webnovel

อิทธิพลของสื่อ

" ยกมือขึ้น ! " คำสั่งยุนเจอีดังขึ้นมาพร้อมกับปืนในมือกำลังเล็งเข้าหาสองพี่น้องคังจูวอน คัวมินจุน แต่ว่าพวกเขาสองคนก็ยอมยกมือขึ้นเหนือหัวหลังจากก้าวออกมาจากรถตู้คันสีดำขณะเข้ามาจอดภายในโรงจอดเครื่องบิน
" เธอ! หักหลังพวกเรา !!" คังจูวอนมองยุนเจอีในขณะที่ชูมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือหัว และพวกเขายังต้องมาตกอยู่ในวงล้อมมือปืนอีกราวๆ สิบกว่าคนภายในโรงเก็บเครื่องบินที่เริ่มทยอยโผล่กันเข้ามา
" คนพวกนี้..! " คังมินจุนกำลังมองและถามยุนเจอีอย่างสงสัย
" อาซาลาจริงๆ ใช่ไหม คนพวกนี้" และจ้องตาของยุนเจอีไม่ยอมหยุด แต่ว่ายุนเจอีกลับไม่ยอมสบตา จนกระทั่งพวกเธอได้ยินเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มๆ หนึ่งเดินเข้ามา
ยุนเจอีกับคนอื่นๆ ยังคอยหลีกทางให้และก้มหัวโค้งทำความเคารพผู้ชายแก่ๆ หัวขาวโพนที่เดินถือไม้เท้าแกะสลักที่หัวเป็นตัวมอมหากดูเผินๆ ก็ดูคล้ายสิงโตมีแววตาดั่งเสือลำตัวยาวเฉกเช่นงูมีเกล็ดสามเหลี่ยม
" นี่นะเหรอ คนของหน่วยงานข่าวกรองเกาหลีใต้ " ชายแก่ถือไม้เท้าเดินเข้าไปยืนใกล้ๆ พวกเขา แต่ว่าก็ยังทักทายกันอย่างยิ้มแย้ม
" คังจูวอน คังมินจุน พวกเขาสองคนทำหน้าที่เป็นพ่อบ้านให้พัคแทซันค่ะ ท่านอาวุโส " ยุนเจอีกล่าวคำรายงายด้วยความนอบน้อมต่อท่านอาวุโสของอาซาลา และพวกของเธอยังช่วยขนนำกล่องเก็บวัคซีนออกมาจากรถตู้
" ยุนเจอี ! เธอคิดจะทำอะไรกับวัคซีนอยู่กันแน่ ! " คังมินจุนพยายามที่จะเข้าไปขวางแต่ก็ถูกพวกของเธอเข้าลากตัวของพวกเขาออกไป
" ตั้งสติหน่อยสิ!! ยัยโง่ !! " คังมินจุนที่ยังพยายามยื้อหยุดฉุดกระชากไม่ยอมให้คนของยุนเจอีจับตัวพวกเขาเอาไว้ แต่ในขณะที่พี่ชายของเขาได้แต่ยืนมองอยู่นิ่งๆ
ยุนเจอีพยายามหลบสายตาและพยายามไม่มองพวกเขา และเธอยังสั่งพวกนั้นให้เปิดกล่องเก็บวัคซีนเชย์รีส และชายแก่ก็คอยถือไม้เท้าเข้ามาหยุดและก้มดูสิ่งของภายในกล้องที่ๆ บรรจุหลอดวัคซีนฝาพลาสติกสีแดงปิดผนึกด้วยสัญลักษณ์ภาษาอังกฤษตัวใหญ่ chryses !
" หึๆ " รอยยิ้มของชายชรายิ่งดูก็ยิ่งพอใจที่ได้เห็นวัคซีนที่ประสบผลสำเร็จแล้วจริงๆ
" จัดการได้ดีๆ " และยังคอยแต่จะชื่นชมยุนเจอีที่สามารถทำงานได้ยอดเยี่ยม เพราะฉะนั้นเธอก็เลยหันไปออกคำสั่งให้คนอื่นๆ นำกล่องวัคซีนขนขึ้นไปไว้บนเครื่องบินที่จอดรออยู่ที่ด้านนอก
แต่ว่าท่านอาวุโสยังคอยแต่จะเดินเข้าหาสองพี่น้องที่ถูกจับตัวและยังคงมีปืนจ่ออยู่ที่หัวพวกเขา แต่ว่ายุนเจอีเธอก็ยังต้องมองตาม
" ท่านอาวุโส ! จะจัดการกับพวกเขายังไงคะ " และอยากจะรู้ว่า อาซาลาจะกำจัดสองคนนั้นด้วยวิธีไหน
" หืมมม " ท่านอาวุโสของเธอพยักหน้าและยังมองพวกเขาสองคนที่ถูกเอาปืนจ่อหัวด้วยสายตาแห่งความหวัง
" พวกเราต้องประกาศให้โลกรู้ได้แล้ว...! " ท่านอาวุโสยังคงมองหน้าของสองพี่น้อง และไม่นานผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็รีบใช้เข็มฉีดยาจิ้มเข้าไปทีลำคอของคังมินจุนกับคังจูวอนจนสลบ
ยุนเจอีโค้งคำนับทำความเคารพผู้อาวุโส และเธอยังสั่งให้คนลากตัวของสองคนนั้นนำขึ้นเครื่องบินไปกับพวกเธอด้วย

