webnovel

ครุฑาจอมราชันย์

ครุฑาจอมราชันย์เป็นนวนิยายแนวกำลังภายในแฟนตาซีอิงประวัติศาสตร์ไทยในช่วง พ.ศ.2470 คาบเกี่ยวไปถึงห้วงเวลาของสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเนื้อเรื่องจะเล่าถึงตัวเอกที่มีชื่อว่าธีรพล ชายชาวไทยเชื้อสายจีนผู้ได้รับอัตลักษณ์พลังสถิตรูปพญาครุฑนามว่าสุบรรณมาตั้งแต่กำเนิด ในวัยเด็กนั้นเขาได้ถูกไล่ล่าโดยกลุ่มองค์กรลึกลับซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็คือ พรรคภูติราชันย์ ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นพรรคผู้ร่วมก่อตั้งของภาคีซันเหอหรือที่ชาวไทยรู้จักกันในนามว่าอั้งยี่ที่ดำรงอยู่คู่กับสังคมไทยมากว่าหนึ่งร้อยสิบแปดปี แต่ด้วยความคิดจะตั้งตนเป็นเจ้าในแผ่นดินสยามจึงได้ถูกพรรคบัวมารมรกต หรืออีกหนึ่งพรรคก่อตั้งตลบหลังให้ความร่วมมืออย่างลับๆกับทางการ จนเป็นผลให้พรรคภูติราชันย์ถูกกวาดล้างไปจากแผ่นดินสยามในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 แต่ในเวลาต่อมา แม้ทางภาคีซันเหอจะคาดคิดว่าพรรคภูติราชันย์ได้หายสาบสูญไปสิ้นแล้วก็ตาม แต่เมฆผู้เป็นบิดาของธีรพลก็ได้ไปค้นพบหลักฐานของการดำรงอยู่ของพรรคภูติราชันย์เข้า จนส่งผลให้ทั้งตัวเขารวมไปถึงลี่ผู้เป็นภรรยาและธีรพลในวัยสี่ขวบถูกติดตามฆ่า จนในที่สุดเมฆและลี่ก็ถูกหนึ่งในขุนพลของอีกฝ่ายสังหารลง แต่สำหรับธีรพลที่ได้รับความช่วยเหลือจากทองใบเกลอคนสนิทของเมฆไว้นั้นก็สามารถหลบหนีมาใช้ชีวิตอย่างสงบได้ที่เวียงพิงค์ อีกกว่าสิบห้าปีถัดมา ธีรพลในวัยฉกรรจ์ที่ได้รับการฝึกฝนมวยไทยอย่างหนักจากทองใบก็ต้องพบกับเรื่องราวที่ทำให้เขาได้รู้จักกับพลังงานชีวิต พลังงานธาตุ และอัตลักษณ์พลัง จนนำไปสู่การค้นพบสุบรรณในที่สุดซึ่งก็ทำให้เขาได้พัฒนาฝีมือขึ้นตามลำดับขั้น ด้วยโชคชะตาที่ทำให้ชีวิตเขาต้องเข้าไปผัวพันกับภาคีซันเหอ องค์กรใต้ดินที่มีอิทธิพลสูงสุดในสยามประเทศ ธีรพลก็จึงได้เข้าไปอยู่ท่ามกลางการแข่งขันทางการค้าที่ผิดกฎหมาย และต้องต่อสู้กรุยทางเพื่อสร้างพรรคของตนให้มีอิทธิพลอำนาจสูงขึ้นในภาคีและตามล่าหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์การสังหารครอบครัวของเขา