกีฬาชนิดหนึ่งของจีนโบราณ ที่มีลักษณะการเล่นคล้ายกับฟุตบอลในยุคปัจจุบัน]

“ข้า ข้าก็อยากเล่นชู่จวี...” เสียงอ่อนเสียงหนึ่งดังขึ้น หมิงเวยหันศีรษะไป แล้วก็เห็นเด็กชายอายุเจ็ดแปดขวบจ้องมองมายังพวกเขา

เด็กคนนี้น่าจะเป็นลูกชายอีกคนของนายท่านสี่ ฮูหยินสองยิ้ม “อยากไปก็ไปเถอะ เฉิงเอ๋อร์ ช่วยดูแลน้องๆ ด้วยนะ” หมิงเฉิงยกมือทั้งสองประสานกันแล้วยกขึ้นในระดับหน้าอก “ท่านป้าโปรดวางใจเถิดขอรับ”

“ฮึ!” เสียงแผ่วเบาดังขึ้น เด็กหญิงที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครนั่งตัวตรงด้วยสีหน้าเฉยเมย “พวกท่านจะเล่นก็เล่นไป ข้าไม่เล่น”

ฮูหยินสองยิ้มแล้วถาม “หากอาเซียงไม่ไปก็อยู่ฟังพวกป้าคุยกันที่นี่ดีหรือไม่ พวกป้าคุยเรื่องน่าเบื่อกัน เจ้าอย่าเบื่อไปล่ะ”

เด็กสาวมีสีหน้าลังเล ฮูหยินสามยิ้ม “อาเซียงไปเถอะ พวกผู้ชายเขาเล่นบ้าระห่ำกัน หากมีเจ้าคอยช่วยดูป้าค่อยวางใจ ช่วยดูพวกเขาแทนพวกป้าได้หรือไม่”

เป็นเหตุผลที่ฟังแล้วรู้สึกสบายใจ หมิงเซียงแสร้งทำเป็นคิดก่อนจะพยักหน้าตอบอย่างรวดเร็ว “ได้เจ้าค่ะ งั้นหลานไปเฝ้าดูพวกเขาจะได้ไม่ไปเล่นระห่ำกันจนไม่รู้ทางกลับบ้าน”

“รบกวนเจ้าแล้ว” แล้วเด็กกลุ่มหนึ่งก็พากันวิ่งออกไปเสียงดัง

ฮูหยินสี่ถอนหายใจ “อาเซียงก็ไม่เด็กแล้ว ทำไมถึงขี้เล่นขนาดนี้นะ น่ากังวลใจเสียจริง”

ฮูหยินสามรินชาให้นาง “อาเซียงเพิ่งจะสิบสาม ยังขี้เล่นได้มากกว่านี้ ว่าไปแล้ว ท่านให้นางนิ่งเช่นนี้กดความขี้เล่นของนางไว้ แต่ดูแล้วนางเป็นคนรู้ความ ปล่อยให้นางเล่นอีกสักสองปีเถิดถึงคราวนางออกเรือนคงไม่ได้ผ่อนคลายเช่นนี้แล้ว”

ฮูหยินสองพยักหน้าพอนึกอะไรขึ้นมาได้จึงถาม “น้องสะใภ้สาม เสี่ยวชีเองก็ไม่เด็กแล้ว เจ้าวางแผนไว้อย่างไร”

……………………………………….