ตอนที่ 2 บำรุงเลือดให้เด็กน้อยของพวกเราเสียหน่อย
อิ๋งจื่อจินชักมือกลับ ไม่แคร์สายตาแปลกๆ จากคนที่มามุงดูแม้แต่น้อย เธอพับแขนเสื้อขึ้นแล้วเดินต่อ
เมืองฮู่เฉิงเป็นมหานครอันดับสองของประเทศจีน เศรษฐกิจและเทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว
“คุณชายเจ็ด นายเห็นหรือยัง” ผ่านไปสักพักกว่าเนี่ยเฉาจะได้สติกลับมา เขาหยิกต้นขาตัวเอง ร้องซี้ด “ฉันจำได้ดีเลยนะว่าน้องผู้หญิงคนนี้เพิ่งเข้าโรงพยาบาลเมื่อวันก่อน แต่เธอสู้หนึ่งต่อห้าได้เลยเหรอ”
“อืม เห็นแล้ว” มือข้างหนึ่งของฟู่อวิ๋นเซินล้วงกระเป๋า มองตามหลังเด็กสาวคนนั้น “แต่ศิลปะการต่อสู้แบบนี้ ดูไม่ออกว่าคืออะไร คล้ายมวยไทย แต่ก็เหมือนยูโดหน่อยๆ”
เนี่ยเฉาอึ้งไป “ยังไง”
“ท่าที่เธอใช้ต่อสู้แต่ละท่ามันเจ๋งมาก” ฟู่อวิ๋นเซินยิ้มเล็กน้อย “ถ้าเธอออกแรงมากอีกหน่อย ห้าคนนั้นไม่ใช่แค่ล้มจนลุกไม่ขึ้นแน่นอน”
เนี่ยเฉาได้ฟังก็เหงื่อแตกไม่หยุด “เป็นไปไม่ได้มั้ง น้องคนนี้จะเป็นวิทยายุทธ์แบบโบราณหรือไง”
จอมยุทธ์ผู้ฝึกวิชาโบราณ ผสมผสานกับวิทยาการยุคปัจจุบัน ซึ่งก็คือจอมยุทธ์โบราณ จอมยุทธ์โบราณแข็งแกร่งกว่าเขาที่เป็นคาราเต้ไม่รู้ตั้งกี่เท่า
ในประเทศจีนมีจอมยุทธ์โบราณอยู่ เพียงแต่เหลือไม่มากแล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยายุทธ์แบบโบราณจำนวนหนึ่งก็ค่อยๆ หายไปหลังจากการมาเยือนของศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด แม้แต่ตระกูลใหญ่ๆ ในเมืองตี้ตูก็กำลังตามหาจอมยุทธ์โบราณอย่างแท้จริง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในเมืองฮู่เฉิง
หากตระกูลไหนสามารถเชิญจอมยุทธ์โบราณที่แท้จริงมาอยู่เป็นเกียรติในตระกูลได้ ก็จะมีความสามารถทัดเทียมตระกูลเศรษฐีเก่าแก่เหล่านั้นในยุโรป
หากลูกเลี้ยงตระกูลอิ๋งคนนี้เป็นวิทยายุทธ์โบราณ ตระกูลอิ๋งยังจะใช้เธอเป็นคลังเลือดที่มีชีวิตอยู่ไหม
ทุกคนในบ้านตั้งแต่เจ้านายยันคนรับใช้คงได้รีบเอาใจกันเต็มที่
“วิทยายุทธ์โบราณเหรอ...” ฟู่อวิ๋นเซินเหลือบมอง สายตาจับจ้อง
ขณะนั้นที่ด้านหน้า เด็กสาวก็เดินย้อนกลับมาทันที อีกทั้งยังตรงมาทางพวกเขา
ฟู่อวิ๋นเซินหรี่ตา หันตัวเล็กน้อย
แสงไฟริมถนนสว่างไสว เงาสะท้อนอยู่ในดวงตาดอกท้อที่เรียวยาวของเขา ฉาบด้วยสีแดง เจือไปด้วยประกายอ่อนโยน
ยากนักที่จะมีคนต้านทานสายตาของเขาได้
พออยู่ในระยะใกล้ ฟู่อวิ๋นเซินสามารถมองเห็นเส้นเลือดสีเขียวที่อยู่ใต้ผิวขาวซีดของเด็กสาวได้อย่างชัดเจน เธอดูอ่อนแอจนน่าตกใจ คิ้วของเขาเลิกขึ้นเล็กน้อย
เนี่ยเฉาเหงื่อแตกหนักกว่าเดิม
คงไม่ใช่ได้ยินที่เขานินทาใช่ไหม
ถึงเขาจะได้คาราเต้เก้าดั้ง[footnoteRef:1] ทั้งยังเป็นผู้ชายอกสามศอก แต่ก็เทียบไม่ได้กับความโหดเมื่อครู่ของน้องสาวคนนี้ที่สู้กับร้อยคนได้สบาย [1: คาราเต้เก้าดั้ง คาราเต้คือศิลปะการต่อสู้ของญี่ปุ่น ดั้งคือการแบ่งระดับทักษะคาราเต้ใช้ในระดับสายดำ (สายดำคือต้องได้ 1 คิว เป็นระดับคิวสูงสุดโดยเริ่มจาก 10 คิว) ]
ทันใดนั้นเด็กสาวก็หยุดยืนตรงหน้าเขา เธอเงยหน้าขึ้น ดวงตายังคงมีความคุกรุ่นจางๆ เธอพูดขึ้น “คุณ...”