ในขณะเดียวกันเขาก็ได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับชะตากรรมของชีวิตผู้คนในพิภพสหัสดาราที่ซึ่งเป็นโลกคู่ขนานต่างมิติกับโลกมนุษย์ ที่ความโกลาหลได้บังเกิดขึ้นทั่วทุกแห่งหนอันสืบเนื่องมาจากพระราชาองค์ปัจจุบันได้สิ้นพระชนม์ลง จึงทำให้บรรดาเผ่ามนุษย์ที่เคยสมัครสมานสามัคคีกันได้แปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นแสวงหาอำนาจต้องการตั้งตนเป็นใหญ่ และที่สำคัญที่สุดเผ่าพันธุ์อสูรที่เคยถูกสยบอยู่กว่าสองพันปีก็ได้โอกาสอันดีเริ่มเคลื่อนไหวรุกรานอาณาจักรต่างๆอีกครึ่ง แต่ด้วยความช่วยเหลือจากผู้ที่ยังจงรักภักดีต่อราชวงศ์ทิตยะ ก็ทำให้ธีรพลได้พบกับแม่ทัพใหญ่อัศวเมธ ซึ่งในเวลาต่อมาก็ได้อ้อนวอนขอให้เขาช่วยเหลือตามหาองค์ชายราวินทร์ที่หายสาบสูญไปจากพิภพสหัสดารา ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วหลังจากธีรพลออกค้นหาอยู่ภายในโลกมนุษย์ได้สักระยะหนึ่งก็ได้พบกับองค์ชายราวินทร์และช่วยกันกำจัดพรรคภูติล้างวิญญาณซึ่งมีตัวการใหญ่ก็คือจอมเวทย์บุศัยยะ ผู้ที่แฝงตัวเข้ามายังโลกมนุษย์เพื่อเก็บเกี่ยวพลังงานธาตุจากอัตลักษณ์พลัง และที่สำคัญก็คือจอมเวทย์ผู้นี้เองเป็นผู้ที่สั่งการฆ่าครอบครัวของเขา เมื่อไม่มีจอมเวทย์บุศัยยะคอยบงการ พรรคภูติราชันย์จากที่จะสามารถล้มล้างภาคีซันเหอซึ่งเป็นศัตรูสำคัญลงได้และกำลังจะดำเนินแผนการยึดครองสยามประเทศ ก็ได้ถูกธีรพลซึ่งในขณะนั้นได้ขึ้นเป็นผู้นำภาคีพลิกสถานการณ์เข้าจัดการจนสามารถล้มจอมราชันย์ของพรรคลงได้ และทำลายแผนการอันชั่วร้ายของพรรคภูติราชันย์ทั้งหมด จากนั้นธีรพลก็ได้กลับไปยังพิภพสหัสดาราเพื่อช่วยเหลือองค์ชายราวินทร์ รวบรวมคนจากเผ่ามนุษย์ เผ่าปักษา เผ่านาคาและเผ่าสัตว์เทพเข้าต่อกรกับเผ่าอสูรที่จอมเวทย์บุศัยยะบงการอยู่ เพื่อขัดขวางการปลุกชีพจอมมารรามสูรที่เคยอาละวาดเมื่อราวสองพันปีก่อนลง ซึ่งด้วยพันธมิตรที่แข็งแกร่งและความเก่งกาจของธีรพลที่มีอัตลักษณ์พลังสถิตอยู่ด้วยกันถึงห้าตน ก็ทำให้เขาสามารถสังหารจอมเวทย์บุศัยยะผู้เป็นตัวการพรากชีวิตของบิดามารดาเขาลงได้และสามารถช่วยเหลือพิภพสหัสดาราไว้ได้ในที่สุด

