ตอนที่ 158 มองไม่เห็น
ฉินเซี่ยวโหลวได้ฟังจึงค่อยสงบลง ผงกหัวรับอย่างเงียบๆ
หวู่สิงเหวินยิ้ม ยกน้ำเสียงสูงขึ้น “ชายชาตรีที่แท้จริง? ช่างเป็นคำกล่าวที่ฟังดูไร้สาระโดยแท้ การที่เจ้าฉวยโอกาสใช้แต้มความสำเร็จของตนที่มากกว่ารังแกผู้อ่อนแอ เจ้าคิดว่านั่นเป็นสิ่งถูกต้องที่ชายชาตรีสมควรทำกระนั้นหรือ?”
ผู้คนเริ่มตกอยู่ในความโกลาหลทันที
เนื่องเพราะนี่คือการประกาศถึงอาชญากรรมของอีกฝ่ายโดยออกจากปากนายพลชั้นติงหยวนด้วยตนเองเป็นครั้งแรก กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ชัดแจ้งแล้วว่าเรื่องนี้มันต้องเป็นความจริง
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างสงบ “ตัวตนระดับนายพลแห่งมนุษยชาติเช่นท่าน แท้จริงแล้วกลับใส่ร้ายผู้คนต่อหน้าสาธารณชนนี่ใช่เรียกว่าเป็นการใช้แต้มความสำเร็จของตนที่มากกว่ารังแกผู้อ่อนแอหรือไม่”
“เจ้ากล้า!” หวู่สิงเหวินชี้หน้ากู่ฉิงซาน
“เจ้าอยากตายจริงๆ ใช่ไหม? แม้ว่าปัจจุบันนี้ข้าจะไม่อาจเอาชนะเจ้าได้ แต่หากข้าไปร้องขอท่านอาจารย์ ชีวิตไร้ค่าของเจ้าก็ไม่นับว่าเป็นอันใด” สองตาของกู่ฉิงซานหรี่แคบลง
“ลองถามใจเจ้าดูสิ ว่าวาจาเมื่อครู่ที่ข้าได้เปล่งออกมา ใช่กล่าวล้อเล่นหรือไม่” เขากล่าว
หวู่สิงเหวินชักมือกลับทันทีโดยไม่รู้ตัว แอบบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาอย่างลับๆ
หากอีกฝ่ายทำเช่นนั้นจริงๆ ด้วยอารมณ์ที่แปรปรวนของนางเซียนไป่ฮั่ว บางทีอาจจะคิดเก็บเกี่ยวชีวิตน้อยๆ ของเขาจริงๆ ก็เป็นได้
หวู่สิงเหวินเอ่ยด้วยสีหน้าน่าเกลียด “เหตุใดจึงต้องยกอาจารย์เจ้ามากล่าวอ้างไปเสียทุกครั้ง ใช่เพราะเจ้ากำลังคิดดูหมิ่นอำนาจทางการทหารอย่างเปิดเผยหรือไม่?”
“ยามนี้สงครามขั้นเด็ดขาดใกล้เข้ามาแล้ว ทว่าเจ้ายังคงคิดถึงแต่เรื่องแก้แค้นในจิตใจ เจ้าน่ะมันเต็มไปด้วยพิษร้าย โสมม และเห็นแก่ตัวอย่างชัดแจ้ง!”
