webnovel

ตอนที่ 1

ตอนที่ 1 เทพพยากรณ์หวนคืน

‘จื่อจิน ถึงเธอจะเป็นลูกสาวของพวกเรา แต่พวกเราเลี้ยงเสี่ยวเซวียนมาสิบห้าปี ผูกพันกับเสี่ยวเซวียนมาก เสี่ยวเซวียนถูกเลี้ยงมาอย่างคุณหนู ไม่เหมือนเธอที่ทนความลำบากที่บ้านนอกมาตลอด ดังนั้นคุณหนูใหญ่ของตระกูลอิ๋งก็ยังคงเป็นเสี่ยวเซวียน’

‘เธอคงจะน้อยใจ แต่เธอจิตใจดีขนาดนี้ แม่รู้ว่าเธอไม่มีทางถือสาแน่นอน วางใจนะ อะไรที่เธอควรได้ก็จะไม่มีทางน้อยหน้า’

‘อะไรนะ เธอเองก็อยากไปด้วยล้อเล่นหรือเปล่า ทางนั้นเขาต้องการคุณหนูไฮโซ เธอน่ะ แม้แต่เล่นเปียโนสักเพลงก็ยังไม่เป็น จะไปเล่าอะไรให้เขาฟังมีแต่จะทำขายหน้า’

ภายในความฝันเป็นเงาคนเต็มไปหมดกับคำพูดที่ตีกันยุ่งเหยิง

หลังจากนั้นไม่กี่วินาที อิ๋งจื่อจินถึงตื่น

ขนตางอนยาวของเธอขยับไหว เมื่อลืมตาขึ้น ภาพที่อยู่ในสายตาเป็นห้องผู้ป่วยสีขาว จมูกได้กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้ออบอวลไปทั่ว

“โอ๊ะ ตื่นแล้วเหรอยะ” เสียงประชดลอยมาทางเหนือศีรษะของเธอ “คิดว่าตายไปแล้วเสียอีก อย่าขยับนะ จะขยับทำไม เข็มเคลื่อนเธอรับผิดชอบไหม”

มือข้างหนึ่งกดเธอไว้ ออกแรงบีบแผลของเธอ

แต่ทว่าสีหน้าของเด็กสาวกลับไม่แสดงความรู้สึกเจ็บเลยสักนิด เธอพลิกข้อมือ จับมือข้างนั้นกดไว้บนชั้นวางตรงหัวเตียง

คนคนนั้นร้องด้วยความเจ็บปวดขึ้นมาทันที “เธอเป็นบ้าหรือไง!”

“เสี่ยวจิน!” ภายในห้องผู้ป่วยยังมีหญิงสาวอีกคนหนึ่ง เธอตกใจมาก รีบเดินเข้าไปหา “นี่คือหมอลู่ ไม่ได้จะมาทำร้ายเธอ”

อิ๋งจื่อจินหันไปมอง ใบหน้าซีดเซียวที่ถึงขั้นไม่มีเลือดแม้แต่น้อยปรากฏขึ้นในอากาศ ดูขี้โรค ไร้ความสดชื่น แต่เมื่อสังเกตให้ดีกลับงดงามได้รูป นัยน์ตาหงส์ชวนมองที่กลอกไปมาเล็กน้อยเกิดประกายอ่อนๆ วูบไหวไปมา หลับตาและลืมตาสลับกันไป

มีเสน่ห์น่าหลงใหลที่ทำให้คนเหม่อลอย

ดวงตาของเธอวูบไหว ถามด้วยความเป็นห่วง “เสี่ยวจิน ยังรู้สึกไม่สบายตรงไหนไหม”

เด็กสาวไม่ตอบ แต่กลับปล่อยมือออก

หมอลู่นวดข้อมือพลางถอยหลัง พูดต่อว่า “สมกับเป็นหมาป่าตาขาว[footnoteRef:1]ที่ไร้การอบรมสั่งสอน” [1: หมาป่าตาขาว ใช้เปรียบเทียบกับคนที่เนรคุณ]

อิ๋งจื่อจินเงยหน้า ตาหงส์เรียวยาวยังเจือไปด้วยประกายความชุ่มชื้น

น้ำเสียงของเธอแหบแห้งแบบที่หลังตื่นนอน เจือไปด้วยความเย็นชา “ขอโทษ เพิ่งตื่น คิดว่ามีหมากัด”

หมอลู่สีหน้าเปลี่ยน “เธอ!”