Thanakorn_Pinchai · ファンタジー
レビュー数が足りません
23 Chs

ตอนที่ 8 : หมัดเพลิง

ธีรพลที่ไม่หยุดยั้งรั้งรอ พลันกู่ร้องคำรามปลดปล่อยความโกรธแค้นในกาย ร่างปรี่เข้าหาไอ้ใหญ่คู่มือที่ก็เกร็งกำลังเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้วเช่นกัน

ผลจากการประมือครั้งที่แล้ว ทำให้ไอ้ใหญ่ทราบว่าชั้นเชิงหลอกล่อใดๆก็ล้วนหมดสิ้นความหมาย เมื่อใช้ออกกับชายผู้มีสายตาแหลมคมที่อยู่เบื้องหน้านี้ มันจึงล้มเลิกความคิดใช้เชิงมวยเงี้ยวเข้าต่อกร หมายวัดกำลังว่ากำปั้นผูใดแข็งกว่าผู้นั้นอยู่รอด หมัดขวาอันทื่อด้านจึงพลันถูกปลดปล่อยออกด้วยความเร็วที่น่าตระหนก

เมื่อไอ้ใหญ่เลือกดังนั้นก็กลับสมใจธีรพลยิ่งที่กำลังต้องการระบายโทสะ เพราะทันทีที่หมัดข้างดังกล่าวเข้ามาในระยะ ธีรพลก็พลันย่อตัวลงเล็กน้อยเท้าซ้ายก้าวเข้าหาตามเคล็ดแม่ไม้ "ขุนยักษ์จับลิง" แต่ครั้งนี้เพียงใช้แขนซ้ายป้องใบหน้าเกร็งกำลังปล่อยให้หมัดข้างนั้นเบี่ยงเบนผ่านไป

เปรี้ยง!

ธีรพลกัดฟันกรอดรับพลังหมัดที่เบี่ยงเบนไม่พ้นเข้าที่ใบหน้า พลางง้างกำปั้นที่รู้สึกร้อนผ่าวดั่งถูกไฟลวกไหม้ บิดเอวส่งกำลังปล่อยหมัดขวาทะลุกระแทกเข้าทรวงอกอีกฝ่าย

แต่ทันทีที่กระทบถูก ไอร้อนย่อมหนึ่งก็พลันดีดสะท้อนตีกลับ จนทำให้ธีรพลต้องผงะหน้าเบี่ยงหนีไป

พรึ่บ!

เปลวไฟสีแดงแตกกระจายออกอย่างบาดตาราวปาฏิหาริย์ พลังทำลายล้างลูกย่อมๆกระแทกอกเสื้อของไอ้ใหญ่จนมอดไหม้ไปแถบหนึ่ง พร้อมกับร่างของอันธพาลประจำถิ่นปลิวกระเด็นไปไกลเกือบสี่วา สภาพทุลักทุเลล้มคว่ำคะมำหงายจนแน่นิ่งไป

ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป ถึงขนาดที่ตัวของธีรพลเองก็ยังงงงันไม่คาดคิดว่าท่าหมัดที่ใช้ออกไปเมื่อครู่นี้ตนจะเป็นผู้กระทำ จิตในตอนนั้นเพียงคิดแต่ว่าจะปล่อยกำปั้นง้างหมัดแห่งโทสะระเบิดใส่ไอ้ใหญ่เท่านั้น แต่ก็ไม่คาดคิดเลยว่าผลที่ออกมาจะระบือลือลั่นปานนี้

เพียงชั่วพริบตาหลังจากที่ปล่อยหมัดออก ธีรพลเห็นถนัดชัดตาว่ามีเปลวไฟสีแดงแลบลามออกมาจากจุดกระทบ เขาไม่ทราบจริงๆว่าแรงดันที่แฝงไปกับกำปั้นนี้หนักหนาปานใด ในใจก็นึกภาวนาแต่เพียงว่า อย่าให้อีกฝ่ายเป็นหนักถึงขั้นไปเข้าเฝ้ายมบาล

"ฟู่ว!"

ธีรพลถอนลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นไอ้ใหญ่ที่นอนแน่นิ่งอยู่ยังมีห้วงลมหายใจที่สม่ำเสมอ และจะมีก็เพียงแต่แผงหน้าอกที่แดงเห่อกับรอยไหม้เล็กน้อยไม่กี่จุดที่ดูน่ากังวล

"ไอ้สิงห์ เอ็งเป็นอย่างไรบ้าง เดินไหวหรือไม่?"

