webnovel

ครุฑาจอมราชันย์

ครุฑาจอมราชันย์เป็นนวนิยายแนวกำลังภายในแฟนตาซีอิงประวัติศาสตร์ไทยในช่วง พ.ศ.2470 คาบเกี่ยวไปถึงห้วงเวลาของสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเนื้อเรื่องจะเล่าถึงตัวเอกที่มีชื่อว่าธีรพล ชายชาวไทยเชื้อสายจีนผู้ได้รับอัตลักษณ์พลังสถิตรูปพญาครุฑนามว่าสุบรรณมาตั้งแต่กำเนิด ในวัยเด็กนั้นเขาได้ถูกไล่ล่าโดยกลุ่มองค์กรลึกลับซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็คือ พรรคภูติราชันย์ ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นพรรคผู้ร่วมก่อตั้งของภาคีซันเหอหรือที่ชาวไทยรู้จักกันในนามว่าอั้งยี่ที่ดำรงอยู่คู่กับสังคมไทยมากว่าหนึ่งร้อยสิบแปดปี แต่ด้วยความคิดจะตั้งตนเป็นเจ้าในแผ่นดินสยามจึงได้ถูกพรรคบัวมารมรกต หรืออีกหนึ่งพรรคก่อตั้งตลบหลังให้ความร่วมมืออย่างลับๆกับทางการ จนเป็นผลให้พรรคภูติราชันย์ถูกกวาดล้างไปจากแผ่นดินสยามในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 แต่ในเวลาต่อมา แม้ทางภาคีซันเหอจะคาดคิดว่าพรรคภูติราชันย์ได้หายสาบสูญไปสิ้นแล้วก็ตาม แต่เมฆผู้เป็นบิดาของธีรพลก็ได้ไปค้นพบหลักฐานของการดำรงอยู่ของพรรคภูติราชันย์เข้า จนส่งผลให้ทั้งตัวเขารวมไปถึงลี่ผู้เป็นภรรยาและธีรพลในวัยสี่ขวบถูกติดตามฆ่า จนในที่สุดเมฆและลี่ก็ถูกหนึ่งในขุนพลของอีกฝ่ายสังหารลง แต่สำหรับธีรพลที่ได้รับความช่วยเหลือจากทองใบเกลอคนสนิทของเมฆไว้นั้นก็สามารถหลบหนีมาใช้ชีวิตอย่างสงบได้ที่เวียงพิงค์ อีกกว่าสิบห้าปีถัดมา ธีรพลในวัยฉกรรจ์ที่ได้รับการฝึกฝนมวยไทยอย่างหนักจากทองใบก็ต้องพบกับเรื่องราวที่ทำให้เขาได้รู้จักกับพลังงานชีวิต พลังงานธาตุ และอัตลักษณ์พลัง จนนำไปสู่การค้นพบสุบรรณในที่สุดซึ่งก็ทำให้เขาได้พัฒนาฝีมือขึ้นตามลำดับขั้น ด้วยโชคชะตาที่ทำให้ชีวิตเขาต้องเข้าไปผัวพันกับภาคีซันเหอ องค์กรใต้ดินที่มีอิทธิพลสูงสุดในสยามประเทศ ธีรพลก็จึงได้เข้าไปอยู่ท่ามกลางการแข่งขันทางการค้าที่ผิดกฎหมาย และต้องต่อสู้กรุยทางเพื่อสร้างพรรคของตนให้มีอิทธิพลอำนาจสูงขึ้นในภาคีและตามล่าหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์การสังหารครอบครัวของเขา