“เอาล่ะ เสี่ยวจินขอโทษแล้ว เลิกทะเลาะกันเถอะ” หญิงสาวห้ามปราม ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

“เสี่ยวจิน ขอโทษนะ ถ้าไม่ใช่เพราะอาการป่วยของอา เธอก็คงไม่ต้องมาบริจาคเลือดให้ นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้ยังทำเธอสลบอีกด้วย”

“มันก็สมควรแล้ว!” หมอลู่มีสีหน้ารังเกียจ “ยัยนี่น่ะก็แค่ลูกสาวที่ตระกูลอิ๋งของพวกเธอรับเลี้ยงไว้เพราะสงสารไม่ใช่เหรอ เธอยังจำเป็นต้องให้ฉันมาดูแลโดยเฉพาะด้วยเหรอ”

หญิงสาวถอนหายใจ “เสี่ยวจินลำบากมามากเหลือเกิน จะเทียบกับเสี่ยวเซวียนได้ยังไง”

“เทียบไม่ได้” คราวนี้หมอลู่ยิ้มออกมา แต่เป็นการแสยะยิ้ม “ได้ยินน้องชายฉันเล่าว่า เสี่ยวเซวียนได้อันดับสองของชั้นปี ไม่เหมือนหมาป่าตาขาวบางคน ใช้เงินเข้าห้องอัจฉริยะ แต่กลับได้อันดับสองนับจากข้างท้าย คะแนนสามร้อยกว่า น่าขายหน้าจริงๆ”

หญิงสาวหน้าตีนิ่ง “อย่าพูดแบบนี้สิ เมื่อก่อนเสี่ยวจินเป็นที่หนึ่งในโรงเรียนมัธยมที่เธอเรียนเลยนะ”

หมอลู่แสยะยิ้ม “อันดับหนึ่งในตัวอำเภอบ้านนอก แม้แต่สอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่ติด”

แต่บทสนทนาของทั้งสองคนไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออิ๋งจื่อจินแม้แต่น้อย เธอมองหญิงสาวอย่างสบายๆ สมองปรากฏชื่อๆ หนึ่ง

อิ๋งลู่เวย อาเล็กของเธอปีนี้อายุยี่สิบห้าปี คุณหนูไฮโซอันดับหนึ่งของเมืองฮู่เฉิง และยังเป็นนักเปียโนที่มีชื่อเสียงของประเทศจีน

เนื่องจากยีนกลายพันธุ์ ทำให้อิ๋งลู่เวยป่วยเป็นโรคฮีโมฟีเลีย[footnoteRef:2]ที่พบเจอได้ยาก [2: โรคฮีโมฟีเลีย คือ โรคเลือดออกง่ายแต่กำเนิด เป็นโรคทางพันธุกรรม]

โรคชนิดนี้เมื่อมีบาดแผลเลือดก็จะไหลไม่หยุดยากที่จะรักษา อีกทั้งกรุ๊ปเลือดยังเป็นเลือดสีทองที่หาได้ยากมาก หาเลือดที่เข้ากันได้ไม่ง่าย ณ ปัจจุบันนี้ยังไม่มีวิธีรักษาที่หายขาด

อิ๋งจื่อจินมองข้อมือเรียวเล็กของตัวเองที่แม้แต่เส้นเลือดก็ยังสามารถมองเห็นได้ สีหน้าเหนื่อยหน่าย “จึ๊”

เธอตายจากโลกบำเพ็ญเพียรแล้ว แต่กลับได้หวนกลับมายังโลกมนุษย์ที่เธอเคยอยู่แทน

หลับใหลอยู่เกือบสิบเจ็ดปี ตอนนี้จิตรู้สำนึกและความทรงจำของเธอได้ตื่นอย่างสิ้นเชิงแล้ว

ชื่อของเธอก็ยังคงเป็นอิ๋งจื่อจิน ชื่อนี้อยู่กับเธอมานานแสนนาน

เพียงแต่เธอไม่ใช่เทพพยากรณ์ ‘หยั่งรู้ความเป็นความตาย มองปราดเดียวรู้สุขทุกข์ ’ ในโลกบำเพ็ญเพียรอีกต่อไปแล้ว