ทันทีที่จัดการไอ้ใหญ่เสร็จสิ้น ธีรพลก็รีบพุ่งตัวเข้าหาร่างของสิงห์แก้พันธนาการให้อีกฝ่าย ก่อนจะประคองให้เกลอรักลุกยืนขึ้น

"พอไหว" สิงห์พยักหน้าสั้นๆเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

เนื่องจากอยู่ในถิ่นของศัตรู ธีรพลจึงไม่นิ่งนอนใจ จัดแจงประคองหิ้วปีกเพื่อเป็นการหนุนเสริมให้สิงห์เคลื่อนที่เร็วขึ้น ร่างทั้งสองจึงค่อยๆเคลื่อนออกนอกโกดังไป

"นั่น!"

เสียงของลิ่วล้อที่มีหน้าที่ดูต้นทางเมื่อเห็นธีรพลและสิงห์เข้า ก็พากันวิ่งกรูเข้าหาหมายยับยั้งตามคำสั่งของลูกพี่

แม้ลิ่วล้อสามสี่คนนี้จะจัดการได้ไม่อยากเย็นนักเมื่อเทียบกับกลุ่มข้างในที่พบพานมาก็ตาม แต่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาวุ่นวายที่จะตามมา ธีรพลจึงตัดสินใจหลีกเลี่ยงการปะทะ วิ่งอ้อมต้นก้ามปูทะลุไปยังรั้วทางด้านหลัง และรีบพลิกตัวข้ามตกลงบนเกวียนตามที่คาดการณ์ไว้อย่างพอเหมาะพอเจาะ

"ไอ้คำ ไอ้ฆ้อง ไป!"

เมื่อได้รับคำสั่งจากนายอันเป็นที่รัก วัวคู่ใจทั้งสองก็ตะกุยขาหน้ากู่ร้อง นำเกวียนแล่นตัดเข้าอีกซอยจนหายลับตาหลบหนี่ลิ่วล้อเหล่านั้นออกไปได้ในที่สุด

"ไอ้ธี เลือด!" สิงห์เอ่ยร้องทักขึ้น ในขณะที่ธีรพลกำลังบังคับเกวียนเสาะหาสถานที่ลับตาแวะพัก

เมื่อได้ยินดังนั้นธีรพลจึงรีบยกมือขึ้นปาดเช็ดเลือดที่ไหลซึมออกจากแผลแตกที่หางคิ้วซ้าย ใจกลับนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์อัศจรรย์ที่เกิดขึ้น ถ้าในสถานการณ์เมื่อครู่ไม่มีกำปั้นเพลิงเข้าช่วยเหลือ ป่านนี้แผลแตกที่หางคิ้วซ้ายคงต้องฉกรรจ์กว่านี้เป็นแน่ และปัญหาที่น่าคบคิดยิ่งไปกว่าก็คือ สิ่งที่เขาปลดปล่อยผ่านกำปั้นออกมานั้นมันคืออะไร? เหตุใดจึงทำให้สามารถปลดปล่อยออกมาได้?

"มันเป็นอะไรกันแน่?"

ธีรพลที่คิ้วขมวดบ่นพึมพำอยู่กับตัวเองราวกับคนเสียสติ เพราะยิ่งขบคิดหาคำตอบมากเท่าใด จิตใจก็ยิ่งสับสนงงงวยมากขึ้นเท่านั้น

"เอ็งเป็นอะไรหรือไม่?" สิงห์เอ่ยทักปลุกให้ธีรพลตื่นจากภวังค์แห่งความคิด

"ไม่มีอะไร" ธีรพลตอบกลับสั้นๆ ก่อนจะนำเกวียนจอดข้างสันทรายแห่งหนึ่งที่ริมแม่น้ำ

ในขณะที่สิงห์เอนตัวลงนอนริมหาดทอดถอนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ธีรพลก็พลันเอ่ยถามขึ้น "ไอ้สิงห์ เอ็งคิดได้หรือยังว่าจะทำอย่างไรต่อไป? เอ็งก็รู้ ว่ายังไม่หมดภัย หากยังติดหนี้สินอยู่เช่นนี้"

