webnovel

0167 จงรออยู่เบื้องหลัง

ตอนที่ 167 จงรออยู่เบื้องหลัง 

แขนยักษ์ค่อยๆ หดตัวกลับอย่างช้าๆ ในมือคว้ากุมวิหารดำและเริ่มฉุดลากมันลงไปยังพื้นดินเบื้องล่าง 

“ไม่!” 

บังเกิดเสียงโหยหวนด้วยความไม่ยินยอมดังสะท้อนขึ้นมาจากวิหาร 

วิหารดำดูราวกับจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ตนทะยานสูงขึ้น ทว่ามันยังคงถูกกุมแน่นไม่มีทีท่าว่าจะหลุดรอด ส่วนแขนยักษ์ก็ฉุดลากมันลงมาเต็มแรงชนิดหัวชนฝา 

ท่ามกลางการยื้อยุทธอย่างไร้ซึ่งความประนีประนอมของทั้งสองฝ่าย วิหารดำก็ร่ายคาถา ส่งสรรพาวุธที่ลุกโชนด้วยเปลวไฟสีเขียวออกมาอีกครั้ง และสับสะบั้นมือยักษ์ที่ใหญ่โตราวขุนเขาด้วยเจตนาร้าย 

ภายใต้การทุ่มโจมตีของสรรพาวุธ มือใหญ่ราวขุนเขาก็เริ่มพังทลายลงอย่างรวดเร็ว และกำลังจะแตกสลายลงในไม่ช้า 

ซวนหยวนเห็นถึงปรากฏการณ์นี้ เขาจึงถ่ายเทพลังวิญญาณลงไปขลุ่ยหยกอีกครั้ง และเป่าบรรเลงมันทันที  

ท่วงทำนองขลุ่ยฉีกลึกเข้าไปในห้วงอากาศที่ว่างเปล่า 

พื้นโลกอันไร้ที่สิ้นสุดค่อยๆ ขยับไหวอย่างช้าๆ เศษหินดินทรายนับไม่ถ้วนแยกตัวออกจากพื้นดิน และลอยขึ้นไปซ่อมแซม เติมเต็มในส่วนของมือยักษ์ที่แตกร้าว 

สรรพาวุธที่ลุกไหม้ยังคงสับสะบั้นมือยักษ์ต่อไป ทว่ามันก็ถูกซ่อมแซมอยู่ร่ำไป ผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง มิปรากฏวี่แววว่าฝ่ายใดจะพ่ายแพ้หรือชนะ 

เม็ดเหงื่อขนาดเท่าลูกปัดผุดขึ้นมาบนหน้าผากของซวนหยวน ลมหายใจที่ใช้บรรเลงท่วงทำนองขลุ่ยค่อยๆ แผ่วเบาและเชื่องช้าลง 

เซี่ยเต๋าหลิงหันไปมองเขาและกล่าว “ข้าจะช่วยเจ้าเอง” 

เธอย่ำลงบนพื้นเบาๆ ร่างอันงดงามแปรเปลี่ยนเป็นกระแสแสง ทะยานตรงขึ้นไปบนชั้นเมฆ 

เพียงครู่ เซี่ยเต๋าหลิงก็ข้ามผ่านมือยักษ์และวิหารดำ บินหายลึกขึ้นไปบนชั้นฟ้า 

เธอหยุดอยู่เหนือผืนฟ้าที่พัดโบกไปด้วยสายลมอันรุนแรง สายตาหลุบต่ำลงไปยังวิหารดำเบื้องล่าง 

“พวกเราไตรภาคีต่างก็ทุ่มออกอย่างเต็มกำลัง หากยังมิอาจจัดการเจ้าได้ ทั้งหมดทั้งมวลที่ทำมามันจะมิกลายเป็นเรื่องตลกหรอกหรือ” เธอกล่าวพึมพำ 

โน้มตัวลง เบนทิศทางลงไปยังเบื้องล่าง ก่อนที่ทั้งคนทั้งร่างของเซี่ยเต๋าหลิงจะระเบิดฝีเท้าพุ่งลงไปเบื้องล่างจากมุมสูงราวกับอุกกาบาตขนาดย่อม 

ความเร็วในการพุ่งตกลงมามหาศาลยิ่ง และมันยังคงทวีความเร็วเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนในตอนท้ายๆ จะเห็นแค่เพียงร่างเงาสีเขียวมรกตจางๆ เท่านั้น 