พัคจินอูรีบร้อนถือกระเป๋าบรีฟเคสสีดำลงมาจากรถยนต์บริเวณท่าเทียบเรือ แต่ว่าชเวกียุลที่กำลังเดินลงจากรถคันเดียวกันก็ยังรีบร้อนเดิมตามและยังจะเข้ามาคอยขวางกันเอาไว้ก่อนที่ๆ พวกเขาจะลงเรือเฟอรรี่ที่จอดรอ
" พัคจินอู ! เธอแน่ใจจริงๆ ใช่ไหรือเปล่า " เขามองตามพัคจินอูเพื่อรอคำตอบ แม้ว่าความคิดๆ จริงกลับอยากให้เธอคิดทบทวนดูให้ดีๆ
เธอยืนนิ่งไม่ตอบ แต่ในใจก็รู้แล้วว่า เธอเองก็ควรจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง
" ถ้าวิธีของพวกเรามันผิดตั้งแต่แรก " และยอมหันมาสบตาของชเวกียุล
"ชีวิตของพวกเราทำไมต้องมาเจอกัน "
" ทั้งๆ ที่..พวกเราต่างก็รู้ดีว่า ความสัมพันธ์จะลงเอยยังไง" พัคจินอูสบตาของเขาอยู่แต่ภายในใจกลับอ่อนไหว

" ก็ดี ! " คำตอบของชเวกียุลที่ตรงกับใจ
" เข็มแข็งเอาไว้ แล้วเธอจะไม่เสียใจกับมันอีก " และเขาบอกเธอก่อนที่จะหันหลังและรีบเดินลงเรือเฟอรรี่ที่ตอนนี้พวกเจ้าหน้าที่ของเขากำลังรออยู่

เรื่องราวเมื่อสามวันก่อน
" แน่ใจได้ยังไงว่าแผนของนายจะได้ผล ! " พัคจินอูนั่งอยู่บริเวณบาร์ภายในคอลเทลเลาจ์ของโรงแรม และชเวกียุลยังถือแก้ววิสกี้แกว่งไปมานั่งอยู่เก้าอี้บาร์ตัวสูงติดๆ กัน
แต่ว่าเขาก็มัวแต่ตั้งใจฟังเพลงจากนักร้องสาววัยรุ่นสวมชุดราตรีสีแดงเพลิงโดดเด่นอยู่บนเวที เพราะว่าบทเพลงท่วงทำนองโซลที่พริ้วไหว และที่สำคัญความหมายแฝงในบทเพลงซิ ! ที่กินใจมากซะกว่าจนทำให้เขาแทบไม่ได้ยินเสียงรบกวนรอบข้าง และเขาที่ฟังอยู่นานจนกระทั่งพัคจินอูก็ยังหันมองตามบนเวที และฟังเพลงไปพร้อมกัน มิหนำซ้ำมันก็ยังเป็นเพลงรักที่แสนหอมหวานจากนักร้องสาวสวยที่ๆ เธอขับกล่อมรำพึงรำพันความรักที่แสนยาวนานจนกระทั่งจากลา แม้ระหว่างทางต้องเจอบททดสอบหฤโหด และบางครั้งต้องใช้ระยะทางเพื่อพิสูจน์ แต่สุดท้ายความรักก็ยังอยู่คู่เราตลอด..ไป และก็ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์สุราจริงๆ หรือเปล่าที่ทำให้เขาเผลอขยับเข้าหาพัคจินอู และระหว่างที่เผลอเข้าใกล้กันและมองสบตาของพัคจินอูเพียงเสี้ยววินาที ความโกรธแค้นอันแสนยาวนานก็ใกล้จะถล่มลงบนตักของพัคจินอูไปซะแล้ว
และคงเป็นเพราะบรรยากาศสลัวกอปรกับแสงไฟสีส้มริบหรี่ แล้วก็บทเพลงเคลิบเคลิ้มนั้นด้วยหรือเปล่าได้พลอยทำให้เธอได้เผลอมองสบตาของชเวกียุลได้นาน และก็คงนานมากพอๆ กับดวงตาที่ส่องประกายของชเวกียุลจะทำลายตัวตนของตัวเธอไปเป็นของ...เขาเข้าจนได้ !

" คืนนั้น .." เสียงชเวกียุลที่เหมือนเพิ่งจะกระซิบอย่างแผ่วเบาอยู่ใกล้ๆ" ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรก็ตาม..." และเสียงกระซิบที่ดังใกล้กันขึ้นอีก และยิ่งกว่านั้นชเวกียุลก็ยังคงเผลอเฝ้ามองสบตาของเธอไม่ยอมห่างจนมองเห็นเหมือนพัคจินอูก็ยินยอมจะสละดวงตานั้นให้มาได้ง่ายๆ
ระหว่างที่ชายหญิงได้สบตากัน และแสงไฟสาดส่องสลัวอย่างเต็มใจกับกลิ่นอายบางเบาของแอลกอฮอล์บวกด้วยบทเพลงอันอบอวลหอมหวาน..
" คืนนั้น..." และเสียงแผ่วเบาของเธอก็เช่นกันที่แววผ่านเข้าไปใกล้ๆ
"ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น..." คำตอบคล้ายเสียงกระซิบจากพัคจินอูยังคงก้องกังวาลสำหรับเขามากอยู่ดี
และเมื่อบทเพลงบรรเลงผ่านไปใกล้ถึงตอนจบ แต่ทว่าสายตาระหว่างชายหนุ่มและหญิงสาวคู่นั้นก็ยังเกิดขึ้นซ้ำๆ และถ้าหากจะให้พร่ำพรรณนาสายตาทั้งสองคู่นั่นของพวกเขาก็คงจะเหมือนบทเพลง...นั่นนั้นแหละ

" คิดอะไรอยู่ ! " ชเวกียุลที่มองเห็นพัคจินอูยืนเหม่ออยู่ที่ท้ายเรือเฟอร์รี่ในเวลาใกล้ๆ ตอนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า และพวกเขาสองคนก็ยังมองไปเห็นแผ่นดินใหญ่เริ่มทยอยสว่างไสวก็ด้วยแสงไฟจากตึกสูงและถนนลิบๆ
"เปล่า ! " พัคจินอูโกหก และก็ยังรีบเหลียวหันจะเดินหนีไป แต่ว่าอยู่ๆ ก็มีไออุ่นๆ จากฝ่ามือของเขาเข้ามาขวางไว้ เขาคว้าแขนของเธอเอาไว้ แต่วินาทีนั้นก็ยังคงได้แต่หลบสายตา
" ถ้าเปล่าคิดอะไรอยู่จริง " และคราวนี้เขาที่กล้าหันกลับมา และแม้ว่าพัคจินอูยังคงหันไปมองทางอื่นๆ
" เธอ ! จะไม่เดินหนีฉันไปแบบนี้ " เขาถาม และยังตรึงแขนกันไว้
เธอเลยต้องยอมๆ ที่จะหันกลับมา และมองสายตาของชเวกียุล
" จะให้ฉัน ! พูดคำว่าขอบคุณ " และยังกลั้นความรู้สึกกลัวในขณะที่พูด
" ถ้าอย่างนั้น ฉันขอไม่พูดซะยังดีกว่า " เธอปฏิเสธและโกหกความรู้สึกจริงๆ แต่ทว่าตัวเองก็ยังแทบจะไม่กล้าผละออกมาได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังจะรั้งเธอเอาไว้จากที่ๆ เคยรั้งดึงแขนก็กลับเลื่อนลงมาเรื่อยจนถึงฝ่ามือ
และเขายังมองลงมาที่ฝ่ามือของพัคจินอูอย่างเจ็บปวดจริง

" ก็เพราะว่า..."

" ฉันต้องการพิสูจน์ เรื่องราวระหว่างเรา ! " จนแล้วจนเล่าเขาก็ไม่อยากพูดโกหกกันอีกต่อไป และหัวใจที่กำลังเต้นตุบๆ รัวๆ ก็แค่ยืนใกล้

" คืนนั้น..." และเธอที่กำลังค่อยๆ เรียบเรียงคำอธิบายอย่างระมัดระวังก่อนจะพูดมันออกไป และยังนึกถึงคืนๆ นั้นที่บาร์ของโรงแรม
" แม้ว่านาย ! จะทำให้ฉันกลับมามองเห็นอนาคต แต่ว่า ! " เธอที่ไม่อยากจะคิดถึงเรื่องของคืนๆ นั้นขึ้นมาอีกแล้ว

"เรื่องอดีตของเรา"

" ไม่ว่าตอนนั้นเราสองคนจะตั้งใจให้เกิดขึ้น หรือไม่..."

" แต่อนาคตนับจากนี้ ! " เธอที่ก็แทบไม่กล้ามองสบตาของชเวกียุลได้นานเท่าๆ ที่ใจอยากจริงๆ " ฉัน ! ก็คงจะไม่ !!! " เสียงตอบสั่นๆ ที่เริ่มจะกระท่อนกระแท่น

" เธอตัองชดใช้ !! " เขาไม่อยากฟังเสียงตัดพ้อจนหันมาตัดบท และยังจะคว้าดึงตัวเธอเข้ามาใกล้

" จินอู ! " เขากัดฟันพูด และยังคอยจ้องเธอไม่วางตา

" เธอต้องได้ชดใช้ทั้งชีวิต !! " และเขาที่ในใจคิดอยากจะขย้ำพัคจินอูให้แหลกคามือ

"ฉันรอนายมาตลอด ! " และในขณะที่เธอที่ก็แทบไม่ขัดขืน และยังกล้าหาญมากพอถ้าหากว่าจะต้องถูกขย้ำทั้งร่างกายแล้วก็ใจ

" ก็เพื่อจะชดใช้ !! " เธอจ้องสบตาของเขาและก็ไม่คิดจะหลบสายตา และถึงแม้ว่ามีบางครั้งบางเสี้ยววินาทีน้ำตาที่อยากจะไหลออกมาซะให้ได้

" แก้แค้นฉันเลยสิ !! "

" แก้แค้นฉัน ! ชเวกียุล ! " เธอเปล่าท้าทาย

" เธอจะต้องเจ็บปวดมากเป็นร้อยเท่า ! " เขาขบริมฝีปากตัวเองเบาๆ แต่ก็ยังจ้องเธอไม่หยุด" อย่าคิดว่าเรื่องวัคซีน "

" มันจะทำให้ฉันให้อภัยคนอย่าง ...ฮงซอกดู ! " เขาจ้องเธออีกเป็นครั้งสุดท้าย และก็ตัดใจปล่อยตัวเธอออกไป

แต่ในที่สุดเธอก็กลั้นน้ำตาต่อหน้าของเขาไม่ได้จริงๆ

ชเวกียุลที่ก็เกือบจะเผลอก้าวเข้าไปหา แต่ที่สุดแล้วก็ทำได้แค่ๆ เป็นฝ่ายเดินจากกันไปเงียบๆ

" หัวหน้าทีม ! " คนในเรือเฟอร์รี่ที่กำลังออกมาตามหาชเวกียุล

" เจ้าหน้าที่ของไทยเพิ่งจะแถลงข่าว " และสีหน้าตื่นตกใจของคนที่เข้ามารายงาน ชเวกียุลกับพัคจินอู และรวมทั้งเจ้าหน้าที่สหรัฐและเกาหลีคนอื่นๆ ราวร่วมสิบคนภายในเรือเฟอร์รี่จึงได้มารวมตัวกันภายในห้องโถงและดูการถ่ายทอดสดของสำนักงานข่าวจากประเทศไทย โดยคนที่แถลงข่าวก็คือ ผู้หญิงไทยอายุราวหกสิบปีคนๆ นั้นที่ทั้งพวกของชเวกียุลและก็พัคจินอูเจอเมื่อสองอาทิตย์ก่อน และยังเป็นการแถลงข่าวจากสำนักงานของหน่วยข่าวกรองของประเทศพวกเขา แต่ว่าเนื้อหาโดยสรุปก็คือ เจ้าหน้าที่สาธารณะสุขของไทยได้พบผู้ป่วยนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้สองคนที่มีอาการคล้ายติดเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่าเยอร์ซีเนีย แต่ก็ยังมีอาการคล้ายคลึงกับผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสซาร์ และเวลานี้ทางการไทยกำลังเร่งหาสาเหตุ

" ฝีมือยุนเจอี !! " เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรายงานชเวกียุล และพวกเขาทุกๆ คนก็ต่างรู้สึกกังวล

" แล้วทีนี้ พวกเราจะทำยังไง " และเจ้าหน้าทีคนเดิมยังคอยเดิมเข้ามาและตั้งคำถามระหว่างหัวหน้าทีมของเขา และก็ยังรอคำตอบจากเธอ

" ตอนนี้อาการของสองพี่น้องยังคงไม่รุนแรงมากเท่าไหร่ " ชเวกียุลที่อยู่ก็มีสีหน้ากังวลขึ้นมากกว่าเดิมจนต้องมองสีหน้าของพัคจินอูไปด้วย

" หวังว่า วัคซีนเชย์รีสจะได้ผล !! " เขาเอาแต่มองเธออย่างมีความหวังกับการใช้วัคซีน

พัคจินอูกังวลจนต้องคอยหลบสายตาของพวกเขา

" ถ้ายังปล่อยให้คนพวกนั้น ใช้คนเป็นเครื่องมือในการทดลองใช้อาวุธ " แต่เธอก็ยังต้องการบอกสิ่งที่ตัวเองรู้

"จะต้องมีอีกกี่ครั้งกัน ที่จะต้องเกิดเรื่องพวกนี้ "

" เพราะไม่นาน..เราก็ต้องตาย "

" เชย์รีส !! " แต่ว่าเมื่อพูดถึงวัคซีนแววตาของพวกเธอก็ยังมีความหวัง

" อาจจะช่วยให้พวกเรารอดตายก็อาจจะเป็นไปได้ ! " จนในที่สุดเธอก็กล้าหันมาและมองพวกเขา และรวมถึงคนที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ อย่างมั่นใจมากขึ้น

" ท่านแม่ทัพ !! " และคังกุกชอลที่ยังคอยพยายามขัดขวางแผนการของฮงซอกดูบริเวณหน้าถ่ำใกล้แม่น้ำยามดึก และถึงแม้ว่าข้างในภายในถ่ำจางอูรินยังคงช่วยบรรเทาอาการไข้สูงของคนร้ายอยู่ก็ตาม

" ทำแบบนี้มันเสี่ยงอันตรายเกินไป "

" ไม่เพียงแต่ท่านหมอหญิงจะได้รับอันตราย แต่ถ้าหาก ! " คังกุกชอลที่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกถึงอันตรายที่เหมือนจะใกล้เข้ามา

" ท่านจองคีนัม ! นางก็คงไม่มีทางปล่อยคุณหนูเอาไว้แน่ !! " และกุกชอลที่กำลังพูดถึงจางอูริน

" ข้ารู้ !! " ฮงซอกดูบอกกุกชอล แต่ก็ยังมีท่าทีหนักอกหนักใจไปไม่แพ้ลูกน้องคนสนิท" แต่ถ้ายังปล่อยให้โรคร้ายแพร่ระบาดออกไป เห็นที ! "

" วังหลวงก็คงหนีไม่พ้น !! "

" แต่ก็น่าแปลก !! " อยู่ๆ เขาก็กลับคิดขึ้นมาได้เรื่องๆ หนึ่งจนต้องเหลียวหันไปมองกุกชอลและจนเลยมองเข้าไปในถ่ำ และที่พวกเขายังคงเห็นจางอูรินเช็ดเนื้อตัวให้กับคนร้ายอย่างไม่รังเกียจ" แม้กระทั่งรู้ว่า ตนเองเป็นโรคร้าย "

" แล้วทำไม ! "

" ชนเผ่าทางเหนือถึงได้มาโผล่ที่นี้ !! " เขาที่ยังคิดเท่าไหร่ก็ยิ่งนึกถึงความไม่ชอบมาพากล

" คุณหนู !! " คังกุกชอลหันไปมองเห็นว่า จางอูรินกำลังเดินออกมาจากในถ่ำ

" อาการของคนร้ายยังคงทรงตัว แต่ถ้าหากไม่รีบหาหมอมารักษา

" หล่อนเดินเข้ามาหาพวกเขาด้วยสีหน้าคร่าตาที่เป็นห่วงและกังวลเกี่ยวกับคนร้าย

"ก็คงมีชีวิตไม่พ้นคืนที่สามเป็นแน่ "

หล่อนยังคงกังวล

" ข้ากับกุกชอลกำลัวคิดว่า อาจจะต้องไปหาหมอมารักษาจากที่อื่น " ฮงซอกดูบอกวิธีของพวกเขา

" แต่ว่า ข้าก็กลัวว่ามันอาจจะสายเกินไป " หล่อยแย้ง

" ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้เขาตายจะยังดีซะกว่า " คังกุกชอลที่ยังคงคัดค้านพวกเขาสองคน

" ไม่ได้เด็ดขาด !! " เพราะฉะนั้นหล่อนถึงได้หันไปห้ามคังกุกชอลทันทีทันใด

" แต่ว่าคุณหนู ถ้าขืนเราปล่อยเขาไว้ พวกเราก็อาจจะพลอยติดเชื้อร้าย " แต่กุกชอลที่ยังคงเห็นต่าง

" เอาเป็นว่า ข้ารับปากเจ้า ! " แต่ว่าเขาก็รับปากของจางอูริน และยังต้องคอยหันไปห้ามปรามเพื่อไม่ให้กุกชอลเสียมารยาทจนทำให้กุกชอลต้องยอมก้าวและถอยออกมายืนห่างๆ

" ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ข้าก็จะหาหมอมารักษาเขาให้จงได้ " และเพราะว่าเขาเข้าใจความรู้สึกของจางอูรินดีหล่อนพยักหน้าและโค้งคำนับเพื่อแทนคำขอบคุณ และเขาก็ยังหันไปสั่งให้คังกุกชอลไปตามหาหมอมารักษาให้ทันท่วงที แต่หลังจากที่ทหารคนสนิทของฮงซอกดูออกไปแล้ว ฮงซอกดูที่กำลังพาจางอูรินเดินออกมาจากถ่ำจนถึงบริเวณหาดทรายริมแม่น้ำกลางดึก และถึงแม้จะเป็นค่ำคืนเดือนมืด แต่ที่น่าแปลกก็คือดวงจันทร์กลับส่องแสงอย่างสวยงาม

จางอูรินอดไม่ได้ถึงกับหยุดมองและชื่นชมความงดงามของจันทรา แต่ครั้นพอไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของจางอูริน และมันทำให้เขาต้องหยุดเดินและค่อยๆ หันกลับมาและยังต้องคอยแอบมองแต่ทว่าฮงซอกดูกลับไม่ได้สนใจพระจันทร์บนท้องฟ้าแม้แต่น้อย

" ข้าจำได้ว่า พระจันทร์ที่บ้านเกิดของเจ้างดงามมากเพียงใด " และจนกระทั่งต้องหาเรื่องราวมาคอยกลบหล่อนยิ้มกว้างออกมา จนกระทั่งต้องเหลียวหันไปมองฮงซอกดู

" คืนนั้น..." และมิหนำซ้ำมันยังทำให้หล่อนหวนนึกถึงความทรงจำหนแรกที่ทำให้รู้จักกับบุรุษชื่อ ฮงซอกดู

" ทำไม ! "

" ท่านถึงทำแบบนั้น ! " และถึงกระนั้นหล่อนก็ยังอยากใคร่รู้ว่าจริงๆ แล้ว เหตุใดเขาถึงได้กระทำเช่นนั้นกับตน

" หึๆ " และเสียงหัวเราะเบาๆ ของเขาก็ดังขึ้นมา แต่ก็กลับไม่กล้าหันไปมองจางอูริน

" คืนนั้น...ข้า ! " แต่ว่าเขาก็ยังต้องฉุกคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนที่ได้เจอกับจางอูรินครั้งแรก

" ถ้าจะให้ข้าพูดจริงๆ แล้ว "

" ข้าก็แค่ไม่อยากเห็นคนที่มีฝีมือดี อย่าง...หน้ากากสิงโต ! อย่างเช่น..เจ้า " และคราวนี้เขาที่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะคอยหันแอบชำเลืองจางอูรินเป็นครั้งคราว

" หลุดมือข้าไป ! " ฮงซอกดูที่อยู่ๆ ก็เผลอพูดในสิ่งที่คิดอย่างไม่รู้ตัว และเมื่อรู้สึกตัวอีกที ครานั้นร่างกายของพวกเขาก็เหลือช่องว่างระยะห่างเพียงแค่ฝ่ามือเท่านั้น และไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดกันสายตาวิบวับเป็นประกายของจางอูรินมันใกล้จะทำให้ความมั่นคงหนักแน่นในใจตนเริ่ม..หวั่นไหว !