ตอนที่ 248 เริ่มภารกิจ
นางเซียนไป่ฮั่วโยนดาบกลับคืนให้กู่ฉิงซาน สีหน้าท่าทีของเธอกลับมาเป็นปกติดังเดิม
เธอเอ่ยต่อ “ข้าได้ไปกล่าวฝากฝังกับกงซุนซีเอาไว้แล้ว ว่าเมื่อครั้นที่เจ้าก้าวขึ้นสู่แก่นทองคำ ขอจงไปตามหาเขา แล้วเขาจะจัดวางค่ายกลปกปักต่างๆ ให้แก่เจ้า และคอยปกป้องเจ้าจนกระทั่งเสร็จสิ้นการยกระดับโดยสมบูรณ์เอง”
ในที่สุดเธอก็กล่าวออกมาว่า “เจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ได้ยินคำข้าหรือไม่?”
กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ
“ท่านอาจารย์ ท่านก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นกัน” เขากล่าว
“มิจำเป็นต้องกังวลไป การที่จะตกตายสำหรับข้ามันไม่ใช่เรื่องง่ายดายนักหรอก” นางเซียนไป่ฮั่วหัวเราะ
ทว่าแม้จะหัวเราะ แต่แววตาของเธอกลับเต็มไปด้วยความกังวลและสับสน
ตั้งแต่แรกเริ่มที่รู้จักกันจนกระทั่งเวลานี้ นี่นับว่าเป็นครั้งแรกเลยที่กู่ฉิงซานได้เห็นท่าทีเช่นนี้ของนางเซียนไป่ฮั่ว
หลังจากนั้นไม่นาน
กู่ฉิงซานก็เดินกลับไปยังเต็นท์ทหารของตัวเอง
และทันทีที่กำลังหย่อนก้นลงบนฟูก เขาก็ได้ยินเสียงฮือฮาดังขึ้นจากทั่วทั้งค่ายทหาร มันเป็นเสียงของผู้ฝึกยุทธนับไม่ถ้วนที่เอ่ยปากกล่าวออกมาโดยพร้อมเพรียง “ดูนั่น! นั่นเหล่านักปราชญ์ล่ะ!”
เขาจึงเร่งลุกออกไป และจ้องมองขึ้นไปยังเบื้องบน
บนท้องฟ้า สามปราชญ์กำลังบินไกลออกไป
ทิศทางของพวกเขาก็คือกระแสความว่างเปล่าที่อยู่เบื้องหลังธารเมฆามาร ทิศทางที่จะนำไปสู่โลกเทวะ
กู่ฉิงซานเห็นเพียงแค่แผ่นหลังของนางเซียนไป่ฮั่วที่ไกลออกไปเท่านั้น
ทางฝั่งสามปราชญ์ ทั้งหมดเหินอากาศอย่างรวดเร็ว และในที่สุด กระทั่งเงาเบื้องหลังของพวกเขาก็มิอาจมองเห็นได้อีกต่อไป
กู่ฉิงซานยังคงยืนอยู่อย่างเงียบๆ เป็นเวลานาน ก่อนจะหายกลับเข้าไปยังเต็นท์ทหารของเขา
ทันใดนั้นเอง หน้าต่างระบบเทพสงครามก็ค่อยๆ สว่างขึ้น
กระแสแสงเอ่อล้นออกมาจากหน้าต่างระบบเทพสงคราม และแปรเปลี่ยนเป็นตัวอักษรสีเลือดขนาดใหญ่
“ตรวจสอบว่าผู้เล่นได้ทำการกระตุ้นเนื้อเรื่องพิเศษ”
“สถานะปัจจุบันสอดคล้องกับเงื่อนไขที่ใช้เริ่มต้น”
“เริ่มต้นภารกิจแห่งโชคชะตา”
ในที่สุดภารกิจแห่งโชคชะตาก็ถูกปลดล็อกเสียที!