ในขณะเดียวกันเขาก็ได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับชะตากรรมของชีวิตผู้คนในพิภพสหัสดาราที่ซึ่งเป็นโลกคู่ขนานต่างมิติกับโลกมนุษย์ ที่ความโกลาหลได้บังเกิดขึ้นทั่วทุกแห่งหนอันสืบเนื่องมาจากพระราชาองค์ปัจจุบันได้สิ้นพระชนม์ลง จึงทำให้บรรดาเผ่ามนุษย์ที่เคยสมัครสมานสามัคคีกันได้แปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นแสวงหาอำนาจต้องการตั้งตนเป็นใหญ่ และที่สำคัญที่สุดเผ่าพันธุ์อสูรที่เคยถูกสยบอยู่กว่าสองพันปีก็ได้โอกาสอันดีเริ่มเคลื่อนไหวรุกรานอาณาจักรต่างๆอีกครึ่ง แต่ด้วยความช่วยเหลือจากผู้ที่ยังจงรักภักดีต่อราชวงศ์ทิตยะ ก็ทำให้ธีรพลได้พบกับแม่ทัพใหญ่อัศวเมธ ซึ่งในเวลาต่อมาก็ได้อ้อนวอนขอให้เขาช่วยเหลือตามหาองค์ชายราวินทร์ที่หายสาบสูญไปจากพิภพสหัสดารา ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วหลังจากธีรพลออกค้นหาอยู่ภายในโลกมนุษย์ได้สักระยะหนึ่งก็ได้พบกับองค์ชายราวินทร์และช่วยกันกำจัดพรรคภูติล้างวิญญาณซึ่งมีตัวการใหญ่ก็คือจอมเวทย์บุศัยยะ ผู้ที่แฝงตัวเข้ามายังโลกมนุษย์เพื่อเก็บเกี่ยวพลังงานธาตุจากอัตลักษณ์พลัง และที่สำคัญก็คือจอมเวทย์ผู้นี้เองเป็นผู้ที่สั่งการฆ่าครอบครัวของเขา เมื่อไม่มีจอมเวทย์บุศัยยะคอยบงการ พรรคภูติราชันย์จากที่จะสามารถล้มล้างภาคีซันเหอซึ่งเป็นศัตรูสำคัญลงได้และกำลังจะดำเนินแผนการยึดครองสยามประเทศ ก็ได้ถูกธีรพลซึ่งในขณะนั้นได้ขึ้นเป็นผู้นำภาคีพลิกสถานการณ์เข้าจัดการจนสามารถล้มจอมราชันย์ของพรรคลงได้ และทำลายแผนการอันชั่วร้ายของพรรคภูติราชันย์ทั้งหมด จากนั้นธีรพลก็ได้กลับไปยังพิภพสหัสดาราเพื่อช่วยเหลือองค์ชายราวินทร์ รวบรวมคนจากเผ่ามนุษย์ เผ่าปักษา เผ่านาคาและเผ่าสัตว์เทพเข้าต่อกรกับเผ่าอสูรที่จอมเวทย์บุศัยยะบงการอยู่ เพื่อขัดขวางการปลุกชีพจอมมารรามสูรที่เคยอาละวาดเมื่อราวสองพันปีก่อนลง ซึ่งด้วยพันธมิตรที่แข็งแกร่งและความเก่งกาจของธีรพลที่มีอัตลักษณ์พลังสถิตอยู่ด้วยกันถึงห้าตน ก็ทำให้เขาสามารถสังหารจอมเวทย์บุศัยยะผู้เป็นตัวการพรากชีวิตของบิดามารดาเขาลงได้และสามารถช่วยเหลือพิภพสหัสดาราไว้ได้ในที่สุด