"ข้ารู้ ตอนนี้ทางเลือกคงจะเหลือแต่เพียงหลบหนีไปเท่านั้น" สิงห์ถอนลมหายใจอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้เป็นคนละอารมณ์กับครั้งแรกอย่างชัดเจน

ทั้งสองนิ่งเงียบจมอยู่ในความนึกคิด ท่ามกลางกระแสลมที่โชยพัดเอื่อย และทิวทัศน์ริมฝั่งน้ำใต้อาทิตย์อัสดงที่งดงามดั่งเทพรังสรรค์ บรรยากาศช่างรื่นรมย์ตัดกับชายทั้งสองที่นั่งขมวดคิ้วค้นหาวิถีทางออกที่ดีพร้อมสำหรับปัญหาในครานี้

"ไอ้สิงห์ เอ็งหาเรือโกลน[1]สักลำให้ข้าได้หรือไม่?" จู่ๆธีรพลที่นึกอะไรขึ้นได้ก็พลันเอ่ยถามรบกวนความเงียบสงบเงียบขึ้น

"ย่อมหาได้ แต่เอ็งจะนำไปใช้ทำอะไร?" สิงห์ตอบรับอย่างงงัน เนื่องด้วยจับต้นชนปลายไม่ถูกจึงได้ไถ่ถามกลับไปไป

"แล้วเอ็งรู้จักบ้านพักของเฮียจวงใช่หรือไม่?" ธีรพลที่เพิกเฉยต่อคำถามของเกลอ พลันเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งอย่างมีเลศนัย

"ย่อมรู้ ไอ้ธี เอ็งคิดจะทำอะไรกันแน่ ข้างงไปหมดแล้ว" สิงห์ที่เริ่มจะหงุดหงิดในความอมพะนำของอีกฝ่าย จึงได้เอ่ยกล่าวตอบอย่างรำคาญใจ

"ในเมื่ออีกฝ่ายไร้ปราณี เราก็พาลหมดไมตรีเสียก็สิ้นเรื่อง" ธีรพลพึมพำ

แต่ก่อนที่สิงห์จะอารมณ์เสียไปมากกว่านี้ ธีรพลก็พลันกระโดดกอดคอเกลอรักบอกเล่าแผนการที่เขาคิดขึ้น ก่อนจะเอ่ยปากกล่าว

"คืนนี้ เราจะไปเยี่ยมเฮียจวงกัน"

ท่ามกลางเสียงส่ำสัตว์น้อยใหญ่ร่ำร้องดังระงม เรือโกลนลำน้อยไหลเอื่อยตามล่องน้ำ เคลื่อนผ่านเกาะแก่งน้อยใหญ่จนไหลเข้าสู่ร่องน้ำลึกแห่งหนึ่ง

เวลานี้รอบทิศมืดสนิทเป็นแผ่นผืน ประกอบกับเป็นคืนเดือนมืด บรรยากาศจึงดูอ้างว้างวังเวงเป็นพิเศษ จะมีก็เพียงแต่ตะเกียงเจ้าพายุดวงน้อยสองดวง หนึ่งหน้าหนึ่งหลังที่คอยส่องสว่างให้เห็นเค้ารางของคนที่โดยสารอยู่บนเรืออย่างรำไร

"หยุดเรือก่อน!"

