ตอนที่ 12 มอนสเตอร์(1)
หญิงสาวคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าว “วางหุ่นเฝ้าระวังไว้ในตำแหน่งของคุณด้วย”
ชายสวมแว่นกล่าวอย่างลังเล “แต่มูลค่าของมันมหาศาลมาก และในมือของพวกเราก็มีไม่มากนัก”
หญิงสาวกล่าวยืนยัน “วางไว้หนึ่งตัว เขามีค่ามากกว่า”
“ทราบแล้ว ตามที่ท่านปรารถนา ฝ่าบาท”
ชายสวมแว่นส่ายหัว ก่อนจะหยิบกล่องเงินขนาดเล็กออกจากอกเสื้อด้วยความระมัดระวัง และวางมันลงบนยอดตึกที่เขากำลังซ่อนตัวอยู่
ทันทีที่กล่องเล็กๆ ถูกวางลง มันก็เปลี่ยนรูปร่างและหายวับไปทันที
ชายสวมแว่นยักไหล่ ก่อนจะหยิบสมองควอนตัมขนาดจิ๋วขึ้นมาและกล่าว “เอาล่ะ เปิดข้อมูลของพนักงานในบริษัทหุ่นรบกังเตี๋ยแห่งฉางหนิงให้ฉันดูหน่อย”
ข้อมูลส่วนบุคคลนับไม่ถ้วนแล่นผ่านสมองควอนตัม ก่อนที่ชายสวมแว่นจะคลิกลงบนภาพๆ หนึ่ง
เป็นภาพของเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าทรงเสน่ห์ เผยให้เห็นถึงพลังอันเหลือล้นของวัยรุ่น
“ใช่ นั่นแหละเขา”
ชายแว่นดำใช้สองมือพรมลงบนแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็ว ในที่สุดแถบดาวน์โหลดก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
สมองควอนตัมขนาดจิ๋วเริ่มอ่านข้อมูลส่วนบุคคลของกู่ฉิงซาน
ชายสวมแว่นก้มลงมาดูนาฬิกา พลางเอ่ยประชดประชัน “ใช้เวลาสิบห้าวินาทีถึงจะแกะรอยมาถึงฉัน ระบบป้องกันนี่มันขยะจริงๆ ตระกูลซูแห่งฉางหนิงดูจะไม่ค่อยใส่ใจพนักงานเท่าไหร่เลยสินะ”
หลังจากผ่านไปเพียงเจ็ดวินาที ขายสวมแว่นก็ดาวน์โหลดข้อมูลเสร็จสมบูรณ์และถอนตัวออกจากระบบป้องกันอย่างรวดเร็ว
เขาคลิกลงตรงข้อมูลส่วนตัวของกู่ฉิงซาน และเลื่อนมันลงไปดูข้อมูลชีวภาพและข้อมูลการใช้ชีวิตของอีกฝ่าย
“กู่ฉิงซาน เจ้าหนูนายไม่มีทางหนีพ้นหรอก”
ชายสวมแว่นยิ้ม ก่อนจะใส่ข้อมูลส่วนบุคคลของอีกฝ่ายลงไปในหุ่นยนต์เฝ้าระวัง
ในช่วงเย็น กู่ฉิงซานก็เสร็จสิ้นการวิจัยของวันนี้ เขาได้รับอาหารเย็นที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้ ก่อนจะออกไปเดินเล่นในสนามเทียมของบริษัท
เงยหน้ามองขึ้นไปบนฟากฟ้ายามค่ำคืน ดวงจันทร์แขวนเด่นอยู่กลางฟ้า ดวงดาวเปล่งประกายราวกับเพชร
สายลมเย็นสดชื่น นี่ช่างเป็นค่ำคืนที่ดี
กู่ฉิงซานนั่งลงอย่างเงียบๆ ก่อนที่จะขับเคลื่อนพลังวิญญาณในตันเถียน และสั่งมันให้เข้าปกคลุมทั่วดวงตา