Thanakorn_Pinchai · ファンタジー
レビュー数が足りません
23 Chs

ตอนที่ 22 : ทะลายหยก

ท่ามกลางบรรยากาศที่ชวนให้ตื่นตะลึง ผู้ชมทั้งสนามหลังจากเงียบเสียงด้วยความตกใจไปครู่หนึ่ง ก็พลันระเบิดเสียงโห่ร้องอย่างกึกก้องขึ้นอีกครั้ง

"ตั้งแต่เกิดจากท้องพ่อท้องแม่มายังไม่เคยเห็นผู้ใด ปลดปล่อยไฟได้เช่นนี้มาก่อน" ผู้ชมคนหนึ่งรำพึงขึ้น

"แล้วไอ้หนุ่มจากเวียงพิงค์นั่นจะสู้ได้อย่างไร" ผู้ชมอีกฝั่งที่ดูเหมือนจะพนันฝั่งธีรพลไว้จึงเอ่ยขึ้นด้วยความกังวล

"ไอ้ธี เอ็งมีท่าไม้ตายใดเก็บไว้ ก็รีบเอาออกมาใช้ได้แล้ว" สิงห์ที่ก็ดูกังวลใจอยู่ไม่น้อย เมื่อเห็นท่าว่าเกลอรักจะตกเป็นรอง จึงได้รีบป้องปากตะโกนร้องเตือน

เหลียนยังคงบุกกระหน่ำจู่โจมอย่างบ้าคลั่งอยู่พักใหญ่ ซึ่งธีรพลที่รับรู้พิษสงของเพลิงสีส้มเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงตั้งใจถอยห่างหลีกหนีจากอาวุธพิฆาตของอีกฝ่ายไปเท่านั้น

แต่หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง ผลของการจู่โจมไม่รู้จักหยุดจักหย่อนของเหลียนก็เริ่มแสดงผล เพราะดูเหมือนการจู่โจมด้วยเปลวเพลิงนั่นจะผลาญพลังงานชีวิตและพลังงานธาตุไปไม่น้อย เหลียนที่ร่างเปียกโชกไปด้วยเหงื่อในที่สุดก็ตกอยู่ในสภาวะพลังงานขาดห้วงท่าร่างเชื่องช้าลงวูบหนึ่ง

เมื่อเห็นว่ามีจังหวะโอกาสให้ฉกฉวย ธีรพลแม้ในขณะนี้เส้นลมปราณในขาทั้งสองข้างจะเจ็บปวดเกินทานทนเพราะรับพลังงานธาตุอันเข้มข้นต่อเนื่องนานจนเกินไป แต่เขาก็ยังกัดฟันทนฝืนความเจ็บปวดบังคับหยิบยืมใช้พลังงานธาตุลมอีกครา

เขาก้าวเท้าซ้ายเฉียงหลบจากหมัดเพลิงอันเกรี้ยวกราดของเหลียนอย่างรวดเร็ว ลมหมุนลูกย่อมๆพลันปรากฏขึ้นบนแข้งซ้าย พลิกส่งให้ร่างของเขาหมุนเกลียว เพิ่มแรงที่ปลายเท้าขวาให้กวาดจากล่างขึ้นบนวกอ้อมเป็นเส้นโค้งกลับหลังส่งฟาดเข้าที่ก้านคอของเหลียน

"จระเข้ฟาดหาง"

ท่าไม้ตายสุดท้ายที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากทองใบถูกปลดปล่อยด้วยความรวดเร็วปานฟ้าแลบ

เปรี้ยง!

พลังลมอันแหลมคมจากธีรพลกระแทกเข้ากับกำแพงเพลิงของเหลียนที่สามารถยกขึ้นปกป้องร่างกายท่อนบนไว้ได้อย่างทันการณ์

ตูม!

ราวกับเติมเชื้อไฟในกองอัคคี ทันทีที่พลังลมอันแกร่งกร้าวปะทะเข้ากับเพลิงสีส้มแล้ว ห้วงอากาศก็พลันบิดเบี้ยวโย้เย้ก่อนแตกระเบิดกำจายออก ส่งเปลวไฟสีส้มให้แลบลามออกไปไกลถึงกว่าสามวา พื้นเวทีบางส่วนก็เกิดรอยไหม้ลากยาวเสียหายไปแถบหนึ่ง

ไอความร้อนอันน่าสยดสยองพลันแผ่รังสีออกเป็นระลอกคลื่นจากจุดศูนย์กลาง ซึ่งแม้จะอยู่ห่างไปถึงอัฒจันทร์แต่ผู้ชมที่นั่งบนแถวหน้าสุดก็ยังรู้สึกได้ถึงคลื่นความร้อนอันน่าตระหนกนี้

ท่ามกลางเสียงอื้ออึงของผู้ชมทั้งสนาม ร่างของธีรพลและเหลียนก็ปรากฏขึ้นแก่สายตาฝูงชนอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งทางด้านของธีรพลนอกจากรอยไหม้เล็กน้อยบนเสื้อผ้าแล้ว ภายนอกก็ดูปราศจากอาการบาดเจ็บใดๆให้เห็น ผิดกับเหลียนที่เสื้อผ้าบางส่วนกลับขาดวิ่น เนื้อตัวมอมแมมหน้าตาหม่นหมองจนผิดวิสัย

"ไม่ไหวแล้ว ขยับขาไม่ได้เลย!"