กู่ฉิงซานก้มลงมองอย่างรวดเร็ว
“ภารกิจแห่งโชคชะตา...การสู้รบขั้นแตกหักครึ่งหลัง”
“ทำลายพันธนาการแห่งโชคชะตา เปลี่ยนทิศทางของโลก ผู้เล่นกู่ฉิงซานเริ่มทำการเข้าสู่ภารกิจแห่งโชคชะตา”
“คำอธิบายภารกิจ...โลกฝึกยุทธจะทำการโจมตีโลกเทวะในเร็วๆ นี้ และแน่นอนว่าย่อมเกิดมหากาพย์สงครามอันดุเดือดขึ้น ทว่าภารกิจของเราจะ ‘ไม่เกี่ยวข้องกับการบั่นศีรษะอสูร สังหารมาร’ ”
“วัตถุประสงค์ภารกิจ...เพราะเหตุใดโลกเทวะจึงมิถูกเผ่ามารยึดครองโดยสมบูรณ์? เพราะเหตุใดเผ่ามนุษย์จึงค้นพบถึงการดำรงอยู่ของมัน? โปรดจงค้นหาถึงความจริงของโลกใบนี้”
“นี่เป็นภารกิจที่เสี่ยงอันตรายยิ่ง ในระหว่างการต่อสู้อันดุเดือด เพื่อให้แน่ใจว่าผู้เล่นจะไม่ตกตายเร็วจนเกินไป รางวัลภารกิจ (สมญาเทพสงคราม) จะถูกปลดให้ใช้งานก่อนล่วงหน้า”
“หากภารกิจล้มเหลว รางวัลจะถูกยึดคืน และผู้เล่นจะไม่สามารถอัปเลเวลได้เป็นระยะเวลาสามปี”
กู่ฉิงซานอ่านคำอธิบายภารกิจ ทั้งคนทั้งร่างก็ตกตะลึง
โลกเทวะยังมิได้ถูกยึดครองโดยเผ่ามารอย่างสมบูรณ์? สิ่งที่ท่านอาจารย์กล่าวเป็นจริงหรือนี่?
หากคำเหล่านี้เป็นความจริง และผู้คนที่อยู่ในจุดสูงสุดของกองกำลังมาได้ยินเข้า พวกเขาคงถึงขั้นหน้าเปลี่ยนสี
บางทีนี่มันอาจจะเป็นสาเหตุว่าทำไมกงซุนซีกับหนิงเยว่ฉานจึงสามารถค้นพบโลกเทวะได้ก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม เนื้อหาภารกิจร้องขอให้เขาดำเนินการค้นหาความจริงที่ว่านี้ในเชิงที่ลึกซึ้งลงไปอีก
กู่ฉิงซานรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกรายล้อมไปด้วยปริศนาอันลึกล้ำ และไม่อาจมองหาทิศทางที่สมควรจะริเริ่มก้าวเดินต่อไปได้
“แล้วฉันจะทำอย่างไรดีล่ะทีนี้…”
เขากำลังขบคิดอย่างเงียบๆ ทว่าใครจะรู้ จู่ๆ บนหน้าต่างระบบเทพสงครามกลับปรากฏเส้นแสงตัวอักษรขึ้นมาอีกสองบรรทัด
“นี่คือโลกใบใหม่ ระบบเทพสงครามจึงไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“โปรดเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม กระชับอาวุธในมือของท่านให้แน่น เพื่อน้อมรับอนาคตที่มิอาจจะสามารถตัดสินนี้ได้”
จากนั้น อีกหนึ่งกระแสแสงก็พรวดออกมาจากหน้าต่างระบบเทพสงคราม
กระแสแสงที่สอง!
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หัวข้อ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์เทพสงคราม’ พลันส่องสว่างขึ้น และวงแหวนใหญ่ที่บัดนี้เต็มไปด้วยเมฆหมอกแลคล้ายบอลแก้วที่หยุดนิ่งมานานก็พลันสาดรังสีแสงหลากชนิดออกมา
สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนเป็นดุดัน
มองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏตัวอักษรขนาดใหญ่หลายบรรทัดขึ้นมาอีกครั้ง
“เริ่มภารกิจสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์แก่นของคำอย่างเป็นทางการ”
“ผู้เล่นจะต้องบรรลุภารกิจให้ได้ภายในเจ็ดวัน ทว่ายิ่งเร็ว พลังศักดิ์สิทธิ์ที่สกัดได้ก็จะยิ่งทรงพลังมากขึ้นเป็นเงาตามตัว”
“คำเตือนที่หนึ่ง...เพื่อที่จะบรรลุภารกิจพลังศักดิ์สิทธิ์ ระบบเทพสงครามจะทำการช่วยเหลือคุณอย่างเต็มกำลัง ในการสำรวจโลกหรือดินแดนใหม่ที่ไม่รู้จักใบนี้”
“คำเตือนที่สอง...พลังพิเศษในบอลแก้ว จะเป็นผู้ช่วยที่ดีสำหรับคุณ”
‘นี่มันอะไรกัน? ระบบสามารถถูกปรับปรุงให้ทำอะไรแบบนี้ได้ด้วยอย่านั้นเหรอ?’
กู่ฉิงซานจมหายไปในความคิด
ภารกิจแห่งโชคชะตา ทุกคำกล่าวของมันดูเป็นทางการ แต่สำหรับภารกิจพลังศักดิ์สิทธิ์ ทุกคำกล่าวของมันกลับแลดูเหมือนเป็นผู้ดูแลส่วนตัวของเขา
ระบบเทพสงครามดูเหมือนว่าจะใช้ประโยชน์จากภารกิจพลังศักดิ์สิทธิ์เป็นทางอ้อมในการช่วยเหลือตัวเขาเอง
หรือว่าระบบจะตระหนักได้ถึงความผิดปกติบางอย่างเช่นกันใช่หรือไม่?