สีหน้าของกู่ฉิงซานปราศจากซึ่งความรู้สึกใดๆ ขณะที่เปล่งออกมาทุกวลีและคำกล่าว “หากเจ้าพูดประโยคอื่นใดอีกแม้เพียงประโยคเดียว ข้าจะไปร้องขอให้ท่านอาจารย์มาเอาชีวิตเจ้าตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลย”
เขาหยิบยันต์สื่อสารออกมา คีบมันไว้ในนิ้วมือ
พลังวิญญาณถูกกระตุ้น และยันต์สื่อสารก็เริ่มสว่างวาบขึ้น
หวู่สิงเหวินจ้องมองเขา ปากอ้าพะงาบๆ ทว่าสุดท้ายก็มิกล้าเอ่ยอันใดออกมาแม้เพียงครึ่งคำ
ตอนนี้เขาไม่กล้าจริงๆ ที่จะเปล่งเสียงออกมา
เรื่องราวไฉนสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งกันเช่นนี้ เหตุใดกู่ฉิงซานที่สมควรมิอาจเชิดหน้าชูตาขึ้น จู่ๆ ถึงเอ่ยอ้างถึงอาจารย์ออกมา แล้วต้องกลับกลายเป็นเขาที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นแทน
เจ้าเด็กนี่ เห็นได้ชัดว่ามันคล้ายคลึงกับสิ่งที่อสูรวิญญาณเอ่ยปากกล่าวอย่างชัดเจน มันข่มเหงผู้อื่น ล้างแค้นหลี่ชูเฉินเป็นการส่วนตัว เมื่อถึงทางตันก็งัดวิธีเช่นนี้ออกมา
มองไปยังสถานการณ์ที่ปรากฏขึ้น หวู่สิงเหวินตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้า คายไม่ออก ก็ดูมันซี หากเขาเปล่งเสียงออกไป เกรงว่ามันจะนำเรื่องนี้ฟ้องไปถึงหูนักปราชญ์จริงๆ ไม่ต้องคิดก็พอจะบอกได้ว่าข้าคงมิกลายเป็นฝ่ายผิดหรือ
ไอ้สารเลวเอ๊ย!
เจ้าเด็กนี่มิเพียงไม่เกรงกลัวว่าชื่อเสียงของตัวเองจะเหม็นโฉ่ แต่มันยังกล้าหักหน้าข้าต่อหน้าฝูงชน นี่มันเรื่องบัดซบอย่างแท้จริง!
หวู่สิงเหวินสีหน้าปั้นยาก กรามขบกันจนเกิดเสียงกึกๆ
ในชุดเกราะรบของเขา ร่างกายที่ถูกปกปิดกำลังสั่นไหวเล็กน้อย ราวกับอารมณ์ที่ข่มกลั้นมานานกำลังจะไม่อาจยับยั้งได้อีกต่อไป
มองไปรอบๆ อีกครั้ง แม้ว่าทุกผู้คนจะมีสีหน้าขุ่นเคืองอยู่ ทว่าก็มิมีผู้ใดกล้าก่นด่ากูฉิงซานอีกแล้ว
กู่ฉิงซานถอนหายใจและกล่าว “ช่างแปลกประหลาดเสียจริงๆ”
“เหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนั้น” ฉินเซี่ยวโหลว เอ่ยถาม ดูเหมือนว่าเขากำลังสนุกกับเหตุการณ์ตรงหน้า
เขารู้สึกไม่สบายใจกับสองสามประโยคที่หวู่เทียนสิงกล่าวท้วง ทว่ากลับไม่อาจคาดคิดได้เลย ว่าสองสามประโยคต่อมาของศิษย์น้อง จะทำให้สถานการณ์กลับกลายเป็นราบรื่น ไร้กังวลเช่นนี้
“เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นถึงนายพล แต่เขากลับพยายามใช้อำนาจส่วนตนโดยมิชอบ ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับชีวิตและความตาย แท้จริงแล้วก็กลับกลายเป็นเพียงกระต่ายตื่นตูมที่ทำได้เพียงหวาดกลัว”
“ฮ่าๆๆ” ฉินเซี่ยวโหลวหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
กู่ฉิงซานมองไปยังหวู่สิงเหวิน ด้วยความหมายแปลกๆ บางอย่างที่แฝงอยู่ในแววตา
เมื่อครู่ยามที่ถูกจับจ้องโดยสายตาของทุกผู้คน กู่ฉิงซานก็ยังดูผ่อนคลายอยู่เลย ทว่าบัดนี้กลับตรงกันข้าม เขาดูเหมือนกับว่ากำลังกลุ้มใจอะไรบางอย่างอยู่
“เอาล่ะๆ มิต้องเอ่ยอันใดแล้ว” กงซุนซีเดินเข้ามา
“ตาแก่หวู่ ข้ามีคำกล่าวที่ต้องการจะร้องขอเจ้าเป็นการส่วนตัว” เขาประสานหนึ่งกำปั้นและฝ่ามือ ปากเอ่ยกล่าว
“เชิญเจ้ากล่าว” หวู่สิงเหวินที่บัดนี้ใบหน้าทะมึนทึบ เอ่ยถาม
“ข้ามิรู้เรื่องราวปัญหาของเจ้าหรอก ทว่าข้าอยากจะรับกู่ฉิงซานมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา เจ้าคิดเห็นเช่นไร” กงซุนซีกล่าว
เมื่อคำเหล่านี้ถูกเปล่งออกมา หวู่สิงเหวินก็ลังเลทันที
จะตอบรับ หรือปฏิเสธดี?