เธอในตอนนี้คือลูกเลี้ยงที่โชว์ใครไม่ได้ของตระกูลอิ๋ง และยังเป็นคลังเลือดเคลื่อนที่ของอิ๋งลู่เวยอีกด้วย เรียกเมื่อไรก็ต้องมาเมื่อนั้น

ที่หมดสติไปครั้งนี้เป็นเพราะอิ๋งลู่เวยบาดเจ็บ เธอถูกสูบเลือดอย่างต่อเนื่องหลายวัน ทั้งยังขัดขืนไม่ได้

“ตอนนั้นเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่” หมอลู่มองอิ๋งลู่เวย “ใครเป็นคนผลักเธอลงไป เธออยู่ข้างๆ เห็นหรือเปล่า”

ประโยคสุดท้ายพูดกับอิ๋งจื่อจิน

เห็นอิ๋งจื่อจินไม่ขยับ ไฟโกรธของหมอลู่ก็แล่นขึ้นมาทันที “ถามเธออยู่นะ เป็นใบ้ไปแล้วหรือไง”

“หนวกหู” อิ๋งจื่อจินส่งสายตารำคาญ “เงียบๆ”

“เธอทำท่าทางอะไรของเธอ” หมอลู่เอาแฟ้มในมือฟาดลงบนโต๊ะอย่างแรง แสยะยิ้ม “ลู่เวย ขอโทษทีนะ ดูจากท่าทางของยัยคนนี้ ตอนนี้ฉันไม่ขอรักษาอาการป่วยให้แล้ว”

อิ๋งจื่อจินกระชับอกเสื้ออย่างไม่รีบร้อน “ประตูอยู่นั่น”

เดิมทีหมอลู่อยากให้เด็กสาวพูดจาอ้อนวอนเธอ นึกไม่ถึงว่าหมัดที่หวดออกไปกลับวืด หน้าเธอเสียในทันที ใบหน้าร้อนผ่าว ทิ้งคำพูดเอาไว้ “ของชั้นต่ำที่ยั่วยวนอาเขยของตัวเองยังจะมาทำอวดดี” รีบร้อนเดินออกไป

“เสี่ยวจิน!” อิ๋งลู่เวยตวาด “หมอลู่เป็นหมอระดับผู้เชี่ยวชาญด้านฟื้นฟูร่างกายเลยนะ เธอทำหมอลู่โมโหแบบนี้แล้วร่างกายเธอจะทำยังไง”

“อืม ผู้เชี่ยวชาญด้านให้กลูโคส” อิ๋งจื่อจินพูด “คนที่ไม่รู้คงคิดว่าหนูต้องผ่าตัดใหญ่อะไร”

อิ๋งลู่เวยตกใจ “เสี่ยวจิน?”

อิ๋งจื่อจินเอาศอกยันตัวลุกขึ้นมานั่ง “แต่ที่ผู้เชี่ยวชาญพูดก็มีเหตุผล หนูก็อยากรู้ว่าใครผลักอาเล็กลงไป คนทำชั่วมันก็ต้องเผยพิรุธอยู่บ้าง”

เธอหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่ข้างเตียงแล้วมองอิ๋งลู่เวย “อาเล็กว่าไหมล่ะ”

ทันใดนั้นบุคลิกท่าทางของเด็กสาวก็เปลี่ยนเป็นกดดัน อิ๋งลู่เวยวางมาดไม่อยู่อย่างสิ้นเชิง เธอขมวดคิ้ว ไม่พอใจ “เสี่ยวจิน เธอเลิกเอาแต่ใจได้แล้ว เธอจะทำอาบาดเจ็บหรือเปล่าอาไม่สน แต่ถ้าเธอเป็นแบบนี้ต่อไป เกิดวันไหนล่วงเกินคนใหญ่คนโตเข้า อาเล็กจะปกป้องเธอยังไง”

“งั้นก็ขอบคุณอาเล็กล่วงหน้า ได้ยินว่าห้องพักผู้ป่วยห้องนี้อาเลือกให้หนูโดยเฉพาะ” อิ๋งจื่อจินเงยหน้ามองป้ายที่ประตู ราวกับกำลังหัวเราะ “เลขสวยดีนี่”