ธีรพลยื่นมือยึดกุมหัวเข่าทั้งสองข้างไว้พยายามบังคับขาของเขาไม่ให้สั่นเทา พลางข่มกลั้นความเจ็บปวดที่แล่นผ่านครึ่งท่อนล่างของตน

แม้ภายนอกจะดูปกติดี แต่หลังจากฝืนใช้พลังงานธาตุอันเข้มข้นที่ปกติเส้นลมปราณของมนุษย์ยากจะทนทานรับได้ติดต่อกัน ในที่สุดร่างกายของธีรพลก็เดินมาถึงขีดจำกัด ไม่อาจใช้พลังธาตุกับขาทั้งสองได้อีก

และสถานการณ์ก็ดูจะเลวร้ายลงไป เมื่อเหลียนจู่ๆก็ตั้งท่ายกแขนประกบมือทั้งสองขึ้น ไอร้อนอันหนาหนักพร้อมสะเก็ดไฟจำนวนมากพลันแผ่พุ่งออกจากฝ่ามือทั้งสองอย่างทะลักทลาย

ดวงไฟสีส้มสองลูกค่อยๆประสานตัว ก่อนที่จะดูดกลืนหลอมรวมเข้าหากันจนกลายเป็นลูกไฟสีส้มปนเหลืองดวงหนึ่งที่ปลดปล่อยพลังงานความร้อนอันน่าสยดสยองออกมา

"เคล็ดวิชาทะลายหยก ไอ้หนุ่มนี่มันเป็นผู้ใดกัน! เหตุใดจึงใช้วิชาของพรรคบัวมารมรกตได้" ฉานผู้นำพรรคม้าเหล็กฉุกคิดขึ้นในใจทันทีที่เห็นเหลียนใช้เคล็ดวิชานี้ขึ้น

"ไม่ได้การ หากปล่อยให้ใช้ออกได้ มีหวังคนดูได้โดนลูกหลง เวทีได้พังทลายย่อยยับเป็นแน่" ฉานนึกขึ้นพลางเกร็งกำลังจนไอเย็นพลันแผ่ซ่านออกจากร่าง เตรียมพร้อมกระโดดลงเวทีเข้าสกัดยังยั้งท่าพิฆาตของเหลียนในบัดดล

ด้านธีรพลเมื่อรู้ว่าตัวเองตกเป็นเป้านิ่งได้แต่รอรับการโจมตีของอีกฝ่าย แต่กระนั้นสภาพจิตใจก็ยังคงกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ไม่ยอมจำนนต่อเหตุการณ์โดยง่าย จิตจึงสื่อสารไปยังสุบรรณร้องขอหยิบยืมพลังงานธาตุจากพญาครุฑอีกครั้ง

"เจ้าแน่ใจแล้วหรือ? ถ้าใช้ธาตุไฟครั้งนี้ไป ทั้งแขนและขาของเจ้าจะเจ็บปวดจนขยับไม่ได้ไปอีกพักใหญ่เชียวนะ" สุบรรณถามย้ำ

"สู้มาถึงขั้นนี้แล้ว จะให้มายอมแพ้ทั้งๆที่ยังพอมีทางสู้ได้อยู่อย่างนั้นหรือ ให้ข้าลองเสี่ยงดวงดูสักคราเถิด หลังจากนี้ถ้าอีกฝ่ายยังไม่ล้มลง ข้าจะเอ่ยขอยอมแพ้เอง" ธีรพลแสดงสีหน้าอันเด็ดเดี่ยวกัดฟันฝืนทนความเจ็บปวดพลางเอ่ยขึ้น

"เจ้านี่มันรั้นจริงๆ เอาเถิดจากนี้ถ้าต้องนอนเป็นผักปลาก็อย่ามาโทษว่าเราก็แล้วกัน" สุบรรณเอ่ย

"เอ๊ะ!"