ดูเหมือนว่าในภารกิจก่อนหน้านี้ กงซุนซีจะถูกช่วยไว้โดยกู่ฉิงซาน โดยการไปร้องขอให้นางเซียนไป่ฮั่วออกหน้าลงมือ
หากข้าปล่อยมันไปเช่นนี้ มิใช่หมายความว่าจะทำให้มันเดินเหินได้อย่างสะดวกสบายหรอกหรือ
ทว่ายามนี้สงครามอยู่ใกล้แค่เอื้อม หากข้ายังรั้งตัวมันไว้ ข้าก็จะสามารถทำให้กู่ฉิงซานนำความพินาศและอับอายมาสู่ตนเองได้ กระทั่งในช่วงเวลาวิกฤติ ข้ายังจะสามารถ…
ในหัวใจของหวู่สิงเหวินปรากฏความคิดวาบผ่านทันใดนั้นแผ่นอกเขาก็กระเพื่อมอย่างรุนแรง มิอาจยับยั้งความโกรธได้อีกต่อไป
ความขุ่นเคือง เกลียดชัง โกรธเกรี้ยว เจตนาฆ่า ทุกอารมณ์ในแง่ลบไหลบ่ามารวมกันในจิตใจ จนมันปะทุออกมา
ทันใดนั้นก็บังเกิดเสียงเสียงหนึ่ง ดังก้องขึ้นในจิตใจของเขา
ใช่แล้ว การลงมือแก้แค้นน่ะมันถูกเตรียมพร้อมเอาไว้อยู่แล้ว ฉะนั้นข้าจะปล่อยมันไปไม่ได้!
ต่อไปที่ต้องทำ ขอแค่เพียงทำให้มันตายในระหว่างการสู้รบก็เพียงพอแล้ว!
ทันทีที่ได้ข้อสรุปจากความคิดดังกล่าวนี้ ความกังวลใจทุกอย่างก็ถูกบดขยี้จนมลายหายไป
หวู่สิงเหวินมองไปยังกงซุนซี จากนั้นก็หันมามองกู่ฉิงซานอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม
“ข้าเสียใจจริงๆ ท่านนายพลกงซุน เขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้า ดังนั้นจึงจำต้องฟังคำสั่งข้า มิอาจแยกตัวจากไปได้”
“ยิ่งไปกว่านั้น ข้ามิอาจปล่อยคนผู้นี้ให้เป็นอิสระได้”
“ยกตัวอย่างเช่น…เขาอาจจะบ่อนทำลายกองทัพของท่านก็เป็นได้”
วาจาที่เปล่งออกมาของหวู่สิงเหวินช่างอ่อนโยน สองมือผายออก ราวกับว่าตัวเขาจำต้องเอ่ยออกมาอย่างไม่มีทางเลือก
“เช่นนั้นหากเป็นคำสั่งของข้าเล่า?”
ในชั้นอากาศเบื้องบน พลันปรากฏเสียงของหญิงสาวขึ้นในทันใด
ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดต่างพากันแหงนหน้าขึ้นมอง
เห็นแค่เพียงบนท้องนภา ปรากฏนางเซียนไป่ฮั่วกำลังยืนอยู่อย่างสงบ ข้างกายนางประกบซ้ายขวา ปรากฏน้อมสวรรค์ซวนหยวนและนักพรตเป่ยหยวนลอยอยู่เช่นกัน
“ขอน้อมรับการมาถึงของนักปราชญ์!”
