webnovel

ครุฑาจอมราชันย์

ครุฑาจอมราชันย์เป็นนวนิยายแนวกำลังภายในแฟนตาซีอิงประวัติศาสตร์ไทยในช่วง พ.ศ.2470 คาบเกี่ยวไปถึงห้วงเวลาของสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเนื้อเรื่องจะเล่าถึงตัวเอกที่มีชื่อว่าธีรพล ชายชาวไทยเชื้อสายจีนผู้ได้รับอัตลักษณ์พลังสถิตรูปพญาครุฑนามว่าสุบรรณมาตั้งแต่กำเนิด ในวัยเด็กนั้นเขาได้ถูกไล่ล่าโดยกลุ่มองค์กรลึกลับซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็คือ พรรคภูติราชันย์ ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นพรรคผู้ร่วมก่อตั้งของภาคีซันเหอหรือที่ชาวไทยรู้จักกันในนามว่าอั้งยี่ที่ดำรงอยู่คู่กับสังคมไทยมากว่าหนึ่งร้อยสิบแปดปี แต่ด้วยความคิดจะตั้งตนเป็นเจ้าในแผ่นดินสยามจึงได้ถูกพรรคบัวมารมรกต หรืออีกหนึ่งพรรคก่อตั้งตลบหลังให้ความร่วมมืออย่างลับๆกับทางการ จนเป็นผลให้พรรคภูติราชันย์ถูกกวาดล้างไปจากแผ่นดินสยามในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 แต่ในเวลาต่อมา แม้ทางภาคีซันเหอจะคาดคิดว่าพรรคภูติราชันย์ได้หายสาบสูญไปสิ้นแล้วก็ตาม แต่เมฆผู้เป็นบิดาของธีรพลก็ได้ไปค้นพบหลักฐานของการดำรงอยู่ของพรรคภูติราชันย์เข้า จนส่งผลให้ทั้งตัวเขารวมไปถึงลี่ผู้เป็นภรรยาและธีรพลในวัยสี่ขวบถูกติดตามฆ่า จนในที่สุดเมฆและลี่ก็ถูกหนึ่งในขุนพลของอีกฝ่ายสังหารลง แต่สำหรับธีรพลที่ได้รับความช่วยเหลือจากทองใบเกลอคนสนิทของเมฆไว้นั้นก็สามารถหลบหนีมาใช้ชีวิตอย่างสงบได้ที่เวียงพิงค์ อีกกว่าสิบห้าปีถัดมา ธีรพลในวัยฉกรรจ์ที่ได้รับการฝึกฝนมวยไทยอย่างหนักจากทองใบก็ต้องพบกับเรื่องราวที่ทำให้เขาได้รู้จักกับพลังงานชีวิต พลังงานธาตุ และอัตลักษณ์พลัง จนนำไปสู่การค้นพบสุบรรณในที่สุดซึ่งก็ทำให้เขาได้พัฒนาฝีมือขึ้นตามลำดับขั้น ด้วยโชคชะตาที่ทำให้ชีวิตเขาต้องเข้าไปผัวพันกับภาคีซันเหอ องค์กรใต้ดินที่มีอิทธิพลสูงสุดในสยามประเทศ ธีรพลก็จึงได้เข้าไปอยู่ท่ามกลางการแข่งขันทางการค้าที่ผิดกฎหมาย และต้องต่อสู้กรุยทางเพื่อสร้างพรรคของตนให้มีอิทธิพลอำนาจสูงขึ้นในภาคีและตามล่าหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์การสังหารครอบครัวของเขา