ชายที่นั่งอยู่หน้าลำเรือส่งสัญญาณให้ผู้ที่เป็นฝีผายอยู่เบื้องหลังชะลอความเร็วของเรือโดยสารลง

พร้อมๆกับเรือที่จอดจนนิ่งสนิท ชายผู้ที่อยู่ด้านหน้าก็พลันเคลื่อนตัวมายังกลางลำเรือ มือดึงผ้าผืนหนึ่งออกจนเผยให้เห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ถูกเอาผ้ายัดปากไว้

"เอาละ เฮียจวง ถึงเวลาเจรจาแล้ว"

แน่นอนว่าผู้ที่อยู่ในตำแหน่งหน้าลำเรือนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน นอกเสียจากธีรพลพยัคฆ์หนุ่มผู้คิดแผนการลักพาตัวในครั้งนี้นั่นเอง

ย้อนกลับไปราวๆสองชั่วโมงก่อนหน้านี้ ธีรพลและสิงห์หลังจากนัดแนะแผนการกันแล้วเสร็จ ก็พากันเดินทางไปยังบ้านพักของเฮียจวงที่อยู่ในชุมชนย่านสันป่าข่อยในทันที

เนื่องจากย่านนี้ผู้คนค่อนข้างชุกชุมการสัญจรก็ขวักไขว่ ทั้งสองจึงต้องนั่งคอยซุ่มอยู่รอจนถึงราวๆสี่ทุ่ม จึงได้ฤกษ์ออกปฏิบัติการณ์

สิงห์ทำทีเป็นเดินอย่างเปิดเผย เคาะประตูแสร้งแจ้งอีกฝ่ายว่าจะนำเงินมาชำระหนี้สิน ด้านเฮียจวงเมื่อได้ยินดังนั้นก็พลันนึกคิดไปเองว่าวิธีข่มขู่สำเร็จผล จึงได้ต้อนรับขับสู้อีกฝ่ายเป็นอย่างดี

ด้านธีรพล ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยเจรจากันอยู่ ก็รีบเคลื่อนไหวแฝงกายเข้าไปในบ้านพักอย่างเงียบเชียบ และเนื่องด้วยเฮียจวงไม่มีครอบครัว อีกทั้งลูกน้องก็เลิกงานกลับบ้านไปจนหมดแล้วสิ้น การลอบเร้นเข้าไปภายในจึงสะดวกดายยิ่ง

และเมื่อได้จังหวะเหมาะเจาะ หลังจากตรวจอย่างละเอียดดีแล้วว่าภายในบ้านไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่อีก ธีรพลก็ให้สัญญาณสิงห์เข้ารวบตัวเฮียจวง จับมัดมือมัดเท้าไพล่หลังพันธนาการไว้แน่น อีกทั้งยังเอาเศษผ้าอุดปากป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายส่งเสียง ก่อนจะนำผ้ามาปิดคลุมอำพรางร่างแล้วลำเลียงขึ้นเกวียนมาลงลำเรือตามแผน

"อื้อ อื้อ อื้อ"

เสียงเฮียจวงที่ฟังดูไม่เป็นภาษาพลันเอ่ยระรัวขึ้น พร้อมกับร่างที่ดิ้นพล่านอย่างสุดแรงหมายให้หลุดพ้นจากพันธนาการ จนทำให้เรือลำน้อยส่ายโคลงเคลงไปมาอย่างรุนแรง

"หากเก่งกล้านักก็ดิ้นให้สุดแรง เผื่อลำเรือคว่ำลงแล้ว จะได้ไม่ต้องเปลืองแรงข้า" สิงห์เอ่ยเสียงเข้มข่มขู่อีกฝ่าย

ด้านเฮียจวงก็เหมือนกำลังคิดขึ้นได้ว่าตนอยู่บนลำเรือ อีกทั้งยังถูกจับหมัดเอามือไขว้หลังไว้ หากเรือเกิดคว่ำขึ้นมา ผู้ที่เคราะห์ร้ายคงหนีไม่พ้นตัวเขาเอง ต้องจมน้ำตายเป็นผีพรายน้ำเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดกาล

เมื่อเฮียจวงเริ่มสงบลง ธีรพลจึงตัดสินใจดึงเศษผ้าที่อุดปากอีกฝ่ายไว้ออก ก่อนจะเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อน "ข้าไม่ได้มีความตั้งใจจะทำให้เฮียจวงบาดเจ็บแต่อย่างใด หากพูดตกลงกันได้แต่โดยดี ข้าก็จะนำตัวเฮียจวงกลับบ้านอย่างปลอดภัย"

"หากจะตกลงกันแต่โดยดี แล้วเหตุใดจึงไม่ปลดปล่อยเชือกที่มัดมือมัดเท้าข้าออกเสียก่อน" เฮียจวงเอ่ยถามตั้งแง่อย่างชาญฉลาด

"นั่นก็ต้องป้องกันไว้ก่อน เกิดเฮียจวงไม่ยอมเจรจา คิดหลบหนีขึ้นมา พวกเราไยไม่เสียทีที่จับตัวมา" ธีรพลที่ก็มีไหวพริบปฏิภาณดีเยี่ยม จึงได้เอ่ยตอบกลับไปอย่างเฉลียวฉลาดไม่แพ้กัน

"แล้วมีเรื่องใดจะตกลง?" เฮียจวงที่ตอนนี้อารมณ์โกรธลดลงมากแล้ว พลันเอ่ยถามขึ้น

"จะเรื่องอะไรเสียอีก ก็เรื่องหนี้สินของไอ้สิงห์มันนั่นแหละ ข้ารู้ว่ามีหนี้ก็ต้องชดใช้ แต่พอจะเป็นไปได้หรือไม่? ที่จะไม่คิดดอกเบี้ยมัน และยอมให้มันผ่อนจ่ายเป็นรายเดือน" ธีรพลเอ่ยกล่าววาจาอย่างมีเหตุมีผล ขอไกล่เกลี่ยให้เกลอได้รับประโยชน์สูงสุด

"หากจะให้ผ่อนจ่าย...ย่อมได้ แต่เรื่องไม่คิดดอกเบี้ยนั้นทำไม่ได้"

เมื่อเห็นท่าทีของธีรพลที่ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม เฮียจวงที่เป็นพ่อค้าในสายเลือดเมื่อรู้สึกว่าตนจะเสียเปรียบก็จึงลืมตัวลืมตนแสดงธาตุแท้ออกมา แม้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ ตนจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ก็ตาม

"ข้าบอกเอ็งแล้ว อย่างไรเสียมันก็ไม่ยอมตกลง ปล่อยให้มันจมน้ำตายเสียที่นี่จะดีกว่า ไหนๆมันก็รู้ว่าข้าเป็นคนทำอยู่แล้ว ย่ำแย่สุดก็แค่หลบหนีจากไป" สิงห์ที่นั่งฟังทั้งสองพูดคุยเจรจากันอยู่นาน เมื่อเห็นว่าการต่อรองไม่เป็นผล จึงได้เอ่ยแทรกขึ้นอย่างรำคาญ ร่างพลันลุกขึ้นเดินปรี่เข้าหา จับเฮียจวงเหวี่ยงโยนลงน้ำไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

หลังจากทุรนทุรายผุดๆจมๆอยู่ครู่หนึ่ง ธีรพลก็พลันเอื้อมมือลงไปช้อนจับประคองคว้าร่างเฮียจวงเอาขึ้นมาพักไว้ที่ข้างกราบเรือชั่วคราว ก่อนจะหันไปกล่าวถกเถียงกับสิงห์เป็นการใหญ่

"ข้าก็บอกเอ็งแล้วว่าอย่างไรเสียข้าก็ไม่สามารถหาเงินนำมาคืนในเวลาอันสั้นได้ เอ็งจะให้ข้าทำอย่างไร" สิงห์ที่ออกไม้ออกมือเอ่ยถกเถียงธีรพล พยายามจะให้เกลอยอมรับเหตุผลปล่อยให้เฮียจวงจมน้ำตายไป