เหล่าผู้ฝึกยุทธโค้งคารวะอย่างพร้อมเพรียง
สองตาของนางเซียนไป่ฮั่วสาดประกายเย็นชา จ้องมองไปยังหวู่สิงเหวิน เอ่ยปากกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “ข้าขอถามเจ้า หากข้าต้องการสับเปลี่ยนกู่ฉิงซานจากใต้บังคับบัญชาของเจ้า เจ้าจะอนุญาตหรือไม่?”
ระหว่างกล่าว นางก็ไม่วายระเบิดแรงดันวิญญาณอันน่าสยองขวัญออกมา กลุ่มเมฆหนาทึบที่ลอยล่องอยู่ถูกเป่าหายไปไม่มีเหลือโดยแรงดันวิญญาณนี้
ตูม!
แรงดันวิญญาณอันไร้ที่เปรียบระเบิดดังสนั่น ผู้ฝึกยุทธหลายหมื่นคนที่กำลังเฝ้าชมพลันแข้งขาอ่อนแรง รู้สึกราวกับถูกบดขยี้จนต้องคุกเข่าลงโดยพร้อมเพรียง
“เจ้าจะน้อมรับคำสั่งนี้หรือไม่” น้ำเสียงของนางเซียนไป่ฮั่วช่างแผ่วเบา ทว่าแรงกดดันที่ปะทุออกมา กลับเพิ่มสูงขึ้นทุกวินาที
นี่คือปราณที่แท้จริงของนางเซียนไป่ฮั่ว! ของปราชญ์เซี่ยหลิงเต๋า!
เดิมทุกช่วงเวลาที่เดินทางมา สีหน้าท่าทีของเธอช่างดูภาคภูมิยิ่ง ที่ศิษย์ของตนได้ค้นพบกับความลับอันน่าอัศจรรย์ใจนี้อย่างกะทันหัน
ความลับที่เกือบจะเป็นตัวที่สามารถกำหนดทิศทางของการสู้รบขั้นแตกหักนี้ได้
อีกสองนักปราชญ์ก็ตกใจไม่แพ้กัน พวกเขารู้สึกว่าความจริงของเรื่องนี้ นี่มันช่างแปลกประหลาดเสียจริงๆ
นางเซียนไป่ฮั่วยังเอ่ยปากออกมาด้วยรอยยิ้ม ว่ายามเมื่อสงครามได้สิ้นสุดลง นางจะต้องปูนบำเหน็จยศทางการทหารให้แก่ศิษย์ตนให้จงได้
และแล้วในที่สุดไตรภาคีก็มาถึงแนวหน้า ทว่าพวกเขากลับพบว่ากู่ฉิงซานถูกแยกตัวออกจากผู้คนทั้งหมด ได้รับหน้าที่จัดส่งเสบียง ทว่าแม้กระทั่งทีมที่ใช้รับส่งเสบียงก็ยังกีดกันเขา
สามปราชญ์เห็นกงซุนซีที่เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญพยายามเข้ามาช่วยเหลือแต่ก็ถูกปฏิเสธไปโดยหวู่สิงเหวิน
ในฐานะที่เป็นถึงไตรภาคีแห่งโลกใบนี้ เพียงแค่มองก็พอจะค้นพบถึงเงื่อนงำบางอย่าง
คำตอบของหวู่สิงเหวิน เป็นการประกาศกลายๆ ต่อหน้าฝูงชน ว่าเขากำลังคิดไม่ซื่อกับกู่ฉิงซาน
ดังนั้น เซี่ยเต๋าหลิงจึงมิอาจฝืนทนได้ไหวอีกต่อไป
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับนางเซียนไป่ฮั่ว หวู่สิงเหวินพลันรู้สึกว่าอารมณ์ทั้งหมดทั้งมวลของเขากลับกลายเป็นว่างเปล่า
ความคิดก่อนหน้าและเจตนาฆ่าอันคุกรุ่นทั้งหมด ราวกับว่าพวกมันกำลังหวาดกลัวนางเซียนไป่ฮั่ว จึงเลือกที่จะสลายหายไปเองโดยสมบูรณ์
รับรู้ได้ถึงความโกรธของนางเซียนไป่ฮั่ว หวู่สิงเหวินก็เร่งคารวะ เอ่ยปากอย่างร้อนรน “หากท่านนักปราชญ์มีคำสั่งอื่นใด ผู้น้อยย่อมยินดีจะปฏิบัติตามทันที”
“ดี ดีมาก แต่ดูเจ้าซี เจ้าก่นด่าว่าศิษย์ข้าคือหายนะของกองทัพ” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว “นอกจากนี้ยังให้ศิษย์ข้าที่มาถึงแนวหน้าทำหน้าที่ขนเสบียง เจ้านี่ช่างเป็นนายพลชั้นติงหยวนที่มีความสามารถในการตัดสินใจยอดเยี่ยมเสียจริงๆ ออกคำสั่งที่ล้มเหลวถึงเพียงนี้ หากข้าเอ่ยสั่งไป เจ้าจะปฏิบัติตามได้กระนั้นหรือ?”