ในขณะเดียวกันเขาก็ได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับชะตากรรมของชีวิตผู้คนในพิภพสหัสดาราที่ซึ่งเป็นโลกคู่ขนานต่างมิติกับโลกมนุษย์ ที่ความโกลาหลได้บังเกิดขึ้นทั่วทุกแห่งหนอันสืบเนื่องมาจากพระราชาองค์ปัจจุบันได้สิ้นพระชนม์ลง จึงทำให้บรรดาเผ่ามนุษย์ที่เคยสมัครสมานสามัคคีกันได้แปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นแสวงหาอำนาจต้องการตั้งตนเป็นใหญ่ และที่สำคัญที่สุดเผ่าพันธุ์อสูรที่เคยถูกสยบอยู่กว่าสองพันปีก็ได้โอกาสอันดีเริ่มเคลื่อนไหวรุกรานอาณาจักรต่างๆอีกครึ่ง แต่ด้วยความช่วยเหลือจากผู้ที่ยังจงรักภักดีต่อราชวงศ์ทิตยะ ก็ทำให้ธีรพลได้พบกับแม่ทัพใหญ่อัศวเมธ ซึ่งในเวลาต่อมาก็ได้อ้อนวอนขอให้เขาช่วยเหลือตามหาองค์ชายราวินทร์ที่หายสาบสูญไปจากพิภพสหัสดารา ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วหลังจากธีรพลออกค้นหาอยู่ภายในโลกมนุษย์ได้สักระยะหนึ่งก็ได้พบกับองค์ชายราวินทร์และช่วยกันกำจัดพรรคภูติล้างวิญญาณซึ่งมีตัวการใหญ่ก็คือจอมเวทย์บุศัยยะ ผู้ที่แฝงตัวเข้ามายังโลกมนุษย์เพื่อเก็บเกี่ยวพลังงานธาตุจากอัตลักษณ์พลัง และที่สำคัญก็คือจอมเวทย์ผู้นี้เองเป็นผู้ที่สั่งการฆ่าครอบครัวของเขา เมื่อไม่มีจอมเวทย์บุศัยยะคอยบงการ พรรคภูติราชันย์จากที่จะสามารถล้มล้างภาคีซันเหอซึ่งเป็นศัตรูสำคัญลงได้และกำลังจะดำเนินแผนการยึดครองสยามประเทศ ก็ได้ถูกธีรพลซึ่งในขณะนั้นได้ขึ้นเป็นผู้นำภาคีพลิกสถานการณ์เข้าจัดการจนสามารถล้มจอมราชันย์ของพรรคลงได้ และทำลายแผนการอันชั่วร้ายของพรรคภูติราชันย์ทั้งหมด จากนั้นธีรพลก็ได้กลับไปยังพิภพสหัสดาราเพื่อช่วยเหลือองค์ชายราวินทร์ รวบรวมคนจากเผ่ามนุษย์ เผ่าปักษา เผ่านาคาและเผ่าสัตว์เทพเข้าต่อกรกับเผ่าอสูรที่จอมเวทย์บุศัยยะบงการอยู่ เพื่อขัดขวางการปลุกชีพจอมมารรามสูรที่เคยอาละวาดเมื่อราวสองพันปีก่อนลง ซึ่งด้วยพันธมิตรที่แข็งแกร่งและความเก่งกาจของธีรพลที่มีอัตลักษณ์พลังสถิตอยู่ด้วยกันถึงห้าตน ก็ทำให้เขาสามารถสังหารจอมเวทย์บุศัยยะผู้เป็นตัวการพรากชีวิตของบิดามารดาเขาลงได้และสามารถช่วยเหลือพิภพสหัสดาราไว้ได้ในที่สุด