พูดจบเธอก็ไม่มองว่าอาสาวมีสีหน้าอย่างไร ออกจากห้องพักผู้ป่วยห้องเก้าหนึ่งสี่ไป

อิ๋งลู่เวยกัดริมฝีปากแววตาหม่นลง

เธอครุ่นคิด สุดท้ายก็หยิบโทรศัพท์มือถือมากดเบอร์ๆ หนึ่ง หลังจากมีคนรับก็พูดเสียงเบา “มั่วหย่วน ปกติเสี่ยวจินเชื่อฟังคุณที่สุด ช่วยฉันเตือนเธอหน่อยได้ไหม”

ดูเหมือนปลายสายคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้จึงเงียบไปชั่วขณะแล้วพูดอย่างเย็นชา “คุณรักษาตัวให้ดี ไม่ต้องสนเธอ ถ้าเธอยังทำตัวเอาใหญ่อีกผมจะให้คนเอาตัวเธอไป”

...

หิมะโปรยปราย ขาวโพลนไปถ้วนทั่ว

เมืองฮู่เฉิงตั้งอยู่ติดกับทะเล กลางฤดูหนาวก็ไม่มีทางได้เห็นหิมะ แต่ปีนี้วันหนึ่งในปลายเดือนมกราคมกลับมีหิมะโปรยปรายกลางท้องฟ้ายามราตรีที่อากาศหนาวเย็น

เวลาสามทุ่มบนถนนที่มีผู้คนสัญจรไปมา บรรยากาศครึกครื้นเป็นพิเศษ

เด็กสาวสวมเพียงเสื้อเชิ้ตสีดำเรียบง่ายตัวเดียว สองขาเรียวยาว เธอสะพายกระเป๋าสะพายข้าง เดินไปอย่างช้าๆ ดูไม่เข้ากันกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว

ใบหน้าของเธอซีดเซียว แต่กลับไม่สูญเสียความงามไป บางช่วงมีแสงไฟนีออนพาดผ่านใบหน้าของเธอ ประหนึ่งดวงดาวที่เล็กละเอียดค่อยๆ กระจัดกระจายออกไป

บริเวณถนนฝั่งตรงข้าม

“อ๊ะ คุณชายเจ็ด” สายตาของเนี่ยเฉาจับจ้อง สะกิดเอวคนข้างๆ “นายเดาดูสิว่าฉันเห็นใคร”

“หืม?” ชายหนุ่มท่าทางเอื่อยเฉื่อยเอ่ย “เจอคนรักเก่าเข้าแล้วหรือไง”

เขาเอียงตัวพิงกำแพง รูปร่างสูงยาว ท่าทางเหนื่อยหน่าย ให้ความรู้สึกเหมือนไม่เอาไหน

นิ้วมือเรียวยาวดุจกิ่งเหมยกำลังเล่นแหวนปานจื่อ[footnoteRef:3] มือนั้นกลับขาวนวลเสียยิ่งกว่าหยกเสียอีก [3: แหวนปานจื่อ แหวนสำหรับใส่นิ้วโป้งโดยเฉพาะ]

หิมะบดบังใบหน้าของเขา แต่ไม่อาจกลบหน้าตาอันคมคาย กลับยิ่งดูสะดุดตาเสียด้วยซ้ำ

ชายหนุ่มมีดวงตาดอกท้อที่เจือด้วยรอยยิ้ม โค้งมนเล็กน้อย ไม่ว่ามองใครก็คล้ายกับมีเยื่อใย ชวนให้หลงใหล เย้ายวนสะกดใจ

ซาตานผู้มาพร้อมกับแรงดึงดูดมหาศาล เนี่ยเฉาคิดในใจ

มิน่าพวกสาวๆ ไฮโซพวกนั้นเวลาเห็นใบหน้านี้ก็มองไม่เห็นคนอื่นอีก ขนาดเขาเป็นผู้ชายด้วยกันเห็นแล้วยังอยากคุกเข่าเลย