ร่างเงาสีเขียวมรกตโฉบลงมาจากฟากฟ้าอย่างฉับไว 

ด้วยความแข็งแกร่งอันไร้ที่สิ้นสุดของหวนคืนไร้ลักษณ์ที่ผู้ใช้สามารถตระหนักได้ถึงแก่นแท้ของมัน ทำให้ปราณของมันไหลวนอยู่รอบๆ ร่างมรกต และก่อรูปขึ้นเป็นร่างของบางสิ่งอย่างชัดเจน 

มันก่อร่างขึ้นเป็นรูปมนุษย์ขนาดยักษ์ที่ใหญ่โตราวกับสัตว์ประหลาด 

แต่หากจะกล่าวอย่างชัดเจน แท้จริงแล้วมันมิอาจถือได้ว่าเป็นร่างมนุษย์ เนื่องเพราะแม้ใบหน้าของมันจะสามารถมองเห็นได้รางๆ ว่าเป็นโครงหน้าของมนุษย์ ทว่าตามร่างกายจริงๆ กลับเรียวยาวเป็นงูเลื้อย 

นี่คือการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตในตำนานบุคโบราณกาล ไม่ทราบเช่นกันว่าแท้จริงแล้วเซี่ยเต๋าหลิงได้ใช้เทคนิคลับใด จึงก่อให้เกิดร่างเงาเช่นนี้ขึ้นมาได้ 

สัตว์ประหลาดในร่างมนุษย์ดูราวกับว่าภายในตัวตนของมันจะบรรจุซึ่งความโกรธอันไร้ที่สิ้นสุด พริบตาเดียวร่างเงามรกตก็เข้ามาใกล้วิหารดำในระยะประชิดแล้ว และโถมกระแทกเข้าใส่มันอย่างแรง 

วิหารดำราวกับว่าจะสามารถสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง ทันใดนั้นร่างร่างหนึ่งก็ทะยานออกมา เหินอากาศขึ้นสู่ท้องฟ้าทันที 

“จะหนีไปไหน!” 

ร่างมรกตตะคอกคำหนึ่ง รีดความว่องไวของตนออกมาอีกครั้ง พริบตาเดียวก็หายวับไปในอากาศ 

สกิลเทวะ ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว! 

ทันใดนั้นเอง ร่างมรกตก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ในมือคว้าจับร่างที่กำลังโฉบหนี ก่อนที่ทั้งสองจะทิ้งตัวลงไปหายลงไปในวิหารดำพร้อมๆ กัน 

ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ

 ไร้ซึ่งสรรพเสียง 

ไร้ซึ่งการโจมตีเพื่อหลบลี้มือที่เกาะกุมยึดเหนี่ยวของอีกฝ่าย 

เนื่องเพราะ ความแข็งแกร่งอันไร้อนันต์ของหวนคืนไร้ลักษณ์ ได้ถูกใช้ออกไปจนหมดสิ้นตั้งแต่ในการโจมตีก่อนที่จะกลับไปยังวิหารดำเรียบร้อยแล้ว 

สกิลเทวะหวูเต๋า ตัดแบ่งขุนเขาไร้ตัวตน! 

ปง! 

คลื่นที่มองไม่เห็นกวาดกระจายไปทั่วท้องฟ้า 

พื้นโลกสั่นไหว เสียงกระแทกหนักทึบราวกับสายฟ้าคำรน กลบสิ้นซึ่งทุกสรรพเสียงอื่น 

ภายใต้การโจมตีที่รุนแรงนี้ ทั่วทั้งวิหารมาร และมือยักษ์อันยิ่งใหญ่ พลันบังเกิดรอยปริร้าว แตกกระจัดกระจายเป็นเศษซากนับหมื่นนับแสนชิ้น ทั้งหมดพังทลายลง ฟุ้งระบำไปทั่วทั้งชั้นอากาศที่ว่างเปล่า 

มารสวรรค์นักปราชญ์หวู๋เซิงบัดนี้ทั้งร่างฉีกขาด ส่วนบนและท้ายแยกออกจากกัน ลอยคว้างอยู่ในอากาศอย่างไร้ซึ่งพละกำลัง 

ในวินาทีต่อมา มันก็พยายามที่จะตะเกียกตะกาย แหวกว่ายในอากาศตรงไปยังซากร่างครึ่งล่างที่ขาดออก 

“นี่มันไม่ถูกต้อง ตัวตนที่อยู่ในขอบเขตประทับเทพจะมีความแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไรกัน!” มันกระอักโลหิตสีเขียวออกมา เอ่ยแต่ละคำอย่างยากลำบาก 

อย่างไรก็ตาม ซวนหยวนก็รอรับไม้ต่อจากเธออยู่ก่อนแล้ว 

เสียงขลุ่ยบรรเลงดังขึ้นอีกครั้ง 

แขนยักษ์ผุดขึ้นมาจากพื้นโลกอีกครา มันพรวดตรงขึ้นสู่ชั้นฟ้า มือของมันคว้าจับเอามารสวรรค์นักปราชญ์หวู๋เซิงไว้ด้วยเจตนาร้าย 