"ด้วยเหตุแค่นี้ ถึงกับต้องฆ่าแกงกันเลยหรือ" ธีรพลที่ก็เริ่มมีอารมณ์ จึงพาลเอ่ยอย่างมีน้ำโหว่ากล่าวออกไป

"เฮียจวงไม่มีทางอื่นแล้วหรือ?" ธีรพลหลังจากเอ่ยกล่าวกับสิงห์แล้ว ก็รีบหันมาไถ่ถามราวกับวิงวอนให้อีกฝ่ายรีบหาหนทางรอดให้กับตัวเอง

"ทำงานให้..."

เฮียจวงที่ยังไม่ทันได้เอ่ยครบถ้วนข้อความดี ก็พลันสำลักน้ำออกมาจนทำให้ธีรพลต้องถามซ้ำอีกครั้ง

"ทำงานให้ข้าสามงาน เสร็จแล้วถือว่าหายกัน"

เมื่อได้ยินประโยคนี้ธีรพลที่ยืนคุมเชิงอยู่ก็พลันแสยะยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย

"หนึ่ง"

สิงห์ที่กำลังรู้ว่าตนเป็นฝ่ายมีเปรียบ จึงพยายามต่อรองบีบคั้นบังคับให้อีกฝ่ายยอมรับ ให้สาสมกับที่เป็นต้นเหตุให้เขาต้องประสบเรื่องราวร้ายๆในหลายวันที่ผ่านมา

"สอง"

แม้ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่เฮียจวงก็ยังไม่วายพยายามต่อรองให้ตนเสียเปรียบน้อยที่สุด

"หนึ่ง"

สิงห์เอ่ยเสียงเข้ม พร้อมกับแสดงท่าทีปรี่เข้าหาราวกับจะจับเฮียจวงโยนออกนอกเรืออีกครั้ง ซึ่งนั้นก็ทำให้เฮียจวงที่เข็ดขยาดกับความทรมานจากการจมน้ำรีบเอ่ยปากทัดทาน แล้วจึงตอบตกลงรับข้อเสนอในทันใด

ท่ามกลางหนึ่งปลอบหนึ่งขู่ ธีรพลและสิงห์ที่เล่นละครตบตาออกมาได้อย่างแนบเนียน สามารถประสานเสริมกันอย่างลงตัว จนทำให้การเจรจาเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ ถือได้ว่าประสบความสำเร็จในขั้นแรกอย่างงดงาม

"ข้าเชื่อใจเฮียจวงได้ใช่หรือไม่?" ธีรพลเอ่ยขึ้นอีกครั้งในขณะที่ดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามาในลำเรือ พร้อมกับคลายเชือกปลดปล่อยพันธนาการออก

"เรื่องราวอันใด?" เฮียจวงตีหน้าซื่อถามกลับ

"หลังจากนี้หากเฮียจวงไม่รักษาสัจจะ พวกเราเมื่อสามารถจับตัวมาได้ครั้งหนึ่งแล้วย่อมสามารถกระทำได้อีกครั้งหนึ่ง แต่ในครั้งหน้านั้นคงไม่จำเป็นต้องบอกว่าจับมาเพื่อทำสิ่งใด" ธีรพลที่อยู่ดีๆก็แปรเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ กล่าววาจาข่มขู่กระซิบที่ข้างหูเสียงเข้ม จนทำเอาในตอนท้ายเฮียจวงถึงกับขนลุกซู่ด้วยความหวาดกลัว รีบพยักหน้าตอบรับอย่างเงียบงันไม่กล่าววาจาใดอีก

"เอาละ ถึงเวลาพาเฮียจวงกลับบ้านแล้ว" ธีรพลเอ่ย

คำอธิบาย

[1] เรือโกลน คือ เรือโดยสารทั่วไป สามารถพบได้มากในแถบพื้นที่ที่นิยมเดินทางทางน้ำ