กู่ฉิงซานมองไปยังคำอธิบายของภารกิจพลังศักดิ์สิทธิ์
เวลานี้ ภารกิจพลังศักดิ์สิทธิ์ ดูเหมือนจะจะมิใช่เป็นแค่ภารกิจเดี่ยว แต่เป็นภารกิจที่ต่อเนื่อง
ตัวเขาเองจำเป็นต้องบรรลุภารกิจเหล่านั้นให้ได้ภายในเจ็ดวัน แต่ถ้าจะกล่าวอย่างถูกต้องสมควรจะบอกว่า ต้องเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ต่างหาก
นี่มันพอที่จะคาดเดาได้อย่างสิ้นเชิง ว่ายามที่ภารกิจต่อเนื่องอันแรกผ่านพ้นไป ภารกิจที่ตามมาย่อมยิ่งมีข้อเรียกร้องมากขึ้นและทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น!
ภายในเจ็ดวัน…
อีกความหมายหนึ่งก็คือ มันกำลังจะเริ่มต้นขึ้นนับจากนี้ไป
บอลแก้วนี้ เป็นเครื่องมือที่ใช้สะสมพลังพิเศษ
ภายในบอลแก้วเต็มไปด้วยหมอกสีจางๆ
เมื่อสายตาของเขาตกลงบนมัน จุดแสงหิ่งห้อยนับไม่ถ้วนก็ร้อยเรียงกันปรากฏเป็นตัวอักษรบรรทัดเล็กๆ ขึ้นบนผิวของบอลแก้ว
“ภารกิจแรกปรากฏขึ้นแล้ว”
“ชื่อภารกิจ...พิสูจน์คุณค่าของตัวเอง”
“คำอธิบายภารกิจ...ระบบสัมผัสได้ถึงการสอดแนมบางอย่างที่ค่อนข้างพิเศษ ทว่าโปรดมั่นใจได้ว่าการสอดแนมนี้มิได้มีพิษมีภัยใดๆ ต่อตัวคุณ มันมิได้มุ่งเน้นมาที่คุณคนเดียว แต่จงจดจำเอาไว้ว่า ตั้งแต่ที่เริ่มเข้าสู่โลกเทวะ คุณจะตกอยู่ภายใต้การสอดแนมบางอย่างที่ว่านั่นอยู่ตลอดเวลา”
“จงเผยความสามารถออกมาอย่างเต็มที่แสดงให้มันดูหวือหวาสะดุดตา แสดงมันออกมาว่าคุณควรค่าที่จะบรรลุภารกิจนี้!”
“วัตถุประสงค์ภารกิจ...แสดงพรสวรรค์ของตนเองในโลกเทวะอย่างเต็มกำลัง จนกว่าคุณจะ ‘ได้รับอาวุธ’ ”
“รางวัลภารกิจ...จิตสื่อถึงกัน”
“คำอธิบาย...ถ้าหากคุณทำตัวราวกับเป็นเพียงแค่ขยะ จะไม่มีใครสนใจมองคุณอีกต่อไปแม้หางตา”
“แสดงพรสวรรค์? ได้รับอาวุธ? นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?” กู่ฉิงซานงง
แล้วยังไอ้รางวัลภารกิจ ‘จิตสื่อถึงกัน’ นี่อีก
มีเพียงแค่สี่คำบอกมาเท่านั้น แต่มันไม่ได้มีคำอธิบายถึงพลังของไอ้ที่ว่านั่นมาเลย
แล้วภารกิจผีห่าซาตานนี่มันจะไปเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ได้อย่างไร?
แถมยังต้องแสดงให้มันดูหวือหวาสะดุดตาอีก
กู่ฉิงซานไม่เคยพบเจอกับภารกิจที่พิสดารเช่นนี้มาก่อนเลย
ภารกิจแห่งโชคชะตาร้องขอให้เขาค้นหาความจริงของโลก ทว่าภารกิจพลังศักดิ์สิทธิ์กลับกลายเป็นให้กระทำสิ่งอ่อนด้อยเช่นนี้ออกมา?