ไม่ว่ามารสวรรค์จะดิ้นรนต่อสู้เพียงไร แขนยักษ์ก็หดตัวกลับอย่างรวดเร็ว และดิ่งหายลึกลงไปในพื้นพิภพ 

น้อมสวรรค์ซวนหยวนยังคงบรรเลงมันต่อไปโดยไร้ซึ่งความลังเล 

ผืนโลกสั่นสะเทือน ราวกับว่ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งกำลังพยายามดิ้นรนด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี 

สายลมอันรุนแรงพัดกระหน่ำ นำพาเสียงขลุ่ยที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่ากระพือไปยังทิศทางของเหล่ามนุษยชาติและกองทัพมาร 

ยามได้สดับรับฟังเสียงขลุ่ยนี้ ทุกสรรพชีวิตพลันบังเกิดกระแสเย็นเยียบขึ้นในจิตใจ ความเงียบงันโดยรอบบังเกิดขึ้น ทุกผู้แน่นิ่งไม่ไหวติง มิมีผู้ใดคิดเคลื่อนไหวแม้เพียงน้อย 

หลังจากที่ผ่านพ้นไปราวครึ่งก้านธูป ผืนโลกที่สั่นสะเทือนก็ค่อยสงบลง 

ซวนหยวนผละริมฝีปากออกจากขลุ่ยในที่สุด 

บนใบหน้าของเขาเผยถึงความเหนื่อยล้า ปากเอ่ยกล่าว “มันตกตายลงแล้ว” 

นางเซียนไป่ฮั่วร่อนลงไปหยุดยืนกลางอากาศข้างๆ เขา เมื่อได้ยินก็พยักหน้าและกล่าว “ลำบากเจ้าแล้ว” 

เธอวาดแขนเสื้อยาวพลิ้วลมออกไป ปลดปล่อยนักพรตเป่ยหยวนออกมา 

ทั้งสามยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กันในมุมสูง กวาดสายตาลงมองแผ่นดินทั้งหมดโดยรอบ 

“พวกเราชนะแล้ว” น้อมสวรรค์ซวนหยวนถอนหายใจเฮือกใหญ่ 

“อามิตตาพุทธ แม้จะมิใช่เรื่องง่าย ทว่าสุดท้ายก็พิชิตชัยได้เสียที” นักพรตเป่ยหยวนกล่าว 

“ชนะก็คือชนะ” เซี่ยเต๋าหลิงยิ้ม “แต่พวกจอมมาร และมารอสูรมากมายที่ทรงพลังมิได้อยู่ที่นี่ ชัยชนะในครั้งนี้ก็เหมือนกับว่าพวกเราไปปล้นมา ไม่อาจจะภาคภูมิใจได้ หลังจากนี้ทุกอย่างมันคงไม่ง่ายดายดั่งเช่นครานี้แล้ว” 

สองปราชญ์เมื่อได้ฟัง ในหัวใจก็บังเกิดความกดดันขึ้นในจิตใจทันที 

“ไปกันเถิด พวกมารนักปราชญ์เบื้องล่างคงจะร้อนรนน่าดูแล้ว พวกเรากลับไปยังแนวทัพของมนุษยชาติกัน” เซี่ยเต๋าหลิงกล่าว เหินอากาศลงไป 

หลังจากผ่านพ้นไปหนึ่งชั่วยาม 

อสูรวิญญาณที่หลงเหลืออยู่เพียงแค่หนึ่งร้อยตัวก็ได้ถูกคุมขัง 

พวกมันได้ถูกครอบงำโดยมารสวรรค์มาหลายสิบปีแล้ว ทว่าตอนนี้มารสวรรค์ได้ตกตายลง อสูรวิญญาณจึงได้สูญเสียสติปัญญาไปโดยสมบูรณ์ พวกมันกลายเป็นบ้า และหากพบเห็นผู้คนก็คิดแต่จะกัดกินทันที 

นักพรตเป่ยหยวนได้ทำการตรวจสอบอย่างจริงจังและได้ข้อสรุปลงในที่สุด 

หากมิใช่เพราะว่าพวกมันสมัครใจ มารสวรรค์ย่อมมิอาจจะประสบความสำเร็จในการเข้าครอบงำได้โดยง่าย 

อีกความหมายหนึ่งก็คือ ในเวลานี้ ยืนยันแน่นอนแล้วว่าอสูรวิญญาณได้ถูกล่อลวงโดยมารสวรรค์ และปฏิญาณตนว่าจะช่วยก่อกบฏ 