ทันใดนั้นฉากเบื้องหน้าก็พลันเปลี่ยนไป ควันสีเทาเข้มลอยล่องราวกับผ้าไหมอยู่บนท้องฟ้า มันพลิ้วไหวอยู่อย่างเงียบๆ
กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว
บรรยากาศสีเทาเข้มเช่นนี้ เป็นกลิ่นอายของโลกใต้ดิน เงื่อนงำของวันสิ้นโลกได้ปรากฏขึ้นแล้ว
“เหลือเวลาน้อยกว่าหนึ่งปี” กู่ฉิงซานพึมพำ
เขาลุกขึ้น ก่อนจะเดินกลับไปยังห้องพักส่วนตัวที่บริษัทจัดเตรียมเอาไว้ให้
นับตั้งแต่เมื่อคืนวาน นี่ก็เป็นเวลาเกือบทั้งวันแล้ว นับตั้งแต่ที่เขากลับมาจากต่างโลก
กู่ฉิงซานเปิดหน้าต่างตัวละครในเกมขึ้น และมองไปยังนาฬิกาทรายด้านบน
และในเวลานั้น ก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่เม็ดทรายเม็ดสุดท้ายร่วงลงมา
ปรากฏม่านแสงกะพริบวาบ และร่างของกู่ฉิงซานก็หายตัวไปจากในห้อง
ในตอนเช้าตรู่
กู่ฉิงซานยืนอยู่ใต้ชายคา ดูเหมือนว่าจะทิ้งช่วงเพียงพริบตา เขาก็ได้กลับมายังต่างโลกอีกครั้ง
นอกค่าย ร่างของมารอสูรยังคงนอนอยู่บนพื้นและบาดแผลที่ถูกเจาะทะลวงโดยลูกศรก็ยังคงถูกปกคลุมไปด้วยเลือด
ในขณะที่กู่ฉิงซานพบว่าตนกำลังถือคันธนู และอยู่ในท่วงท่าคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ตั้งท่ายิงหันไปทางนอกประตูค่ายทหาร
ทุกอย่างดูเหมือนเช่นเดิมราวกับว่าเขาไม่เคยจากไปไหน
กู่ฉิงซานยืนขึ้นและตะโกน “จ้าวหลิว!”
สิ้นเสียง กลับไม่มีการตอบรับใดๆ
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะตะโกนอย่างหมดหนทาง “จ้าวหลิว ฉันจัดการมันเรียบร้อยแล้ว ออกมาสักที!”
หลังจากที่รออยู่สักพัก จ้าวหลิวที่กำลังตัวสั่นงันงกก็มาหยุดอยู่เบื้องหลังกู่ฉิงซาน
เขาจะชะโงกหน้ามองลอดผ่านไหล่ของกู่ฉิงซานออกไป
“มันตายแล้วหรือ?”
“ตายแล้ว เอาล่ะนายไปช่วยกันแบกมันกับฉัน”
จ้าวหลิวจ้องมองมารอสูร ก่อนจะหันกลับมามองกู่ฉิงซานอีกครั้ง จากนั้นก็แลบลิ้นแล้วกล่าว “พี่กู่ ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าพี่แข็งแกร่งขนาดไหน”
กู่ฉิงซาน “หยุดพูดไร้สาระ ไปเอาเครื่องมือมา แล้วพวกเราไปช่วยกันแบกเจ้ามารอสูรนั่นกลับมาในค่าย”
จ้าวหลิวกลับมาฮึกเหิม เขามองไปที่มารอสูรแล้วกล่าว “แม่เจ้า มันตัวใหญ่ชะมัด ตัวขนาดนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเราไม่อดตายไปตลอดทั้งเดือน”