มันเป็นการยากที่จะเข้าใจถึงสิ่งที่ระบบต้องการจะสื่อและบ่งบอกกับฉันผ่านภารกิจทั้งสองที่มอบหมายให้นี้…
กู่ฉิงซานมองไปยังคำอธิบายบนหน้าต่างสถานะ สมองอื้ออึงตกอยู่ในความสับสน
ภายนอกเต็นท์ทหาร ค่อยๆ บังเกิดเสียงต่างๆ ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
มันเป็นเสียงของการย่ำเท้ากรีธาทัพ ตามด้วยเสียงของเครื่องมือขนาดใหญ่ที่กระแทกลงบนพื้นดิน และเสียงสนทนาของเหล่าผู้ฝึกยุทธ
เสียงนายพลตะโกนก้อง และร้องเรียกให้เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเองมารวมตัวกัน
ตามมาด้วยเสียงของเรือเหาะดังกึกก้องขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นั่นคือสัญญาณเสียงของแต่ละทีมที่กำลังเหินบิน
ฉินเซี่ยวโหลววิ่งเข้ามา และกล่าวบอกลากับเขา
งานของฉินเซี่ยวโหลวกล่าวได้ว่าหนักหนามาก นั่นเพราะเขาเป็นผู้ใช้หกศิลป์ ที่มีฝีมือและเก่งกาจ ดังนั้น เขาจึงถูกเรียกใช้งานในทุกแง่มุมของการช่วยเหลือในแนวหน้า
สิ่งเดียวที่เขาต้องทำหากเทียบกับผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ ก็คือรักษาตัวเองให้รอดเท่านั้น มิจำเป็นต้องออกไปฆ่าฟันศัตรูตนใด
อย่างรวดเร็ว ศิษย์พี่ศิษย์น้องกล่าวสนทนากัน แล้วฉินเซี่ยวโหลวก็ควบคุมเรือเหาะ ทะยานตามติดทีมของเขาไป
แต่กู่ฉิงซานยังคงอยู่ในเต็นท์ทหารของเขา
เขาไม่มีทหาร ไม่มีหัวหน้า และไม่มีภารกิจแบบเฉพาะเจาะจง
ไม่มีใครสามารถขัดขวางหรือตำหนิเขาได้ ต่อให้สิ่งที่เขาต้องทำจะมีเพียงการหดหัวอยู่ในแนวหลังก็ตามที
ไม่มีข้อจำกัด และจะไม่มีการลงโทษใดๆ
เพราะไม่ว่าจะเป็นกรณีใด อย่างไรเสียคำสั่งที่เขาได้รับก็มาจากสามปราชญ์ ที่ซึ่งมีอำนาจสั่งการสูงสุด สั่งการได้อย่างอิสระตามที่ต้องการอยู่แล้ว
ในโลกเทวะนั้นมันอันตรายเกินไป และนักปราชญ์อย่างนางเซียนไป่ฮั่วก็ยังกล่าวว่าตนเองอาจจะตกตายลงในสงครามครั้งนี้
นางเซียนไป่ฮั่วหวังว่าเขาจะรักษาชีวิตตนเองเอาไว้ และหวังว่าเขาจะอยู่รอดต่อไป เพื่อรับมรดกของนิกายร้อยบุปผาให้ดำเนินต่อไป
กู่ฉิงซานหลับตาลง เขาจมอยู่ในความเงียบเป็นเวลานาน ก่อนที่มุมปากของเขาจะยกสูงขึ้น เผยถึงร่องรอยเย้ยหยัน
ในเต็นท์ทหาร ทันใดนั้นจู่ๆ เขาก็เอ่ยกับตัวเองออกมาอย่างแผ่วเบา
“ช่างน่าสมเพชจริงๆ ตัวฉันเองที่เคยเป็นถึงผู้สังหารจอมมารลง เวลานี้กลับมัวมาหดหัวอยู่ในแนวหลังของสงคราม?”
“ตัวฉัน นักดาบนิรันดร์กู่ฉิงซาน ไม่ได้กระโจนลงไปในสนามรบอย่างแท้จริงมานานแค่ไหนแล้วกันนะ…”
ทันใดนั้นเขาก็ตบลงในถุงสัมภาระ ทำการเรียกชุดเกราะรบสีทองออกมาอย่างรวดเร็ว และสวมทับบนตัวเขาในฉับพลัน
“ความตายหรือ? จะไม่มีใครตายทั้งนั้น ไม่ว่าจะท่านอาจารย์ หรือข้า ตราบใดที่ข้าก้าวขึ้นสู่เวทีการแสดงในครั้งนี้”
ปากเอ่ยกระซิบอย่างแผ่วเบา
หนึ่งมือยกหน้ากากเงินขึ้นสวมใส่ อีกหนึ่งเอื้อมไปคว้าอากาศที่ว่างเปล่า และกุมดาบพิภพที่ปรากฏออกมา ทั้งคนทั้งร่างก้าวเดินออกไปยังด้านนอก
ไม่นานนัก เรือเหาะที่ถูกแต่งแต้มด้วยตัวอักษร ‘ซาน’ ก็ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ข้ามผ่านธารเมฆามาร บินตรงเข้าไปในกระแสความว่างเปล่าที่ไหลเชี่ยว
.......................................................