“คนรักเก่าอะไรเล่า ฉันไม่เคยกลับไปกินของเก่า ฉันเห็นเด็กสาวคนที่ตระกูลอิ๋งรับมาเลี้ยงเมื่อไม่กี่เดือนก่อน”

ชายหนุ่มขานรับอย่างไม่สนใจ ขาขวางอเล็กน้อยเชิดหน้าขึ้นนิดหน่อย ไม่ว่าจะเป็นองศาหรือกรอบหน้าล้วนอยู่ในจุดที่สมบูรณ์แบบ เล่นเอาบรรดาคนที่เดินผ่านไปมาต้องเหลียวกลับมามองอยู่บ่อยครั้ง

เนี่ยเฉารู้ว่าเขาไม่สนใจครั้นแล้วจึงพูดขึ้นมาอีก “นายเพิ่งกลับมาคงไม่รู้ว่าลูกเลี้ยงตระกูลอิ๋งคนนี้ยั่วยวนคู่หมั้นของอาตัวเองเลยนะ”

ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย ในที่สุดก็มีท่าทีตอบสนอง “เจียงมั่วหย่วนน่ะเหรอ”

“ใช่” เนี่ยเฉาทำเสียงจึ๊ “เธอช่างใจกล้าจริงๆ”

เจียงมั่วหย่วนอาวุโสกว่าพวกเขาที่เป็นคุณชายหนึ่งรุ่น แต่อายุกลับมากกว่าแค่ห้าหกปี ยังไม่ถึงสามสิบ เป็นประธานบริษัทไปแล้ว ใครๆ ในเมืองฮู่เฉิงต่างเรียกเขาด้วยความเคารพว่า ‘ท่านเจียงสาม’

เจียงมั่วหย่วนกับอิ๋งลู่เวยก็ถือเป็นคู่ที่เหมาะสมกัน ต่างเกิดในหนึ่งในสี่ตระกูลไฮโซ คนหนึ่งเป็นไฮโซสาวอันดับหนึ่งของฮู่เฉิง อีกคนเป็นชายหนุ่มที่พวกสาวๆ ไฮโซต่างอยากแต่งงานด้วยที่สุด

เนี่ยเฉาถอนหายใจ “คุณชายเจ็ด ฉันว่าถ้านายทำตัวเอาการเอางานกว่านี้ด้วยใบหน้านี้ของนาย คนที่พวกสาวๆ อยากแต่งงานด้วยมากที่สุดจะต้องเป็นนายแน่นอน”

คนที่ชื่อเสียงกระฉ่อนที่สุดในฮู่เฉิงนอกจากเจียงมั่วหย่วนแล้วยังมีอีกคนหนึ่งก็คือ คุณชายเจ็ดฟู่อวิ๋นเซินที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้นี่แหละ

เพียงแต่คนหลังกลับไม่ได้มีชื่อเสียงในทางที่ดีนัก ดูเหมือนว่านอกจากใบหน้าหล่อๆ กับร่ำรวย ก็หาข้อดีอย่างอื่นไม่ได้อีกแล้ว

แต่เนี่ยเฉารู้สึกว่า เขามองคุณชายเสเพลคนนี้ไม่ออกมาตลอด

ฟู่อวิ๋นเซินหลุบตา ยิ้มอย่างไม่คิดอะไร “ฉันไม่อยากเป็นเหมือนเขาหรอก”

“ก็จริงนะ” เนี่ยเฉาพูด “เที่ยวเล่นไปวันๆ สนุกกว่า มีอิสระแบบนี้ โชคดีที่บ้านฉันไม่ได้มีฉันแค่คนเดียว เลยไม่มีทางถูกตาแก่จับไปสืบทอดบริษัท”

ฟู่อวิ๋นเซินไม่พูดอะไร

“นายอาจจะยังไม่รู้ว่า ที่ตระกูลอิ๋งรับเลี้ยงเธอเป็นเพราะต้องการเลือดให้อิ๋งลู่เวย ก็น่าสงสารอยู่เหมือนกัน” เนี่ยเฉาพูดต่อ “แต่คนน่าสงสารก็มีจุดที่น่าเคียดแค้น ฉันดูแล้วนิสัยของลูกเลี้ยงตระกูลอิ๋งคนนี้ไม่ไหวเท่าไร”