Thanakorn_Pinchai · ファンタジー
レビュー数が足りません
23 Chs

ตอนที่ 20 : พลังงานธาตุ

"แย่แล้ว!"

ก้านที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองหลงกล แม้จะชักช้าไปอยู่จังหวะหนึ่ง แต่ด้วยความว่องไวที่โดดเด่นเฉพาะตัว เขาจึงสามารถพลิกหันกลับมาเผชิญหน้ากับธีรพลได้แทบจะใกล้เคียงกับเวลาที่ธีรพลทิ้งตัวลงพื้นตั้งหลักมั่น

แต่เพียงชั่วพริบตาของช่องว่างจุดอ่อนที่เผยออก ธีรพลก็พลันปลดปล่อยกำปั้นขวาที่แฝงด้วยพลังอันแกร่งกร้าวรุนแรงขุมหนึ่งคุกคามเข้าที่ท้องน้อยของก้านอย่างรวดเร็ว

วืด!

เนื่องจากไม่สามารถตั้งท่ารับอาวุธของธีรพลได้ทันการณ์ ก้านจึงตัดสินใจหงายตัวก้นจ้ำเบ้าลง หลบกำปั้นของธีรพลอย่างทุลักทุเล แต่ผลก็ทำให้หมัดข้างนั้นเฉียดผ่านร่างของเขาไปอย่างหวุดหวิด หลบรอดหมัดพิฆาตที่สามารถทำให้ลำต้นกล้วยหักกลางลงได้

ทันทีที่เห็นก้านเริ่มมีเค้าลางความเพลี่ยงพล้ำ ธีรพลก็ไม่ปล่อยโอกาสทองให้หลุดลอยไป เขารีบตามติดร่างของก้านดุจเงาตามตัว กำปั้นซ้ายพลันถูกง้างและปลดปล่อยออกเล็งเข้าทรวงอกของก้านมาแต่ไกล

แต่ขณะอยู่ห่างจากก้านเพียงไม่เกินศอก หมัดข้างซ้ายอันดุร้ายนั้นจู่ๆก็พลันผลุบหายไปอย่างไร้ร่องลอย ปล่อยให้ก้านที่ลุกยืนทรงกายขึ้นอย่างยากลำบากนั้น ยกแขนทั้งสองขวางค้างกันไว้ที่หน้าอก

"หิรัญม้วนแผ่นดิน"

อาวุธประจำกายท่าใหม่ของธีรพลปรากฏขึ้นอีกครา ศอกขวาวกกลับหลังเป็นเส้นโค้งอย่างรวดเร็ว เหวี่ยงกระแทกเข้าใส่ท่อนแขนของก้านที่ยกขึ้นมาปิดบังใบหน้าข้างซ้ายไว้ได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด

เปรี้ยง!

แรงปะทะอันหนักหน่วงจากพลังอันแกร่งกร้าวกระแทกร่างของก้านให้ลอยกลับหลังไปจนเกือบตกขอบเวทีฝั่งหนึ่ง พร้อมกับเสียงร้องดังระงมด้วยความหวาดเสียวจากฝูงชนที่ยืนลุ้นผลการต่อสู้คู่นี้ด้วยจิตใจจดจ่อ

"ไอ้ก้าน ข้าจ้างเอ็งด้วยเงินไม่น้อย เอ็งจะมาแพ้แบบนี้ไม่ได้" ถึงคราที่เฮียสมบัตินั่งไม่ติด ร้อนใจรีบป้องปากตะโกนอย่างมีน้ำโหสั่งให้นักสู้ที่ตนพนันเข้าข้างกลับมาฮึดสู้แต่โดยไว

"ไอ้ธี รีบเผด็จศึกเร็ว!" เมื่อเห็นก้านใกล้จะตกขอบเวทีไป ทั้งสิงห์และเฮียจวงพร้อมด้วยลูกน้องทั้งหมดจึงแสดงท่าทางกวักแขนร้องตะโกนบอกให้ธีรพลรีบเข้าจัดการปิดบัญชีศัตรู

แม้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าในขณะนี้เป็นเวลาที่ธีรพลสามารถพลิกจังหวะกลับมามีโอกาสชนะอย่างงดงามได้แล้ว ซึ่งด้านธีรพลก็ไม่ปลดปล่อยให้ก้านได้มีโอกาสพลิกฟื้นคืนเช่นกัน

ธีรพลเร่งเร้าพลังชีวิตภายในกายถึงขีดสุด ร่างพลันเคลื่อนเป็นเส้นตรงอย่างรวดเร็ว ขยับลดช่องว่างกว่าหนึ่งวาในพริบตา แขนซ้ายถูกเหวี่ยงออกง้างกำปั้นเล็งเข้าที่ทรวงอกของก้านอีกครั้ง

เมื่อเห็นดังนั้นก้านก็ตัดสินใจที่จะสู้ตาย ใช้ความว่องไวรวมรั้งพลังชีวิตในกายทั้งหมดไปยังเท้าซ้าย หมายใช้อาวุธออกทีหลังบรรลุถึงก่อน แก้พลิกสถานการณ์จากร้ายกลายเป็นดี

"ขุนยักษ์จับลิง"

แทนที่ธีรพลจะเคลื่อนที่ต่อในลักษณะเดิม แต่ก็กลับเปลี่ยนจังหวะละทิ้งหมัดซ้าย สะอึกเข้าหาท่าเตะของก้านตามเคล็ดวิชา เกร็งพลังยกท่อนแขนขวาขึ้นรับท่าเตะอันรุนแรง ยับยั้งการตอบโต้เฮือกสุดท้ายของก้านไว้อย่างมั่นคง