ท่ามกลางบรรยากาศอันตึงเครียดก่อนการห้ำหั่นขั้นตัดสินกำลังจะอุบัติขึ้น จู่ๆเหลียนจากที่ตั้งหน้าตั้งตาจะปลดปล่อยระเบิดลูกย่อมๆเข้าปะทะกับธีรพลก็พลันสลายพลังหยุดชะงักท่าร่างลงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

"ท่านหัวหน้าพรรค ข้าได้รับบาดเจ็บบอบช้ำภายในไม่อาจสู้ได้สืบไป ดังนั้น ข้าขอยอมแพ้ถอนตัวออกจากการแข่งขัน" เหลียนหันมาโค้งคำนับเอ่ยกล่าวกับฉานอย่างนอบน้อม

"ยังสู้ไม่จบเลย ยอมแพ้ได้อย่างไร" เสียงผู้ชมคนหนึ่งเอ่ยแทรกขึ้น

"เอ็งจะล้มมวยอย่างนั้นหรือ" เสียงตะโกนที่ดังมาจากฝูงชนอีกกลุ่มหนึ่งพลันดังขึ้น ซึ่งนั่นก็เป็นเหมือนการจุดชนวนประเด็นอันร้อนแรงขึ้น

หลังจากหันไปพูดคุยปรึกษากับกรรมการผู้ควบคุมงานประลองอยู่ครู่หนึ่ง ฉานก็พลันลุกขึ้นยืนชูมือห้ามปรามเสียงดังเซ็งแซ่วิพากษ์วิจารณ์ของฝูงชมไว้ ก่อนเอ่ยประกาศด้วยเสียงอันดังขึ้น "ทุกท่านโปรดอยู่ในความสงบ เรื่องนี้ต้องได้รับการตรวจสอบให้กระจ่างเสียก่อน"

แต่ก่อนที่กรรมการผู้ที่มีหน้าที่จะลงไปตรวจสอบร่างกาย เหลียนก็ชิงยกมือขึ้นห้ามปรามไว้ และยืนยันที่จะให้ความร่วมมือตรวจสอบร่างกายโดยฉานหัวหน้าพรรคม้าเหล็กแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ซึ่งนั้นก็ทำให้ฉานไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากยินยอมปฏิบัติตาม แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไว้วางใจอีกฝ่าย ตรงกันข้ามกลับเพิ่มมาตรการป้องกัน ระดมชายฉกรรจ์กำชับอาวุธเป็นจำนวนมากเข้ารุมล้อมเวทีไว้เป็นชั้นๆ ซึ่งหากเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงใดขึ้น แม้เหลียนจะมีปีกโบยบินก็ยากที่จะรอดพ้นจากชะตากรรมถูกคร่ากุมไปได้

เมื่อวางแผนมาตรการความปลอดภัยแล้วเสร็จ ฉานก็พลันเกร็งกำลังกล้ามเนื้อปูดโปนกระโดดจากอัฒจันทร์ข้ามผืนน้ำกว่าสองวาทิ้งตัวลงบนเวทีอย่างมั่นคง

เขาก้าวย่างตรงเข้าหาเหลียนอย่างผ่าเผย ยื่นมือเข้าจับชีพจรตรวจสอบอาการดูอย่างละเอียด ซึ่งในระหว่างนั้นทั้งสองก็ได้พูดคุยสนทนากันอย่างลับๆ แต่กระนั้นก็ยังไม่พ้นการผนึกพลังชีวิตรับฟังจากธีรพลที่อยู่ใกล้เหตุการณ์ที่สุดไปได้

"ท่านหัวหน้าพรรค ข้าต้องขออภัยที่ต้องหยุดการประลองเอาไว้กลางคันเช่นนี้" เหลียนเอ่ยขึ้น

"เจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บ!" ทันทีที่ฉานส่งพลังชีวิตของตนเข้าตรวจสอบสภาพในกายของเหลียนดูก็ทราบว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บ จึงรีบโคจรพลังชีวิตป้องกันจุดสำคัญบนร่าง

"ช้าก่อน ข้าไม่ได้ต้องการทำร้ายท่าน ข้าคือประมุขน้อยพรรคบัวมารมรกตแห่งหอบูรพา" เหลียนกล่าวพร้อมดึงหยกประดับทองชิ้นหนึ่งออกจากอกเสื้อ แสดงให้ฉานดูแต่เพียงผู้เดียว

"คุณชาย เราขออภัย" เมื่อได้เห็นตราหยกซึ่งเปรียบเสมือนหลักฐานยืนยันที่หนักแน่นที่สุด ฉานก็ทำท่าจะคุกเข่าลงทำความเคารพในทันใด แต่อาการดังกล่าวก็ต้องชะงักค้างไว้เพราะถูกเหลียนดึงรั้งทัดทาน

"ข้าไม่ได้มาปฏิบัติงานตามคำสั่งของท่านปู่ ข้ามาด้วยเรื่องส่วนตัว ต้องการที่จะเข้ามาสืบข่าวตามหาคนผู้หนึ่งเท่านั้น" เหลียนเอ่ยต่อ

"เหตุใดคุณชายจึงไม่เข้ามาขอความช่วยเหลือจากเราโดยตรง?" ฉานเอ่ยถามอย่างพินอบพิเทา

"เหตุการณ์ค่อนข้างยุ่งเหยิงติดพัน จึงจำใจต้องเข้ามาในลักษณะนี้ แต่ตอนนี้ข้าเหมือนจะเห็นคนที่ตามหาแล้ว จึงใคร่ขอปลีกตัวจากไป" แม้จะมีศักดิ์ฐานะที่ใหญ่โตกว่า แต่ในขณะที่กล่าวขอร้องเหลียนก็ยังเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงนอบน้อมไม่แสดงอำนาจบาตรใหญ่

"คุณชายเกรงใจเราเกินไปแล้ว ด้วยเรื่องเพียงเท่านี้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด" ฉานยิ้มประจบ

"ต้องขออภัยอีกครา ที่ทำให้กิจการวุ่นวาย" เหลียนก้มหัวคำนับ

"ไม่มีเรื่องใดให้ต้องกังวล ที่แท้เหตุการณ์เป็นแบบนี้ เราต่างหากที่ต้องขอบใจคุณชาย แล้วคุณชายจะรั้งอยู่ต่อหรือไม่? ถ้าเป็นเช่นนั้นเราจะได้จัดสถานที่ที่ดีที่สุดให้ หรือหากต้องการจะให้เรากระทำสิ่งใด? ก็บอกเรามาได้เลยไม่ต้องเกรงใจ" ฉานที่เหมือนต้องการที่จะประจบเอาใจเหลียนเป็นที่สุด จึงรีบตบอกขันอาสาสร้างบุญคุณเผื่อว่าในอนาคต หากเหลียนได้ขึ้นเป็นประมุขจะได้ส่งเสริมพรรคของเขาให้เจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งกว่านี้

"ไม่เป็นไร ข้าจะรีบไปในบัดดล แจ้งผลออกไปก็พอ" เนื่องจากกลัวว่าจะคลาดกับคนที่ตามหาอีกครา เหลียนจึงรีบตัดบทเร่งให้ฉานประกาศคำตัดสินออกไปแต่โดยไว

หลังจากที่ฉานประกาศผลว่าเหลียนไม่สามารถสู้ต่อไปได้ แม้จะจำใจรับคำตัดสินของทางพรรคก็ตาม แต่ก็มีฝูงชนจำนวนไม่น้อยที่แสดงอาการไม่พอใจ พยายามลุกขึ้นประท้วงขอเงินที่พนันไปคืน ซึ่งก็ทำให้ทางพรรคต้องเร่งเข้าเจรจาควบคุมสถานการณ์ และในช่วงจังหวะชุลมุนนี้เอง เหลียนก็ได้เร้นตัวหลบออกจากสถานที่ไปอย่างไร้ร่องรอย

"ไอ้ธี เรารวยแล้ว" สิงห์ที่ขณะนี้ประพฤติตัวเหมือนคนบ้า มัวแต่ร้องรำทำเพลงเต้นแร้งเต้นกาโดยไม่สนใจว่าธีรพลกำลังพยายามประคองตัวเดินออกจากสนามไปอย่างยากลำบาก