เขาสังเกตเด็กสาวแล้ว อดตะลึงในความงามไม่ได้ “แต่เธอหน้าตาดีมากจริงๆ จึ๊ๆ พวกสาวๆ ในเมืองตี้ตูก็ยังสู้ไม่ได้”

ฟู่อวิ๋นเซินยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ดวงตาดอกท้อหลุบลงเล็กน้อยไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

พอไม่มีใครเม้าท์ด้วย เนี่ยเฉาก็หมดความสนใจ ในขณะที่เขากำลังจะถามชายหนุ่มว่าอยากไปนั่งผับที่เพิ่งเปิดใหม่ไหมทันใดนั้นก็ตกใจ “เอ๊ะ คุณชายเจ็ด ดูเหมือนลูกเลี้ยงตระกูลอิ๋งจะเจอเรื่องยุ่งยากเข้าแล้ว”

มีนักเลงหัวถนนห้าคนที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนขวางทางเด็กสาวเอาไว้ ใบหน้ามีรอยยิ้มแบบที่เจตนาไม่ดี ไม่น่าไว้ใจ มีสองคนถือมีดอยู่ในมือรอบตัวมีคนจำนวนไม่น้อยเห็นเหตุการณ์แล้ว แต่ก็ได้แค่เหลือบมองอย่างเย็นชา จากนั้นก็รีบร้อนเดินจากไป

“ตอนนี้ฉันเชื่อเรื่องกรรมตามสนองแล้วล่ะ” เนี่ยเฉาก็ไม่ขยับ ราวกับกำลังมองดูเรื่องสนุก “ดูแขนขาเรียวเล็กของเธอสิ น่าสงสารเนอะ”

ฟู่อวิ๋นเซินไม่ได้หันไปมอง แต่กลับพูดขึ้น “ไปช่วยหน่อย”

“ช่วยเหรอ” เนี่ยเฉาสงสัยว่าตัวเองได้ยินผิด “ไม่ใช่มั้งคุณชายเจ็ด นายบอกให้ฉันไปช่วยเธอเหรอ รู้หรือเปล่าว่าชื่อเสียงของเธอในฮู่เฉิงฉาวโฉ่แค่ไหน ไปช่วยก็เท่ากับหาเรื่องใส่ตัว”

“เธอเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ” ฟู่อวิ๋นเซินเหลือบมอง “นายเองก็แค่ได้ยินมา ตระกูลใหญ่มีเบื้องลึกเบื้องหลัง ขาวเป็นดำกลับดำเป็นขาวเป็นเรื่องปกติ แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าเธอเป็นคนแบบไหนกันแน่”

เนี่ยเฉาคิดๆ ดูก็เห็นด้วย “แต่ทำไมฉันต้องเป็นคนไปช่วยล่ะ”

ฟู่อวิ๋นเซิน “นายเป็นคาราเต้”

“เออๆ” เนี่ยเฉาจนปัญญา “ฉันจะไปช่วย แต่ถ้าอีกเดี๋ยวถูกลูกเลี้ยงตระกูลอิ๋งคนนี้ตามติดเข้า ฉันจะบอกว่าเป็นเพราะนายนะ”

“อืม” ฟู่อวิ๋นเซินตอบ “ฉันรับเอง”

เนี่ยเฉาเดินไปข้างหน้าอย่างไม่ยินยอมเท่าไร แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเดินไปถึง เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

เห็นเพียงเด็กสาวคว้าแขนของหัวหน้านักเลงด้วยสีหน้าเรียบเฉย จับยกขึ้นบิดมือยกตัวทุ่ม ท่าทางโหดเหี้ยมสุดๆ

จากนั้นภายในเวลาสิบวินาที เธอหวดหมัดตวัดขา ยกเท้าแจกศอก จัดการพวกนักเลงที่เหลือจนล้มลงไปนอนได้อย่างรวดเร็วโดยที่แทบไม่ได้หายใจ

เร็วถึงขนาดที่ทุกคนไม่มีใครตั้งรับทัน ผู้คนโดยรอบต่างตะลึงงัน

เนี่ยเฉาตะลึงตาค้าง “...” โอ้โห

ฟู่อวิ๋นเซินค่อยๆ ยืนตรง ดวงตาดอกท้อเชิดขึ้นทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา