webnovel

พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่

ชเวกียุลกำลังเดินนำหน้าและพาเลขามินโดนฮยอน และพัคจินอูพาไปรู้จักกับแผนกต่างๆ ภายในตึกแห่งใหม่ของเอ็มดีฝั่งห้องแล็ปและห้องทดลองงานวิจัยต่างๆ แต่พอตอนที่พวกเขากำลังเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าลิฟต์ตัวในสุด พวกเขาพากันเดินเข้าไปข้างในลิฟต์ ชเวกียุลกลับแสดงอาการตื่นเต้นสุดๆ ตอนที่กำลังจะกดลิฟต์

" จริงๆ แล้ว " เขาหันไปมองแป้มพิมพ์กระจกเล็ก ๆ ที่อยู่ข้างๆ ที่ปุ่มกดลิฟต์ และลิฟต์ที่กำลังเลื่อนลงสู่ชั้นใต้ดิน

" การที่จะลงไปที่ห้องแล็ปของโครงการเชย์รีสได้ "

" จะต้องเป็นคนของเราเท่านั้น " เขาอธิบายพร้อมๆ กับวางนิ้วหัวแม่มือลงไปที่แป้นกระจกนั้น เลขามินและพัคจินอูที่ไม่ได้มีท่าทีสนใจอะไรมากนักกับสิ่งที่เขาอธิบาย เพราะระหว่างเลขามิน และพัคจินอูที่กำลังสนใจรายงานบนหน้าจอแท็ปแลตที่เลขามินกำลังยื่นแสดงให้ดู

" ต่อจากนี้ หลังจากพิธีเปิดศูนย์การแพทย์และแล็ปแห่งใหม่ของเรา " เขาที่พยายามอธิบายแทรกตลอดที่อยู่ในลิฟต์

" ฉันจะให้สิทธิพิเศษ ในฐานะที่เธอเป็นเลขาของฉัน " เขาอธิบายอย่างเต็มที่

" ให้เธอเข้าออกที่ชั้นใต้ดิน ที่นี้ ! ได้อย่างสบาย ๆ " เขาย้ำ ตอนนั้นเธอที่ได้ยินก็มีหันไปชำเลืองมองและก็กำลังคิดใจอยู่คนเดียวว่า ทำไมเขาถึงนิสัยยังเหมือนเด็ก ๆ ไม่มีมีผิด

แต่ถึงอย่างไงซะ ระหว่างเลขามินกับพิคจินอูที่พวกเขาสองคนยังคงปรึกษากันเรื่องรายงานของโครงของการเชย์รีสจนพวกเขาเผลอไม่ได้สนใจท่านรองประธานชเวกียุลของพวกเขาสักเท่าไหร่ จนกระทั่งประตูลิฟต์เปิด รองประธานชเวกียุลที่ยังคงหันมาอธิบายถึงที่มาที่ไปของห้องแล็ปโครงการเชย์รีสที่อยู่ชั้นใต้ดินสุดของตึกเอ็มดี

ชเวกียุลที่พาทั้งเลขามิน และเลขาหมาด ๆ ของพวกเขาค่อยๆ เดินดูสถานที่โดยรวมรอบ ๆ ของชั้นใต้ดินที่ถูกปรับแต่งขึ้นมาใหม่จากอุโมงค์ใต้ดิน

" เมื่อก่อน " และอธิบายไปด้วย

" ที่นี้เคยเป็นอุโมงค์ลับในช่วงระหว่างสงครามโลก "

" แต่ท่านประธานาธิบดีคนก่อนกลับเห็นว่า....ที่นี้พอจะมีประโยชน์มากกว่า "

" เพราะฉะนั้น ตอนที่ท่านประธานชเวกำลังเริ่มโครงการเชย์รีสเมื่อสี่ปีก่อน "

" ประธานาธิบดีคนก่อนก็เลยเสนอที่นี้ " เขาอธิบายไปเรื่อยๆ ระหว่างพาทุกคนมาทำความรู้จักโครงการเชย์รีส

" โอเคค่ะ งั้นตกลงตามนี้ " พัคจินอูที่เพิ่งจะหันไปดีลงานกับเลขามินเสร็จ และเลขามินก็รับปากเธอทันที

" อะไร " ชเวกียุลที่ยังคงยืนสงสัยกับท่าทีของพวกเขาสองคน ระหว่างเลขามินและเลขาของตัวเองที่ดูเหมือนไม่ได้สนใจในสิ่งที่เขาพูดเลยสักเท่าไหร่

" อะไร ! พวกคุณสองคนกำลังคุยอะไรกันอยู่ ! " เขารู้สึกไม่แฮปปี้เท่าไหร่ ที่คนที่ตัวเองพามารู้จักโครงการสำคัญกลับมีท่าทีที่เมินเฉยต่อคำพูดของเขา

" อ่อ ! " เลขามินพยักหน้า

" พวกเรากำลังดูบันทึกของห้องทดลองเมื่อเดือนที่ผ่านมา " และก็พยายามที่จะอธิบายกันเขา

" พอดีว่า "

" ในส่วนของวัคซีนยังพอเจอปัญหาอยู่ " เลขามินอธิบายพลางมองหน้าพวกเขาสลับไปๆ มา ๆ

" เราไปที่ห้องทดลองกันเลยดีกว่าค่ะ " และพัคจินอูที่ไม่อยากจะเสียเวลา และรีบเดินนำไปที่ห้องผลิตวัคซีนทันที เลขามินที่มองตามหลังเธอก่อนที่จะหันกลับมามองที่รองประธานของพวกเขา

" ไปกันเถอะครับ " เลขามินบอกและพยายามที่จะรีบเดินตามพัคจินอูไปติด ๆ และปล่อยให้รองประธานคนใหม่ได้แต่ยืนสงสัย

ชเวกียุลหัวเสียสุด ๆ ที่ไม่มีใครสนใจคำพูดของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเขาจำเป็นที่จะต้องเดินตามคนพวกนั้นไป

หน้าประตูห้องแล็ปหมายเลขที่สิบสี่

เจ้าหน้าที่ ๆ กำลังอธิบายผลข้างเคียงที่ยังคงเกิดขึ้นกับวัคซีนให้กับรองประธานคนใหม่ของเอ็มดีว่า วัคซีนเชย์รีส แม้วัคซีนจะเป็นวัคซีนสำหรับรักษาและป้องกันอาวุธชีวภาพ แต่ยังคงต้องพัฒนาเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะเวลานี้ผลค้างเคียงยังเกิดกับอาสาสมัครที่เข้ามาช่วยการวิจัยนี้ 2 อย่าง ก็คือ ผู้ทีได้รับเชื้อจากอาวุธชีวภาพไม่ว่าจะเป็นสารพิษ หรือ เชื้อโรคต่าง ๆ ผลค้างเคียงที่ร้ายแรงที่สุด คือ พวกเขาอาจจะป่วยด้วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงและโรคหัวใจที่จะตามมา

และกรณีที่สอง หากต้องใช้วัคซีนในปริมาณที่มากพอสมควรจนอาจจะทำให้ผู้ได้รับเชื้อเสียชีวิตก็ได้ แต่ในกรณีอื่นๆ หากผู้ได้รับเชื้อไม่ว่าจะมากเพียงใด วัคซีนเชย์รีสจะช่วยให้ผู้ได้รับเชื้อไม่เสียชีวิตในทันทีได้อย่างแน่นอน และนอกเหนือจากนั้นก็จะรักษาอาการของผู้ติดเชื้อตามอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างแน่นอน

ทีมหัวหน้านักวิจัยที่อยู่ชั้นใต้ดินของตึกเอ็มดีได้เดินออกมาส่งรองประธานชเวกียุล เลขามิน และพัคจินอูที่กำลังจะกลับขึ้นไปชั้นบน พวกเขารับปากที่จะพัฒนาวัคซีนเชย์รีสเพื่อต่อสู้กับอาวุธชีวภาพที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้ดีที่สุด ชเวกียุลขอบใจพวกเขาและได้พาเลขามินและพัคจินอูกลับเข้าไปในลิฟต์พร้อมกันและยังหันสแกนนิ้วที่แป้นลิฟต์เหมือนเดิม และพอประตูลิฟต์เปิดเลขามินกับชเวกียุลที่แทบจะเดินออกจากลิฟต์ไปแทบจะพร้อมๆ กัน แต่ว่าในตอนที่จะเดินออกจากประตูลิฟต์

" ลืมจนได้ ! " พัคจินอูกลับยื่นบ่นอยู่ที่ปากประตูลิฟต์

" เลขามิน "

" ฉันว่า เราลืมแท็ปแลตไว้นะคะ " เธอบอกและรีบเดินกลับเข้าไปข้างในลิฟต์ แต่ว่าชเวกียุลที่ทำท่าว่าจะเดินกลับเข้าไป

" ให้ฉันไปเอามาให้ดีกว่า " เขาที่กำลังจะก้าวข้ามประตู

" เดี๋ยวฉันกลับมานะคะ " พัคจินอูที่เพิ่งจะสแกนนิ้วมือบนแป้นพิมพ์พิเศษและประตูลิฟต์ที่ค่อย ๆ ปิดลง

ชเวกียุลคราวนี้ก็เลยได้แต่ยืนมองตาปริบๆ และเขาที่ค่อย ๆ หันไปสบตากับเลขามินโดฮยอนอย่างอารมณ์เสียเป็นที่สุด และเลขามินโดฮยอนที่ได้แต่แอบยิ้มๆ

บรรยากาศงานเลี้ยงที่แสนจะรู้หรูหราภายในห้องโถงตึกรูปทรงวงกลมของบริษัท MD Pharmacy & Lab แห่งใหม่ที่แสนจะครึกครื่น บรรดาแขกเหรือภายในงานล้วนแล้วแต่เป็นแขกวีไอพีของฝั่งรัฐบาล อย่าง เสนาธิการทหาร ท่านรัฐมนตรีสาธารณสุข และรัฐมนตรีคนอื่น ๆ อีกหลายคนต่อหลายคน อีกทั้งผู้คนในแวดวงบันเทิงที่ๆ พวกเขาต่างเข้ามาร่วมแสดงความยินดีของท่านประธานชเวมินจุน บิดาของนักแสดงที่กำลังโด่งดังมีชื่อเสียงและยังสามารถสร้างคอนเน็คชั่นใหม่ๆ ให้กับพวกเขาและพวกเธอได้ และบรรดาสื่อมวลชนสาขาต่าง อีกมากมายที่ต่างพากันมารายงานข่าวอยู่บริเวณทั้งที่หน้าตึกและเก็บภาพบรรยากาศต่างๆ ภายในงานเลี้ยงคำคืนนี้

ชเวมินแจ ชเวกียุลคอยเฝ้าติดตามประธานชเวคอยต้อนรับแขกเหรื่อภายในงาน พร้อม ๆ กับเลขามินโดฮยอนที่อยู่ต้อนรับแขกผู้มีเกียรติอยู่กันอย่างอบอุ่น ระหว่างนี้พิธีกรภายในงานยังคอยประกาศอีกว่า เราทุกคนกำลังรอแขกคนสำคัญที่จะมาเปิดงานและโครงการสำคัญในค่ำคืนนี้

แต่ในขณะเดียวกัน ชเวกียุลที่คอยสอดส่องและมองหาเลขาของเขา ที่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีวี่แววโผล่เข้ามาในงานเลี้ยง ทั้ง ๆ ที่คนในค่าเฟ่ 123 ทุก ๆ คนก็ต่างเข้ามาช่วยงานกันอย่างขยันขันแข็งบริเวณที่บาร์เครื่องดื่มต้อนรับที่ตรงทางเข้าหน้างานกันเกือบหมดทุกคน ยกเว้นก็เห็นจะมีแต่บาริสต้าฮวังอินซองที่ยังมาไม่ถึงงาน นอกนั้นคนอื่นๆ ได้มาช่วยงานกันครบและดูเหมือนพวกเขาจะเข้ากันงานเลี้ยงที่นี้อย่างดีอีกด้วย

ประตูรถสีดำคันหรูหราที่เพิ่งจะถูกเปิดออกมา และรองเท้าสีครีมส้นแหลมเพิ่งจะก้าวเท้าลงจากรถคันนั้น ผู้หญิงปล่อยผมม้วนลอนใหญ่ๆ ที่ใส่ชุดเดรสสีน้ำทะเลที่เพิ่งจะปิดประตูรถคันนั้นและขยับถอยก้าวออกมาเล็กน้อยและโค้งคำนับ และรถหรูคันนั้นที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวช้าๆ ขับออกไป

พัคจินอูกำลังเงยหน้ากลับขึ้นมา และเธอหันกลับไปมองรถคันหรูคันที่เหมือนๆ กันจอดอยู่ด้านหลังของเธอและเปิดประตู

"ไปกันเถอะคะ " พัคจินอูกลับขึ้นไปนั่งเบาะด้านหลัง และยังหันไปบอกให้ฮวังอินซองขับรถเคลื่อนออกไปที่งานเลี้ยง

พัคจินอูกับฮวังอินซองที่วันนี้ต้องใส่ชุดสูทโก้หรู และพวกเธอสองคนกำลังที่จะเดินเข้าไปที่ปหน้าประตูงานเลี้ยง จนทำให้ชเวกียุลที่กำลังเฝ้าและรออยู่บริเวณประตูทางเข้าอดมองและอดแปลกใจไปด้วยไม่ได้

" เป็นเลขาแท้ ๆ เพิ่งจะมาเอาป่านนี้ " ชเวกียุลที่รีบเดินเข้าไป

" ไม่เสียมารยาทไปหน่อยหรือยังไง " เขาตั้งใจมองอย่างตำหนิพวกเธอทั้งสองคนสลับไปมาๆ และอีกอย่างก็ยังแอบสังเกตชุดที่พวกเธอใส่

" พวกเรามีธุระสำคัญก่อนจะมาที่นี้ " ฮวังอินซองรีบตอบกลับ และมองชเวกียุลยังไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่

" ถึงอย่างนั้นก็เถอะ " แต่ชเวกียุลก็ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยไปง่าย ๆ

" นี่มันงานสำคัญของบริษัท "

" เพราะฉะนั้น งานวันนี้ต้องสำคัญที่สุด "

" หวังว่า คงจะลำดับความสำคัญให้เป็น " ชเวกียุลยังคงมองตำหนิทั้งเธอและฮวังอินซองสลับไป ๆ มา ๆ อยู่หลายต่อหลายครั้ง

แต่ฮวังอินซองกลับเดินหน้าเข้าหาและใช้สายตาอย่างที่ชเวกียุลกำลังมองพวกเขาอยู่มองกลับ

" งานวันนี้จะสำคัญมาก ! หรือว่าน้อย ! "

" มันไม่ได้สำคัญกับพวกเราเลยสักนิด " อินซองกำลังมองด้วยสายตาไร้ความสนใจใยดี และมันยิ่งทำให้ชเวกียุลเริ่มไม่พอใจมากขึ้น

" หน้าที่ของคุณ คือมาช่วยงานนี้ " ชเวกียุลเถียงกลับ

" พัคจิอึน ! เธอคือเลขาของฉัน "

" หวังว่า...คุณคงเข้าใจ " เขาที่มองกลับไปเหมือนๆ กันอย่างที่ฮวังอินซองมองเขา แต่ถึงอย่างนั้นฮินซองก็ไม่ได้สนใจและยังจะขยับตัวเข้าหา จนทำให้พัคจินอูต้องคอยแทรกตัวเข้าไปขวาง

" พี่คะ "

" ไปข้างในกันดีกว่า " เธอบอกฮวังซองและคอยห้ามพวกเธอ ฮวังอินซองที่ก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลยไปก่อนและรีบเดินหันหลังกลับเข้าไปที่ข้างในงานเลี้ยง แต่เธอที่กำลังจะรีบเดินตามหลังฮวังอินซองกลับเข้าไปข้างใน ชเวกียุลที่ตามมาและยืนขวางเธอไว้

เขามองไปที่เธอด้วยสายตาที่ก้าวร้าว

"ทำไม ! " เขาถาม

" อะไร ! " และเธอที่ไม่เข้าใจ

" ทำไม " แต่เขาก็ยังเดินเข้าหาและมองจ้องเธออยู่แบบนั้น

" เธอคงคิดว่า ตัวเองเป็นนักเขียนอยู่หรือยังไง "

" ตอนนี้ "

" เธอมาเป็นเลขาของฉันแล้ว "

" เธอก็ควรจะทำตามหน้าที่ และนี้คือเวลางาน หวังว่า ! "

" ที่ฉันพูดทั้งหมด "

" เธอจะทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งขึ้นไปอีกนะ พัคจีอึน ! " เขาออกคำสั่งกับเธอย้ำๆ ทำราวกับว่า เธอเป็นเด็กสาวที่เพิ่งจะก้าวเข้าสู่วัยทำงานอย่างเต็มตัว

" อ่อ " แต่เธอก็แค่พยักหน้ารับรู้

" ก็ได้ค่ะ " เพราะว่า เธอกำลังหันไปมองชเวมินแจที่กำลังออกมาตามหา และเธอก็เลยรีบเดินตามกลับเข้าไปในงานพร้อมๆ กับพี่ชายของชเวกียุลด้วยเลยทันที และปล่อยให้เขาทำหน้าตายุ่งเหยิงเพราะจัดการกับเธอไม่ได้

หลังจากที่ท่านประธานาธิบดีมาเป็นเกียรติเปิดศูนย์การแพทย์และแล็ปแห่งใหม่ให้เอ็มดีพร้อมๆ กับการเปิดชื่อโครงการเชย์รีสอย่างเป็นทางการ ท่านประธานาธิบดี ประธานและรองประธานของเอ็มดี ชเวมินแจในฐานะทายาทลำดับที่สอง ท่านรัฐมนตรีคนอื่นๆ ที่มาเป็นเกียรติก็ต่างพากันขึ้นไปบนเวทีเพื่อถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก และสื่อมวลชนทุกสำนักข่าวก็ต่างพากันประโคมข่าวโครงการเเชย์รีสกันอย่างครึกโครมเลยทีเดียว

พัคจินอูยืนปะปนกับแขกเหรื่อภายในงาน และช่วยปรบมือให้กับทุก ๆ คนที่กำลังยืนถ่ายรูปร่วมกันที่ข้างบนเวทีแล้ว แต่ว่าเธอก็อดที่จะนึกถึงวันแรกๆ ก่อนที่โครงการเชย์รีสจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา จนกระทั่งถึงตอนนี้ไม่ได้ และเธอที่ยืนนึกถึงตอนนั้นเมื่อสี่ปีก่อน ชเวมินแจและเธอที่ไปถ่ายละครกันที่ฝู้เจี้ยน ประเทศจีน ตอนนั้นมีข่าวว่าผู้ก่อการร้ายจากตะวันออกได้ลักลอบขนอาวุธชีวภาพเข้ามาที่จีน และจะใช้ประเทศจีนเป็นฐานในการเพราะเชื้อโรค แต่โชคยังดีที่ทางรัฐบาลของประเทศจีนสามารถจำกุมผู้ก่อการร้ายได้ และเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เธอฝันเห็นเหตุการณ์การก่อการร้ายนับสิบๆ ครั้ง จนเป็นที่มาของหนังสือ " ในยาม ที่...ฉันฝัน "

ณ ลานหินกว้าง เสียงพิณยี่สิบห้าสายนับครึ่งสิบ เสียงบรรเลงจากขลุ่ยไม้ไผ่นับสิบและกลองที่ต่างพากันดังกึกก้องบรรเลงอยู่ภายในรั้วพระราชวังหลังพระอาทิตย์อัสดง และแสงสว่างจากโคมไฟระยิบระยับทั่วทั้งสารทิศ พระราชาที่แก่ชรานั่งอยู่บนบัลลังก์และสายพระเนตรมองไปเบื้องหน้าของเหล่าสตรีนางระบำที่พากันโบกสะบัดชายเสื้อกรุยกรายและใบพัดอันเจิดจรัสอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ และบรรดาขุนนางชั้นสูงไปจนถึงเหล่าแม่ทัพ นายกอง และรวมไปถึงข้าราชบริพารฝ่ายในที่มีทั้ง พระมเหสีวัยรุ่น พระสนมขั้นสูงสอง

และอีกหนึ่งสตรีสาวงามตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า และสตรีนางนั้นก็เพิ่งจะเดินเข้ามาและนั่งร่วมโต๊ะเดียวกันกับบุตรชายตระกูลอี

แต่ครั้งเห็นหน้าของนาง บุตรชายตระกูลอีที่วันนี้แต่งองค์ทรงเครื่องด้วยชุดผ้าไหมชั้นสูงสีน้ำเงินเย็บปักลวดลายมังกรด้วยทองคำและสวมแหวนหยกที่นิ้วชี้ด้านซ้าย ครั้นพอเห็นหน้าของนางก็พาลอารมณ์เสียอย่างออกหน้าเสียไม่ได้ แม้กระทั่งชำเลืองสายตาหยามเหยียดและคำพูดเหน็บแหนม

"หากอยากเป็นคนชั้นสูง ก็ไม่ควรจะต่ำมาตั้งแต่ทีแรกสิ ! "

" ข้าละ "

" แทบอยากจะฆ่าเจ้าเสียตั้งแต่ตอนนั้น "

" ไม่น่าที่จะให้เจ้ามาเผยอ ลำพอง พองขน "

" มาปะปนกับพวกฝูงหงส์แบบนี้เลย "

คำพูด วาจา ที่คอยเหน็บแหนมและกัดกร่อนกินหัวใจของสตรีอันเลอโฉมที่สุดในเมืองหลวง และบุตรชายตระกูลอีที่ยังคงคิดหวังว่า นางผู้นี้จะหยุดมักใหญ่ใฝ่สูง

แต่ทว่า สตรีงามอดเสียไม่ได้ก็เลยต้องกราบบังคมคำตอบอันแสนฉลาดล้ำ และรอยยิ้มที่แสนฉลาดยิ่งกว่าคำพูด

" เสียดาย....ที่ "

" เพียงเอ่ยออกมา....หม่อมฉัน"

" ก็ตายได้แล้ว "

" น่าเสียดายยิ่งหนักเจ้าค่ะ" สตรีงามนางนั้นนั่งตอบอย่างไม่กลัวการลงทัณ และดูราวกับว่า บุตรชายตระกูลอีจะยิ่งชักสีหน้าโกรธนางไม่รู้จักจบจักสิ้น

" ไม่ต้องเสียดายไปหรอก "

" ความตายที่ข้าจะหมอบให้คนเยี่ยงเจ้า "

" มันจะกัดกินใจเจ้า...ยิ่งกว่า "

" การหมดลมหายใจ " บุตรชายตระกูลอีตอบด้วยความรู้สึกรังเกียรติในชีวิตของนางเสียเต็มประดา แต่ทว่าสตรีงามก็ไม่ได้ใส่ใจมากจนรอยยิ้มนางจะจางหายลงไปไม่

เสียงพิณ เสียงกลอง เสียงขลุ่ยเริ่มเบาบางลงไปแล้ว ท่านแม่ทัพที่ได้ก้าวออกมาจากโต๊ะอาหารและบังอาจทูลต่อหน้าพระราชาที่ยิ่งใหญ่ของตนว่า บัดนี้ เป็นเวลาที่สมควรที่จะประกาศแต่งตั้งองค์รัชทายาทอย่างเป็นทางการ และพระราชาจึงได้หันไปถามบุตรชายตระกูลอีว่า เขาพร้อมหรือไม่ !

บุตรชายตระกูลอีกที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างสง่าและผ่าเผย และก้าวเดินออกมาหยุดต่อหน้าพระพักตร์และยังกล่าวคำอาจหาญต่อเหล่าข้าราชบริพารว่า นับต่อจากนี้ ตนจะเปิดเผยว่า เขาคือองค์ชายรัชทายาทของแคว้นใหญ่นี้ และพร้อมที่จะเป็นพระราชาที่ยิ่งใหญ่คนต่อไปจนกระทั่งเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ และข้าราชบริพารต่างพากันหมอบกราบ ว่าที่พระราชาคนใหม่ แม้กระนั้นยังรวมไปถึงบุตรชายตระกูลโจ และทหารฮงซอกดูต่างพากันตกอกตกใจยกใหญ่ที่เพื่อนทหารจะกลายเป็นพระราชาในอนาคตของพวกเขา

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ว่าที่พระราชาคนต่อไป หรือ องค์รัชทายาที่ได้เปิดเผยตนต่อหน้าข้าราชสำนักแล้ว เขาก็ยังถือโอกาสประกาศชื่อราชองค์รักษ์ที่ได้เลือกไว้ข้างกายไว้แล้ว อย่าง บุตรสาวคนเล็กของหมอจอง " จองคีนัม " และทาสที่ได้กลายมาเป็นทหาร " ฮงซอกดู " และเลื่อนขึ้นให้บุตรชายตระกูลโจ " โจแทซอบ " ที่ปราดเปรื่องมาเป็นพระอาจารย์

จองคีนัมที่ได้ยินประกาศขององค์รัชทายาท นางที่ดีใจจนออกนอกหน้าและรีบวิ่งกลับมาบ้านเพื่อจะไปบอกข่าวที่น่าตื่นเต้นและยินดีต่อครอบครัว และพี่สาวของตนที่ยืนรออย่างกระวนกระวายกับงานเลี้ยงของพระราชวังที่เกิดขึ้นอย่างกระทันในครั้งนี้ จองคีนัมกระโดดโลดเต้นกับพี่สาวของนาง และบอกว่า ต่อไปตนจะได้เป็นทหารราชองค์รักษ์หญิงคนแรกที่จะได้ปกป้องพระราชาองค์ต่อไป และจะได้ปกป้องคนที่นางรัก

บุตรสาวคนโตของหมอจองเมื่อรู้ว่า น้องสาวจะได้กลายเป็นทหารและเป็นถึงราชองค์รักษ์หลวง บุตรชายของตระกูลโจผู้ฉลาดปราดเปรื่องจะได้เป็นพระอาจารย์ของพระราชา และฮงซอกดูจะได้กลายองครักษ์มือขวาขององค์รัชทายาท เพราะฉะนั้นนางถึงได้รีบไปขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คืนนั้นนางไปขอพระที่วัดและได้ขอพระจากเทพยดา

แต่ทว่าในขณะที่นางไหว้ขอพระจากฟ้าอยู่ๆ ก็มีเสียงฝ่าเท้าย้ำเข้ามาที่บริเวณปากประตูวัดและเสียงฝนพรำที่มาพร้อมๆ กับเสียงฝีเท้านั้น

" ซอกดู ! " บุตรสาวตระกูลจองเหลียวหันไปเพราะรู้ทันทีว่าเป็นเขาแน่ๆ และมีหรือที่หญิงสาวจะผิดหวัง

หญิงสาวรีบร้อนเข้าไปหาและเอื้อมมือแสดงความยินดีกับอดีตทาสอย่างไม่ถือสา และมีหรือที่เขาจะปล่อยมือ

บุตรสาวหมอจองรีบจูงมือเขาไปที่หน้าพระประธานอีกครั้ง มิหนำซ้ำหล่อนยังคะยั้นคะยอให้ว่าที่องครักษ์ขององค์รัชทายาทขอพระต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปพร้อมๆ กัน

แม้เพียงแค่ลืมตาจากการขอพระจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพียงไม่พ้นลมหายใจแรก บุตรสาวหมอจองที่เหมือนจะอดไม่ได้ที่จะอยากรู้ว่า ว่าที่ราชองค์รักษ์ขอพรสิ่งใดไป แล้วเพราะเหตุอันใด เขาถึงเอาแต่จ้องมองมายังหน้าของตนแทนที่จะสนใจต่อการขอพระจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ฮงซอกดูยิ้มกว้าง และตอบคำถามเพียงว่า

" สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีตัวตนเช่นใด เขานั้นต่ำต้อยเกินหรือเปล่าที่จะได้เห็นได้สัมผัส "

" แต่ทว่า....จองซูวอน !! "

" เจ้าเป็นเพียงคนเดียวที่....ข้าสัมผัสตัวตนเจ้าได้ "

" ถ้าหากเป็นแค่การขอพร ข้าจึงอยากจะขอกับเจ้าแทน "

จองซูวอนเขินอายต่อหน้าทหารหนุ่มแต่ไม่วายจะถามกลับว่า เขาพระอะไรจากนางเช่นนั้นกันเล่า !