ตามติดกันนั้น ธีรพลสะบัดแขนขวาที่ชาหนึบ ก้าวสืบเท้าซ้ายสั้นๆ ร่างย่อลงพร้อมกำหมัดประสานแขนทั้งสองข้างประกบติดกัน พลังชีวิตถูกรีดจากบ่อกำเนิดผลักส่งกำลังจากแกนกลางส่งกำปั้นคู่ชกเสยขึ้นไป

"หนุมานถวายแหวน"

กระบวนท่าที่สองจากสามท่าที่ธีรพลเรียนรู้จากลุงทองใบถูกปลดปล่อยออกใช้ในยามที่เหมาะเจาะเป็นที่สุด หมัดคู่เสยเข้าที่กรามของก้านอย่างถนัดถนี่ ส่งให้ร่างลอยลิ่วตกน้ำไปในที่สุด

"ไอ้ธี สุดยอด" สิงห์เฮลั่นสุดเสียง กระโดดตัวโยนท่ามกลางฝูงชนรอบข้างที่บ้างก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ บ้างก็กุมขมับด้วยความผิดหวัง มีอารมณ์ความรู้สึกที่ผสมปนเปกันไป

"เราได้ผู้ที่ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การแข่งขันรอบสุดท้ายจะมีขึ้นในอีกหนึ่งชั่วโมงจากนี้" กรรมการผู้ควบคุมงานประลองหลังจากสั่งให้พนักงานพรรคเข้าช่วยเหลือก้านที่ตกลงน้ำไปแล้ว เขาก็ก้าวเดินขึ้นสู่เวที ก่อนประกาศข้อความด้วยเสียงอันดังต่อผู้เข้าชมทั้งหมด

"เจ้าไปพักก่อนเถิด อีกประเดี๋ยวข้าจะให้คนไปตามเมื่อถึงเวลา" กรรมการคนดังกล่าวหันมากล่าวกับธีรพล ก่อนจะใช้สายตาส่งให้อีกฝ่ายเดินกลับไปยังกระโจมที่พักตน

"มวยท่าเสาร้ายกาจจริงๆ ลำพังหากไม่มีอุบายทำให้อีกฝ่ายชะล้าใจ การแข่งขันครั้งนี้คงจะยุ่งยากไม่น้อย" ธีรพลเอ่ยขึ้นขณะที่นั่งเหยียดแขนพักขาอยู่ภายในกระโจม

"วิชาหมัดมวยมีอานุภาพร้ายแรงไม่ต่างกัน พลังชีวิตก็ตั้งอยู่ในระดับเดียวกัน ความว่องไวก็กินกันไม่ขาด หากสู้กันอย่างไม่มีอุบาย การต่อสู้ครั้งนี้คงจะยืดเยื้อยาวนานไม่เบา สุดท้ายคงต้องวัดกันว่าผู้ใดพลังชีวิตหมดสิ้นก่อนคงต้องพ่ายแพ้ไป" สุบรรณวิเคราะห์

"โชคดีที่แผนตลบหลังสำเร็จได้ด้วยดี การต่อสู้ครั้งนี้เลยได้ชัย ที่สำคัญที่สุดคือสามารถปลดหนี้ให้กับไอ้สิงห์มันได้สำเร็จแล้ว ต่อไปคงไม่ต้องมาทนถูกข่มเหงรังแกอีก" ธีรพลเอ่ยขึ้นอย่างโล่งใจ เปลี่ยนท่าเป็นนอนเหยียดยาวด้วยความเกียจคร้าน

"เราดีใจด้วยที่เจ้าช่วยเกลอเจ้าไว้ได้ ว่าแต่ในรอบชิงชนะเลิศเล่าเจ้าวางแผนไว้เช่นไร?" สุบรรณเอ่ยถาม

"ตลอดชีวิตที่ผ่านมามีเพียงวิชาบู๊เท่านั้นที่ทำให้ข้าก้าวผ่านฝันร้ายในอดีตมาได้ ข้าอยากจะปกป้องทุกคนที่ข้ารักให้ได้ ดังนั้นการพัฒนาฝีมือจึงเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ข้าเก่งกาจขึ้น เพราะฉะนั้นคำตอบของข้าก็คือ ข้าจะพยายามสู้อย่างสุดกำลังเพื่อที่จะก้าวขึ้นสู่จุดที่สูงขึ้นในมรรคาวิชาบู๊" ธีรพลขมวดคิ้วเอ่ยตอบความรู้สึกที่ซ่อนเร้นในใจออกอย่างจริงจัง

"คู่ต่อสู้ของเจ้าในครั้งนี้นั้นต่างจากที่เคยผ่านมา หากไม่นับหญิงสาวชุดดำที่บังเอิญไปพบเจอเข้า คุณชายผู้นี้ฝีมือเฉพาะตัวเก่งกาจกว่าเจ้าหลายขั้นนัก การจะเอาชนะคงจะไม่ง่ายดาย" สุบรรณแยกแยะ

"คุณชายนั่นคงถึงขั้นใช้พลังงานธาตุได้แล้วใช่หรือไหม?" ธีรพลถามขึ้นด้วยความกังวลใจ เพราะหากว่าเขาต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่สามารถใช้พลังงานธาตุได้ ผลสุดท้ายแล้วคงเป็นตัวเขาเองที่เป็นผู้ถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว

"ยากที่จะคาดเดาขอบเขตสูงสุดที่สามารถกระทำได้ แต่จากการพิเคราะห์จับกระแสพลังเท่าที่ผ่านมา เราคาดว่าน่าจะไม่ผิดเพี้ยน เขาสามารถบังคับใช้พลังงานธาตุได้แล้ว อีกทั้งยังเป็นธาตุไฟเช่นเดียวกับตัวเจ้าและเราด้วย" สุบรรณเอ่ยตอบ

"แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี?" ธีรพลถามขึ้นด้วยความกลัดกลุ้มใจ

"หากอีกฝ่ายไม่ใช้พลังงานธาตุเข้าสู้ ก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าหากเลือกใช้ขึ้นมา เจ้าก็ไม่มีหนทางอื่นนอกจากหยิบยืมใช้พลังงานธาตุของเราเข้าต่อกร แต่จงจดจำไว้ ร่างกายของเจ้ามีขีดจำกัดไม่อาจรองรับพลังงานธาตุเข้มข้นมากไป ไม่เช่นนั้นเจ้าอาจจะบาดเจ็บทุกข์ทรมานแสนสาหัสเลยทีเดียว" สุบรรณกล่าวก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นเคร่งขรึมในตอนท้าย

"เจ็บใจจริงๆที่ยังฝึกไปยังขั้นสูงๆไม่ได้" ธีรพลลุกขึ้นนั่งเอ่ยขึ้นด้วยความเสียดาย เพราะหากเขาสามารถฝึกฝนฝีมือเฉพาะตัวจนสามารถอยู่ในระดับที่สูงขึ้นได้แล้ว คงไม่ต้องมานั่งคับข้องใจอยู่เช่นนี้

"ใจเย็นๆเถิด เจ้าเพียงรู้จักใช้พลังงานชีวิตมาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น จะให้เก่งกาจขึ้นทันตานั้นคงเป็นไปไม่ได้ และเท่าที่เจ้าทำมาก็เพียงพอกับการใช้คำว่า มีพรสวรรค์ ได้แล้ว อีกทั้งนี่ก็เป็นเพียงการประลองเท่านั้น ใช่ว่าจะตัดสินความเป็นความตายกัน" สุบรรณเอ่ยคลายความกังวลให้กับธีรพล

"ถึงอย่างนั้นก็เถอะ สำหรับความรู้สึกของการเป็นเบี้ยล่างนั้นมันชวนให้อึดอัดขับข้องใจเหลือเกิน ต่อจากนี้หากมีเวลาว่างเมื่อใด ข้าจะเร่งฝึกฝนนำพลังงานธาตุมาใช้ให้ได้" ธีรพลแสดงสีหน้าอันเด็ดเดี่ยวเอ่ยปฏิญาณขึ้นอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ

"คิดได้เช่นนั้นก็ดี หนทางในภายภาคหน้าคงจะขรุขระเสียมากกว่าราบเรียบ เมื่อเวลานั้นมาถึงเจ้าจะได้มีทุนรอนไว้ใช้ในยามขับขันจำเป็น" สุบรรณเอ่ยขึ้นด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ยกย่องในวิธีการคิดของอีกฝ่ายจากใจจริง