โดยปกติแล้ว หากเป็นช่วงเวลาก่อนหน้า นางเซียนไป่ฮั่วแทบจะไม่เอ่ยปากพูดถึงเรื่องเหล่านี้ออกมาจากปากตนเองเลย
เนื่องเพราะนางมักจะขี้เกียจเกินไปที่จะจัดการกับธุระกงการต่างๆ ทว่าในยามนี้ นางกลับเอ่ยมันออกมาด้วยตนเอง บ่งบอกอย่างชัดเจนว่ากำลังโกรธมาก
ในหัวใจของหวู่สิงเหวินกระตุกวูบ เขาเงยหน้าขึ้นไปอย่างรวดเร็วเพื่อขอความช่วยเหลือกับน้อมสวรรค์ซวนหยวน “ท่านอาจารย์…”
ซวนหยวนขมวดคิ้ว
‘มิต้องมามองข้า นี่มันเรื่องอะไรกัน? เห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นคนริเริ่ม แล้วข้าจะไปช่วยอะไรเจ้าได้กันเล่า?’
แต่ต่อให้เจ้าเป็นฝ่ายถูกจริงๆ หากเจ้าไปทำให้เซี่ยหลิงเต๋าไม่พอใจ ต่อให้มาอ้างเรื่องวินัยทางทหารมันก็ช่วยเจ้าไม่ได้!
ซวนหยวนกลืนน้ำลายลงคอ ปากเอ่ยถาม “แท้จริงแล้ว เรื่องราวตั้งแต่ต้นมันเป็นเช่นไร?”
หวู่สิงเหวินใส่สีตีไข่เพิ่มเติมเข้าไปขณะเล่าเรื่อง
‘นี่มันช่างราบรื่นอย่างไม่คาดคิด!’
หวู่สิงเหวินบังเกิดความคิดนี้ วาบผ่านขึ้นในจิตใจ
‘หลังจากเรื่องที่เล่าจบลง จากนี้ไปท่านอาจารย์ก็มีแนวโน้มว่าจะแตกหักกับนางเซียนไป่ฮั่วเป็นแน่…’
“เจ้ากำลังจะบอกว่า เจ้าได้ตามตัวคนของนิกายหลิงเฉามาเป็นพยาน จากนั้นก็รับฟังคำกล่าวของอสูรวิญญาณ และได้ข้อสรุปว่ากู่ฉิงซานนั้นเป็นตัวปัญหาใช่หรือไม่?” แรงกดดันของซวนหยวนค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น ทว่าท่าทีที่เขาแสดงออกมาดูแปลกไปอย่างชัดเจน
“อามิตตาพุทธ”
ทันใดนั้นนักพรตเป่ยหยวน ก็ประกบสองฝ่ามือเข้าด้วยกัน และรีบปิดปากของเขาลงอย่างรวดเร็ว
สายตาของเขาเหลือบมองมายังกู่ฉิงซานก่อน จากนั้นจึงเบนไปทางหวู่สิงเหวิน
โดยที่ไม่มีใครทันสังเกตเลยว่าสองมือของนักพรต กำลังเริ่มจีบออกด้วยวิชาลับอย่างเงียบๆ
........................................