"เอ็งสติหลุดหรือไร? เอ็งมีเวลาไปเอาเงินมาจากที่ใดกัน?" ธีรพลถามขึ้นด้วยหน้าตาที่เหยเกเพราะความเจ็บปวด

"ก็เงินพนันอย่างไรเล่า ข้าได้เท่าใดกันนะ ยี่สิบ สามสิบ สี่สิบ" สิงห์ที่แทบจะพูดจาไม่เป็นภาษาเพราะความตื่นเต้น เอ่ยระรัวขึ้นจนธีรพลต้องทักให้เกลอรักใจเย็นลง และค่อยๆเล่าเหตุการณ์มา

"จริงๆสองรอบแรกข้าก็ไม่กล้าพนันหรอก แต่พอเห็นเอ็งผ่านเข้ารอบตัดเชือกได้ ข้าก็เลยพนันข้างเอ็งไป รวมถึงรอบชิงด้วย" สิงห์เริ่มเล่า

"แล้วรอบตัดเชือกเอ็งได้มาเท่าใด?" ธีรพลถามขึ้น

"อัตราต่อรองเอ็งแทงหนึ่งจ่ายหนึ่ง ข้าแทงไปทั้งหมดห้าบาท ได้กลับคืนมาเป็นสิบบาท" สิงห์ทำท่าครุ่นคิด

"ห้าบาท! นี่อย่าบอกนะว่าเอ็งเอาเงินที่ข้าให้เอ็งไว้ติดตัวมาพนัน" ทันที่ที่นึกเชื่อมโยงขึ้นได้ ธีรพลก็หันมาชี้หน้าสิงห์เพื่อคาดคั้นหาความจริง

"ใช่" สิงห์ยิ้มแห้งหน้าเจื่อนตอบรับ

"เอ็งนี่มัน" โดยความโมโหที่สิงห์ไม่รู้จักคิดหน้าคิดหลังให้รอบคอบนำเงินไปเล่นพนัน ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่มีเงินเก็บสำรองไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ธีรพลจึงคิดจะง้างเท้าเตะสั่งสอนเกลอรักสักหนึ่งเท้า แต่ก็ติดตรงที่ขาทั้งสองยังไม่ทุเลาหายดี จึงทำได้แค่ชี้หน้าต่อว่าไปเท่านั้น

"ใจเย็นๆก่อนไอ้ธี เรื่องมันผ่านไปแล้ว และตอนนี้ข้าก็ได้เงินก้อนมาถึงห้าสิบบาทเชียว เอ็งต้องดีใจกับข้าถึงจะถูก" สิงห์ยิ้มประจบพลางนับนิ้วเอ่ยเงินที่ได้จากการพนันอย่างตื่นเต้น

"นี่ข้าตกเป็นรองถึงสี่ต่อเชียวหรือ?" ธีรพลหยุดเดินและหันมาถามสิงห์ด้วยหน้าตาขึงขังจริงจัง

"ใช่ และที่สำคัญก็คือคนกว่าแปดเก้าส่วนพนันเข้าข้างคุณชายหน้าขาวนั่นทั้งสิ้น" สิงห์เอ่ยตอบ

"นั่นก็จริงอยู่ หากฝั่งตรงข้ามไม่เลิกล้มความคิดต่อสู้ อย่างไรท้ายที่สุดข้าก็อาจจะต้องแพ้อยู่ดี" ธีรพลทำหน้าห่อเหี่ยวส่งเสียงแผ่วกล่าวขึ้น

"เอ็งก็อย่าเศร้าไปเลย แม้คุณชายนั่นจะเก่งกาจ แต่เอ็งก็ยังสู้อีกฝ่ายได้อย่างสูสี ใครจะรู้ว่าหากพบกันครั้งหน้า เอ็งอาจจะเป็นต่อก็ได้" สิงห์ตบไหล่ธีรพลเอ่ยกล่าวปลอบใจอยู่พักใหญ่จนทั้งสองขึ้นรถม้าออกจากสนามพรรคม้าเหล็กกลับเข้าตัวเมืองเขลางค์นครไป