"มีสิ่งหนึ่งที่ข้ายังไม่กระจ่าง ข้าเพียงรู้จากลุงทองใบมาว่าในร่างกายมนุษย์ประกอบไปด้วยพลังงานสองประเภท คือพลังงานชีวิตและพลังงานธาตุ ซึ่งสำหรับพลังงานชีวิตนั้นข้าพอที่จะเข้าใจมาบ้างแล้ว แต่กับพลังงานธาตุนั้นข้ากลับไม่เข้าใจเลยสักนิด อีกทั้งยังไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยซ้ำว่ามีพลังงานนี้อยู่ภายในร่าง" ธีรพลขมวดคิ้วถามสิ่งที่เขาสงสัยมาได้สักพักหนึ่งแล้วต่อสุบรรณ

"ไม่แปลกที่เจ้าจะไม่สามารถสังเกตพบได้ เพราะพลังงานธาตุก็คือพลังงานที่ผูกติดกับจิตวิญญาณของเจ้ามาตั้งแต่กำเนิด และยังคงไหลเวียนอยู่ในกายเจ้าเสมอมา เพียงแต่มันเป็นเรื่องปกติเสียจนเจ้าไม่คาดคิดว่ามีอยู่เท่านั้น" สุบรรณเอ่ยตอบก่อนจะอธิบายต่อไป

"พลังงานธาตุสามารถแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่ม คือหนึ่งธาตุร้อนและหนึ่งธาตุเย็น ซึ่งในแต่ละกลุ่มจะมีธาตุย่อยรวมสี่สัณฐาน รวมทั้งสองกลุ่มเป็นแปดสัณฐาน ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไม้ พิษ สายฟ้า น้ำแข็ง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรืออัตลักษณ์พลังก็ล้วนแล้วแต่มีลิขิตฟ้าเท่านั้นเป็นผู้กำหนดให้ แต่ความแตกต่างระหว่างมนุษย์และอัตลักษณ์พลังนั้นอยู่ตรงที่ มนุษย์ไม่สามารถที่จะเพิ่มขีดจำกัดพลังงานธาตุในกายได้ แต่สำหรับอัตลักษณ์พลังนั้นสามารถที่จะดูดรับพลังงานธาตุจากภายนอกมาเพิ่มขีดจำกัดได้โดยไม่มีจุดสิ้นสุด" สุบรรณอธิบาย

"แล้วเมื่อมนุษย์ใช้พลังงานธาตุออกไปเล่า จะดูดซับกลับคืนได้จากที่ใด?" ธีรพลถามต่อด้วยความฉงน

"พลังงานธาตุไม่จำเป็นต้องดูดซับดั่งเช่นพลังงานชีวิต เมื่อใช้จนหมดสิ้นแล้วก็จะมีผลเพียงชั่วคราวเท่านั้น หากยังมีชีวิตอยู่พลังงานธาตุก็จะเพิ่มปริมาณขึ้นตามธรรมชาติอย่างรวดเร็ว แต่ทั้งนี้ก็จะเพิ่มขึ้นถึงเพียงจุดสมดุลเดิมที่ร่างกายพึงมีเท่านั้น ซึ่งสำหรับอัตลักษณ์พลังนั้นก็ไม่ได้แตกต่างกัน" สุบรรณเอ่ยตอบอธิบาย

"ถ้าเช่นนั้นในกายของมนุษย์หรือแม้กระทั่งอัตลักษณ์พลังก็มีพลังงานธาตุเพียงสัณฐานเดียวใช่หรือไม่?" ธีรพลเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง

"โดยปกติทั่วไป ใช่ ดั่งเช่นลุงทองใบของเจ้า และอัตลักษณ์พลังมหิงสานั่น แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อยกเว้น ผู้ที่มีพลังงานธาตุในกายมากกว่าหนึ่งสัณฐาน ก็เช่นเจ้ากับข้าอย่างไรเล่า"

"ข้าหรือ!" ธีรพลอุทานตกใจเสียงดังด้วยความตื่นเต้น ชี้นิ้วเข้าที่ตนเองถามไถ่ขึ้น

"ไม่ผิด" สุบรรณตอบกลับสั้นๆ