กู่ฉิงซานพยักหน้า ในหัวใจของเขาก็คลายความกังวลลงเช่นกัน
เนื้อของมารอสูรนั้นอุดมไปด้วยเลือดและปราณที่คนธรรมดาสามารถกินมันได้ นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อให้แข็งแรง และมีประโยชน์ช่วยให้พลังปราณแข็งแกร่งขึ้นด้วย
ร่างกายของกู่ฉิงซานได้รับการรักษาด้วยเม็ดยาฟื้นฟูสองเม็ด และทันทีที่เขากลับไปสู่โลกจริงเขาก็ต้องต่อสู้ถึงสองครั้ง หนึ่งในนั้นเป็นถึงหวูเต๋าระดับปรมาจารย์นักสู้ ทั้งหมดนี้ทำให้เขาอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ
ในขณะนี้ กู่ฉิงซานสามารถตรวจจับความเจ็บปวดที่ซ่อนในร่างกายได้แล้ว
มันเป็นบาดแผลที่พึ่งได้รับการรักษา และดูเหมือนจะปริออกเล็กน้อยอีกครั้ง
ในกรณีนี้ หากสามารถกินเนื้อมารอสูร และพักผ่อนสักเล็กน้อย มันจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อร่างกาย
จ้าวหลิววิ่งเข้าครัวอย่างว่องไว ก่อนจะกลับมาพร้อมถุงตาข่ายขนาดใหญ่ เชือกยาว มีดแล่เนื้อเลาะกระดูก และเครื่องมืออื่นๆ
เมื่อทั้งสองพร้อม พวกเขาก็เดินออกไปนอกค่ายทหาร
ระหว่างเดินกู่ฉิงซานก็เอ่ยถามว่า “พวกคนตายที่อยู่ในบ่อกักศพหน้าค่าย ทำไมถึงไม่ฝังล่ะ? อย่างไรเสียก็ยังนับว่าเป็นพวกเดียวกัน”
จ้าวหลิวบ่นอย่างไม่พอใจว่า “ก่อนหน้านี้หัวหน้า สิบโท เขาไม่คิดจะสนใจเรื่องอะไรเลย ส่วนฉันก็เป็นแค่คนครัว ถ้าฉันออกมาขุดหลุมด้วยตัวเอง ในกรณีที่มอนสเตอร์โผล่ออกมา ฉันคงตายอย่างไม่ต้องสงสัย”
จ้าวหลิวชะงักไปครู่หนึ่ง เขาเผยลังเลออกมา แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ
กู่ฉิงซานตบบ่าอีกฝ่ายและกล่าว “ไว้พวกเราลากเจ้ามารอสูรนี่กลับค่ายเสร็จซะก่อน จากนั้นฉันจะไปช่วยนายขุดหลุมฝันศพ เผ่ามารบางจำพวกสามารถมองทะลุข่ายอาคมอำพรางเข้าไปในค่ายได้ทหาร ถึงเวลานั้นทั้งนายและฉันก็คงตายในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที”
กู่ฉิงซานกล่าว “กลิ่นอายของเลือดในบ่อกักศพมันหนาแน่นและรุนแรงเกินไป มันอาจจะดึงดูดพวกมารที่แข็งแกร่งมาก็ได้ ”
“นี่...ตกลง ฉันจะทำ!”
จ้าวหลิวคิดเกี่ยวกับฉากนี้ และในที่สุดก็กัดฟันตอบ
พวกเขาเดินไปที่ประตูค่ายทหาร ขณะที่จ้าวหลิวกำลังยกขาได้เพียงก้าวเดียวและเตรียมจะออกจากค่าย จู่ๆเขาก็ถูกกู่ฉิงซานกระชากหลังคอเสื้อกลับมา จนล้มลงกับพื้น
จ้าวหลิวกล่าวด้วยความโกรธ “พี่กู่ นี่นายทำอะไร?”