ฮงซอกดูยิ้มกว้างอีกครั้ง

"สูง หรือ ต่ำ "

" ก็มนุษย์อย่างเราๆ ที่กำหนดมันขึ้นมา "

" แต่คำสัญญาของข้า จะไร้คำเปรียบเทียบนั้น เพราะว่า..."

" แม้ว่า เจ้าจะสูงส่ง หรือแม้ว่า ข้าจะต่ำต่อยเพียงเถ้าถ่าน..."

" มันก็เป็นเพียงแค่...เรื่องสมมติเท่านั้น "

" ใจของข้าต่างหาก ! ที่..เป็นของเจ้าและจะเป็นไปตลอดกาล"

" แม้จะต้องตายไม่ว่าจะต้องด้วยคมหอก คมดาบ หรือเปลวเพลิงในสงคราม "

" ข้าจะไม่มีวันลืมแม้ในชาตินี้ หรือชาติหน้า "

คำมั่นสัญญาของฮงซอกดู มีหรือที่..จองซูวอนจะไม่ร่ำไห้ และจนแล้วจนรอดนางก็ได้สารภาพต่อหน้าเขาว่า สิ่งที่ตนขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์หาได้ใช่สิ่งอื่นไกลจากตัวของตนเองเลยไม่ และสิ่งที่ตนของต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในค่ำคืนนี้ นั่นก็คือ....ข้าจะคอยเคียงข้างเจ้านับจากนี้ และตลอดกาล

โจแทซอบเดินย้ำไปๆ มา ๆ อยู่หน้าบริเวณประตูตำหนักของว่าที่พระชายาขององค์รักชาทายาท จนทำให้ขบวนของว่าที่พระชายาต้องหยุดมองก่อนจะเข้าไปในที่ตำหนักของตนได้ มิหนำซ้ำบรรดาซังกุลพระพี่เลี้ยงยังได้เข้ามาตำหนิว่าเป็นถึงพระอาจารย์ขององค์รัชทายาทแต่ยังไม่รู้จักกาลเทสะ

แต่กลับกัน สตรีที่เคยนั่งเคียงคู่กับองค์รัชทายาทในงานเลี้ยง สตรีผู้นั้นกลับเดินมาและเชิญโจแทซอบเข้าไปในตำหนัก และแม้บรรดานางในจะคอยตำหนิการกระทำของว่าที่พระชายา แต่นางก็ชี้นำให้พวกนางในไปแจ้งข่าวให้กับองค์รัชทายาทได้ตามที่องค์ชายรัชทายาทได้สั่งพวกนางไว้ได้โดยไม่ถือสาเช่นเดียวกัน

ครั้นอยู่ด้วยกันในตำหนักสองต่อสอง โจแทซอบก็อดเสียไม่ได้ที่จะแสดงคำคัดค้านต่อหน้าว่าที่พระชายาว่า เหตุใดจึงละทิ้งศักดิ์ศรีได้มากถึงเพียงนี้ อันที่จริงก่อนหน้านี้ ตนรู้มานานแล้วแหละว่า บุตรชายสกุลอีนั้นคือใคร แต่เพียงไม่อยากทำให้แผนการของบิดาของตนต้องด่างพร้อย และคอยเล่นตามน้ำไปตามแผนของท่านแม่ทัพ

แต่กลับกลายเป็นว่า ว่าที่พระมเหสีคนใหม่ของเมืองหลวงกลับสรวลเบาๆ ให้กับโจแทซอบ

" วันหนึ่ง..ศักดิ์ศรีก็ต้องจากเราไป ไม่ใช่หรือไร "

" สิ่งที่ข้าทำได้ ในเวลาเยี่ยงนี้ เห็นก็จะมีแต่.."

" ลดความเกลียดชังให้เบาบางลงบ้างก็เท่านั้น " แม้ว่านางจะยังคงปลอบโยนด้วยรอยยิ้ม และเมื่อโจแทซอบที่ได้ยินความคิดของนางก็ยิ่งโกรธความคิดของนางจนแทบอยากจะจับตัวของนาง และโยนทิ้งนอกพระราชวังนี้เสียให้ได้