เนี่ยเฉาเข่าทรุดลงข้างหนึ่ง “ผมเป็นแค่คนขี้เม้าท์ปากดี อันที่จริงไม่ได้มีเจตนาร้ายเลยนะครับ ลูกพี่โปรดเมตตาด้วยครับ!”
ฟู่อวิ๋นเซินรู้สึกสนใจ “คุกเข่าหนึ่งข้าง ความจริงใจเต็มเปี่ยม นายขอแต่งงานเหรอ”
เนี่ยเฉา “...”
ไอ้ขาไม่รักดี!
อิ๋งจื่อจินมองเนี่ยเฉาที่ยืนขึ้นมาอีกครั้ง ขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดอย่างไม่รีบร้อน “ตอนหนึ่งทุ่มตรงในอีกสามวันให้หลัง ภายในร้านเหล้าอีฮ่าวตรงถนนหวงผู่ คุณจะมีเลือดตกยางออก แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ นับตั้งแต่เวลาเที่ยงของเจ็ดวันให้หลัง ฉันขอเตือนคุณว่าให้อยู่ห่างจากแถวผู่หนาน ไม่อย่างนั้นชีวิตจะน่าเป็นห่วง”
เนี่ยเฉางงไปหมด
ฟู่อวิ๋นเซินได้ฟัง นิ้วเรียวยาวที่เล่นหยกอยู่ก็คว้าหมับ ดวงตาดอกท้อเชิดขึ้น อมยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เด็กน้อย ดูดวงเป็นด้วยเหรอ”
อิ๋งจื่อจินไม่ตอบ แค่พูดว่า “ขอบคุณ”
การขอบคุณเป็นเพียงข้ออ้าง จะมีใครช่วยเธอหรือไม่ก็ไม่เป็นไรสำหรับเธอ เธอแค่อยากลองดูว่าความสามารถในการพยากรณ์ของเธอยังเหลืออยู่เท่าไร
ดูท่าเธอยังต้องใช้เวลาอีกนานทีเดียวกว่าจะฟื้นฟูเต็มร้อย แต่ตอนนี้ก็พอใช้แล้ว
เนี่ยเฉางงยิ่งกว่าเดิม “หา?”
ฟู่อวิ๋นเซินเหลือบมองเนี่ยเฉาแล้วมองเด็กสาว ดวงตาของเขาเป็นสีอำพันอ่อนๆ ให้อารมณ์อ่อนโยนประหนึ่งเย้ายวน “เด็กน้อย ขอบคุณแค่เขาไม่ค่อยยุติธรรมกับฉันเท่าไหร่นะ หืม?”
สีหน้าของอิ๋งจื่อจินชะงัก
เนี่ยเฉางงไปหมด “คุณชายเจ็ด ไม่ใช่มั้ง เห็นๆ อยู่ว่านายรังแกน้องสาวคนนี้ วันนี้นายกินยาผิดมาเหรอ”
ลูกผู้ชายอกสามศอก อายไหมล่ะ
ทำไมเขาไม่เคยเห็นคุณชายคนนี้คุยแบบนี้กับเพศตรงข้ามมาก่อนเลยล่ะ
ฟู่อวิ๋นเซินไม่สนใจเขา ดวงตาดอกท้อหรี่ลง จ้องมองเด็กสาว ราวกับกำลังปล่อยกระแสไฟ “เธอทำนายดวงให้เขา ไม่สู้ทำนายให้ฉันบ้างเป็นไง”
อิ๋งจื่อจินหรี่ตามอง
“น้องสาว อย่าไปสนใจเขาเลยนะ” เนี่ยเฉารู้สึกได้ว่าวันนี้ฟู่อวิ๋นเซินดูเพี้ยนๆ จึงช่วยกู้สถานการณ์ “จะไปไหนล่ะ ให้พวกเราไปส่งไหม”
พวกตระกูลใหญ่มีเบื้องลึกเบื้องหลังจริงๆ สินะ ดูก็รู้ว่าน้องผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนแบบที่ลือกัน
“ไม่ต้อง” อิ๋งจื่อจินส่ายหน้า กำลังจะเดินจากไป
ในขณะที่หันตัวร่างกายก็โงนเงนเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเป็นอาการจากการที่สูญเสียเลือดมากเกินไป
เธอยกมือขึ้นนวดขมับ ใบหน้าฉาบด้วยความหนาวเย็น
ทันใดนั้นก็มีเสียงเนือยๆ ดังมาจากด้านหลัง
“เด็กน้อย”
อิ๋งจื่อจินหยุดแล้วหันไป
ชายหนุ่มพิงประตูกระจก ยังคงมีท่าทางเหมือนคนเสเพล “ผู้มีพระคุณของเธอบอกว่า เพื่อเป็นการขอบคุณที่เธอเตือนเขา คืนนี้จะขอเลี้ยงข้าวเธอ”
...