กู่งฉิงซานยกมือขึ้นและส่งสัญญาณให้เงียบ
จ้าวหลิวยังต้องการจะบ่นต่อ แต่เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของกู่ฉิงซาน หัวใจของเขาก็เต้นครึกโครม และกลืนคำถามกลับลงคอฉับพลัน ไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก
เขาลุกขึ้นและกระซิบถาม “เกิดอะไรขึ้น”
กู่ฉิงซานชี้ไปยังแอ่งน้ำนอกค่าย
หลังจากพายุฝนโหดกระหน่ำมาหลายวัน จนพื้นดินถูกกัดเซาะ เลยเกิดแอ่งน้ำน้อยใหญ่ขึ้น
แต่แล้วจู่ๆ ฝนก็หยุดตกลงอย่างกะทันหัน ทว่าน้ำในหลุมกลับยังไม่หยุดกระเพื่อม เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างสั่นสะเทือนอยู่เบื้องล่าง
กู่ฉิงซานดึงจ้าวหลิวกลับมา ก่อนจะถอยไปกว่าเจ็ดถึงแปดก้าว
ภายนอกค่ายยังคงเงียบสงบ
หลายสิบลมหายใจต่อมา น้ำในบ่อก็สงบลง มันหยุดกระเพื่อมในที่สุด
จ้าวหลิวที่กลั้นหายใจมาเป็นเวลานาน แต่ก็ยังไม่พบเห็นสิ่งใดผิดปกติ ในเวลานี้เขาก็ถอนหายใจออกมา และเอ่ยปากยิ้ม
แต่ก็ทำได้เพียงเอ่ยปาก คำกล่าวใดๆ ยังไม่ทันหลุดรอดออกมา
กู่ฉิงซานก็เอามือปิดปากอีกฝ่าย และวิ่งออกไปหลายสิบจั่งในหนึ่งลมหายใจ จนกระทั่งหยุดลงที่อีกด้านหนึ่งของค่าย
กู่ฉิงซานนาบตัวลงไปในพื้นโคลน จากนั้นเขานอนกลิ้งไปมาบนพื้น และยังคงโปะโคลนดำลงบนร่างกายไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
น้ำฝนที่ตกลงมาหลายวันทำให้ดินอ่อนนุ่ม กู่ฉิงซานคว้ามันขึ้นมากำใหญ่ ก่อนจะโปะใส่จ้าวหลิว ลากอีกฝ่ายหมอบลงกับพื้น และส่งสัญญาณให้ทำเช่นเดียวกันกับเขา
แม้ว่าจ้าวหลิวจะเป็นพวกหัวหน้าคนครัว แต่เขาก็มีงานมากมายให้ทำในแต่ละวัน ทว่าหลังจากทั้งหมดนี้ จ้าวหลิวไม่เคยต้องมาทำอะไรที่น่าเวทนาเช่นนี้เลย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้น
ทันทีที่ก้มหัวลง เตรียมที่จะปัดโคลนออก จู่ๆเขาก็สัมผัสได้ถึงอันตรายบางอย่างจนทั้งร่างสั่นสะท้าน
มือทั้งสองของจ้าวหลิววางนาบลงกับพื้น เขารู้สึกได้ว่ามันกำลังสั่นไหว และด้วยความแข็งแกร่งของเขาที่ไม่มีพลังวิญญาณ ส่งผลให้ตัวเขาไม่อาจลุกขึ้นได้
พื้นโลก สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
จ้าวหลิวอ้าปากค้างด้วยความตื่นตระหนก ก่อนจะทิ้งตัวลงจมไปในโคลนอีกครั้ง
มังกรดินกำลังพลิกตัวใช่หรือไม่?
จ้าวหลิงหันไปมองกู่ฉิงซานด้วยความสงสัย แต่ก็เห็นว่าอีกฝ่ายเพียงจับจ้องไปยังทิศทางของบ่อกักศพ และผิวตรงแอ่งน้ำ
จ้าวหลิวมองตามสายตาของกู่ฉิงซาน ก่อนจะเห็นสิ่งหนึ่งที่เขาต้องจดจำมันไปชั่วชีวิต
มันคือเท้า!
เท้าขนาดยักษ์ที่ใหญ่พอจะบดบังได้ทั้งสายตา เพียงขนาดของมันใหญ่โตยิ่งกว่าค่ายทหารถึงหลายเท่า
เท้าดังกล่าวเหยียบลงบริเวณผืนป่านอกค่ายทหาร และต้นไม้ทั้งหมดก็ถูกขยี้บดลงกับพื้น
เบนสายตาตามเท้าสูงขึ้นไป ปรากฏชั้นเมฆสีทะมึน ไร้ที่สิ้นสุด
จ้าวหลิวจ้องฉากนี้อย่างโง่งม เวลานี้เขาเข้าใจแล้วว่านี่มันมิใช่มังกรดินพลิกกลับ แต่เป็นที่ชัดเจนว่ามันคือเท้าข้างหนึ่งที่ตกลงบนพื้น จนส่งผลกระทบให้พื้นโลกสั่นสะเทือนไม่รู้จบ
ฉากตรงหน้านี้มันจะบ้าเกินไปแล้ว!
........................................