พวกมันก็เหมือนดั่งพวกมารอสูร ที่ต้องการจะโค่นล้มมนุษย์ อยากจะปฏิบัติต่อมนุษย์เฉกเช่นเดียวกันกับเวลาปฏิบัติต่ออาหาร และกลายเป็นผู้ปกครองของโลกใบนี้ 

บางทีพวกมันคงอาจจะตกเป็นเหยื่อเสียด้วยซ้ำ เนื่องเพราะถูกมารสวรรค์ครอบงำนานเกินไป ส่งผลให้สติปัญญาของตนได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก รุนแรงเกินกว่าจะสามารถคิดอะไรที่ลึกซึ้งได้ไหว 

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่ได้รับรู้ถึงจุดนี้เลย 

...  

ณ ค่ายทหารกองทัพพันธมิตรแห่งมนุษยชาติ 

เหล่าผู้ฝึกยุทธรุ่นใหญ่รวมตัวกัน นั่งอยู่บนแท่นเวทีสูง 

เบื้องล่างเวที ผู้ฝึกยุทธมากมายฉายแววตาเป็นประกาย ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เฉลิมฉลองกับชัยชนะที่ได้รับจากการสู้รบครั้งเด็ดขาดในครั้งนี้ 

หวู่สิงเหวินยืนขึ้น และเริ่มต้นแจกแจงความสำเร็จทางกองทัพ 

เขามิได้มีส่วนร่วมใดๆ ในการต่อสู้ในครั้งนี้ ทว่าบนใบหน้ากลับเผยให้เห็นถึงความเหนื่อยล้าอันล้ำลึกยิ่งกว่าใครๆ 

มารสวรรค์นั้นจมดิ่ง แอบลึกอยู่ในทะเลแห่งห้วงสติตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ ยามเมื่อตัวเขาเองคิดถึงเรื่องนี้ทีไร ขนจากทั่วร่างก็ลุกขึ้นชูชันทุกที 

เดชะบุญที่นักพรตเป่ยหยวนเก่งกาจในด้านการจัดการกับมารสวรรค์ รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมมันและสามารถใช้เพียงหนึ่งกระบวนท่าก็สังหารอีกฝ่ายลงได้ 

มิฉะนั้น หากมารสวรรค์เกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมา เขามิต้องยอมเผาตัวเองจนตกตายเพื่อรับผิดชอบหรอกหรือ 

“นายทหารชั้นพันโท หลี่ชา สามารถตรวจสอบจนพบกับหน่วยข่าวกรองของศัตรู ตัดสะบั้นหัวอสูรและฆ่าสังหารเผ่ามารได้อย่างยอดเยี่ยม สะสมแต้มความสำเร็จจนเต็ม ได้รับการเลื่อนชั้นขึ้นเป็นนายทหารชั้นพันเอก” 

“สิบโท ซางซุนหมิง สามารถตัดสะบั้นหัวอสูรและฆ่าสังหารเผ่ามารได้อย่างยอดเยี่ยม สะสมแต้มความสำเร็จจนเต็ม ได้รับการเลื่อนชั้นขึ้นเป็นหัวหน้าสิบเอก” 

“พลทหารหวังฟา สามารถช่วยเหลือเพื่อนพลทหารคนอื่นๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม สะสมแต้มความสำเร็จจนเต็ม ได้รับการเลื่อนชั้นขึ้นเป็นสิบตรี” 

หวู่สิงเหวินยังคงอ่านรายชื่อออกไปอย่างต่อเนื่อง  โดยที่มิได้รู้ตัวเลยว่าสามปราชญ์กพลังจ้องมองเขาด้วยแววตาซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง 

“นายพลชั้นโหยวจี หนิงเยว่ฉาน” หวู่สิงเหวินมองใบหยกในมือ กลืนน้ำลายอึกหนึ่งและอ่านต่อ “มีส่วนร่วมในภารกิจลับระหว่างการสู้รบขั้นแตกหัก สามารถร่วมมือสนับสนุนได้อย่างยอดเยี่ยม ปัจจุบันจึงสมควรได้รับการเลื่อนชั้นขึ้นเป็นนายพลชั้นติงหยวน” 

นายพลชั้นติงหยวน! 

มนุษยชาติได้ปรากฏนายพลชั้นติงหยวนคนที่สี่ขึ้นมาแล้ว! 

ทั้งหมดจมลงสู่ความเงียบ ทุกสายตาจับจ้องไปยังหญิงงามที่สวมใส่ชุดเกราะทองคำ!

........................................