ร้านฮั่นเก๋อ
จนกระทั่งบริกรวางอุปกรณ์บนโต๊ะอาหารเสร็จ เนี่ยเฉาก็ยังคงไม่เข้าใจ เขามองเด็กสาวที่ใบหน้าซีดเซียว “คุณรับปากมาจริงเหรอเนี่ย ไม่กลัวถูกเอาไปขายเหรอ เกิดพวกเราเป็นคนเลววางยาพิษคุณล่ะ”
อีกอย่างคุณชายเจ็ดก็แปลกคน เป็นฝ่ายชวนผู้หญิงก่อนตั้งแต่เมื่อไรกัน
อิ๋งจื่อจินหลับตาครึ่งหนึ่งตั้งสมาธิ “เพราะฉันหิวจริงๆ”
เนี่ยเฉา “...”
“อืม แค่นี้แหละ เอาผัดตับหมูมาอีกที่แล้วกัน” ฟู่อวิ๋นเซินปิดสมุดเมนู
บริกรโค้งตัวแล้วออกไปเตรียม
ร้านฮั่นเก๋อเป็นร้านอาหารเพียงหนึ่งเดียวภายในประเทศจีนที่ปฏิเสธรางวัลร้านมิชลินสามดาว รับลูกค้าเพียงวันละสิบโต๊ะ ทั้งยังต้องจองล่วงหน้าสามเดือน
เนี่ยเฉามองบรรยากาศรอบตัว “คุณชายเจ็ด นายคงไม่ได้รู้จักเจ้าของร้านฮั่นเก๋อใช่ไหม ร้านนี้ต่อให้เป็นพ่อฉันก็ต้องจองล่วงหน้าเลยนะ”
“ไม่รู้จัก” ฟู่อวิ๋นเซินเอาแขนวางลงตรงที่เท้าแขน พูดอย่างสบายๆ “คงดูที่หน้าตามั้ง”
“คุณหนูอิ๋ง ได้ยินแล้วใช่ไหม คุณชายเจ็ดชอบพูดเหลวไหล คุณไม่ต้องไปเชื่อคำพูดของเขาหรอกนะ” เนี่ยเฉาก็ไม่แคร์ โบกมือหนึ่งที “แต่วันนี้เป็นโอกาสที่หาได้ยากทีเดียวที่คุณชายเจ็ดจะเลี้ยง กินเต็มที่เลยนะ เขาน่ะขาดทุกอย่างยกเว้นเงิน”
“บังเอิญจัง” อิ๋งจื่อจินพูด “ฉันขาดแค่เงิน”
ฟู่อวิ๋นเซินเงยหน้า
“คุณขาดเงินเหรอ” เนี่ยเฉาอึ้ง “ตระกูลอิ๋งไม่ให้เงินคุณใช้เหรอ”
คนรับใช้ตระกูลอิ๋งมีเงินเดือนกันหมด แล้วนับประสาอะไรกับลูกเลี้ยงคนเดียว
“ฉันเรียนไม่เก่ง และก็ไม่เคยเรียนมารยาท ปักดอกไม้ชงชาก็ไม่เป็น” เด็กสาวพูด “น่าขายหน้าขนาดนี้ทำไมต้องให้เงินฉันด้วย”
เนี่ยเฉาพูดไม่ออก
ขนตาของฟู่อวิ๋นเซินขยับ มุมปากถูกยกขึ้น “งั้นพวกเขาก็มีตาหามีแววไม่ มารยาทของเธอบนโต๊ะอาหารใกล้เคียงกับเชื้อพระวงศ์ยุโรปโบราณแล้ว”