webnovel

ส่วนที่ 1 คลังภูมิปัญญา Brian Bank บทที่ 1

"โลกนี้จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จะมีคนส่วนหนึ่งหัวเราะ

คนอีกส่วนหนึ่งร้องไห้ และคนที่เหลืออยู่ในความเงียบ

เมื่อเราสร้างพระเจ้าและเจ้าหญิงขึ้นมา

เรากลายเป็นความตายเพื่อทำลายโลก"

วันจันทร์ที่ 20 ในเดือนสุดท้ายของปี

การท่องเที่ยวของความตาย การตื่นรับรุ่งอรุณที่มืดมน มีแต่คนน่าสงสาร เต็มไปด้วยคนที่เจ็บป่วย ราคาของการเป็นมนุษย์อยู่ที่การแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน ประวัติศาสตร์เคยบอกว่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นลำบากก่อนหน้านี้เกิดขึ้นมาก่อนอยู่แล้ว พลังที่เป็นบ่อกำเนิด สิ่งที่เลวร้ายที่สุดในตัวเราตอนนี้เป็นวันแรก

นักกีฬาในทีมจะอยู่เที่ยวญี่ปุ่นก่อน ลินใส่หูฟังไร้สายฟังเพลงสำหรับลินเพลงเป็นความหวังที่จะไม่ใช่ความผิดพลาดในชีวิต มันเป็นการออกกำลังกายทางเจตจำนง และฝึกเสรีของความคิดเพื่อเอกภาพของภาพรวมการมองย้อนกลับเข้าไปในตัวเอง เพื่อผลิตบริบทดอกผลของตัวตน

ที่นั่งตรงข้ามลินมีแค่ซูกับกระเป๋าใส่ไม้แร็กเกตของซู

"เธอทำแบบนั้นทำไม" ซูถามลิน

ลินนิ่งเงียบมองก้อนเมฆด้านนอกก่อนจะตอบ "อะไรเปลี่ยนไปเยอะ เป็นแบบนี้ดีกว่า" ผลลัพธ์การแข่งขันทั้งหมดเป็นเพียงเพราะลินไม่ได้ยิงลูกสุดท้ายจากสามลูกศรในรอบชนะเลิศ

"ทำไมถึงเลือกเหรียญเงิน"

"ไม่มีใครชอบความสมบูรณ์แบบ" ลินตอบขณะเบือนหน้าไปนอกหน้าต่าง เธอเริ่มเห็นอะไร ๆ ในมุมมองที่แตกต่างหลังเข้ามาอยู่คิปป์มาได้สองปี

"ถามจริง!" ซูสงสัย

ลินเริ่มสงสารพวกผู้หญิงที่เข้าสปา ดูดไขมัน พยายามปั้นหุ่นให้ได้อย่างวิคตอเรีย ซีเคร็ทโฆษณาชวนเชื่อ ลินมองโฆษณานางแบบในญี่ปุ่น

"ผู้หญิงต้องรูปร่างแบบนั้นเหรอ"

ซูหัวเราะแหบแห้งในลำคอ ขำกับสิ่งที่ลินสงสัย "พัฒนาตัวเองไปก็เหมือนสำเร็จความใคร่ แต่ทำลายตัวเองนี่สิ…" ซูรู้ว่าลินเริ่มไม่ไยดีกับโลกที่โรงเรียนและการแข่งขันในระบบเท่าไหร่

"ความจริงคือฉันรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวมานานมาก" ลินเว้นวรรคขณะมองออกไปทางนอกหน้าต่างอีกครั้ง "ทุกอย่างซับซ้อนแต่มีทางออกเสมอ" เธอพูดเพื่อเตือนสติตัวเองอย่างใจเย็น

"แต่แกก็ยังไม่ได้ทิ้งคิปป์ทีมนะ"

"เราทิ้งเด็กพวกนั้นไม่ได้ ทุกคนออกจากถ้ำของเพลโตแล้ว มาไกลเกินกว่าจะกลับไปเชื่อเรื่องเดิม ๆ" ลินคิดว่าอยู่ที่นั่นเรามีชีวิตชีวาขึ้นมา

"มันก็เป็นแค่คลาสเรียนไม่ใช่เหรอ"

"เดี๋ยวแกก็จะตามทัน" ลินตอบก่อนหันหน้าออกไปข้างนอก ฝนกำลังตกอยู่ด้านนอกของรถไฟ ในขณะที่ขบวนถอยหลัง

เวลาที่ถอยหลังและการทำบางอย่างได้ รู้ไหม มันเกิดขึ้นกับฉันเหมือนกัน เหมือนชีวิตฉันเลย เพราะลินโตมาอย่างยากลำบาก การทำบางอย่างมันสามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง ลินยอมรับทุกคนในคิปป์ทีมอย่างที่พวกเขาเป็นจริง ๆ โดยเริ่มที่ตัวฉันเอง เราจุดไฟ เป็นสิ่งที่พวกเราทำ สิ่งที่พวกเราเรียนในคิปป์ทีมคือ วิชาก่อไฟหนึ่งศูนย์หนึ่ง ทุกทฤษฎีที่เกิดขึ้นเป็นไม้ขีดไฟเพื่อความตื่นเต้นของความรู้ โต๊ะความคิดและจินตนาการเปิดทำงานตลอดเวลาในห้องทำงานความคิดของลิน คอร์เทกซ์และนีโอคอร์เทกซ์ คือประตูวิเศษที่จำแนกลำดับขั้นของความหมาย สู่การหมุนรูเล็ตต์ทางความรู้และสมมุติฐาน

ทริปการทัศนศึกษาของคิปป์ทีม ที่ภูเก็ต ใกล้สถานีปลาวาฬ สองชั่วโมงก่อนที่เครื่องบินที่มีลินเป็นผู้โดยสารจะลงจอด

"วัฒนธรรมที่เก่าแก่ที่สุดไม่ใช่มนุษย์ แต่มาจากมหาสมุทรต่างหาก สี่สิบล้านปีก่อน ก่อนที่มนุษย์จะเดินตัวตรง ก่อนที่เราจะค้นพบไฟ วาฬวิวัฒนาการเพื่อสร้างความสัมพันธ์ในที่มืด มีบทสนทนากับวาฬหลังค่อม มีคนศึกษาบทเพลงของวาฬหลังค่อมมา สี่สิบถึงปีแล้วแต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้จริง ๆ ว่าทำไมพวกมันถึงร้องเพลง การศึกษานี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะล้มเหลว มันยากมากที่จะแปลความหมายของภาษาในโลกแห่งธรรมชาติเพื่อฟังและทำความเข้าใจ ว่ามันพูดถึงอะไรกันนี่คือสัดส่วนเดียวกันกับการหันดาวเทียมของเราขึ้นฟ้าและคอยฟังสัญญาณจากนอกโลก" ศาสตราจารย์มัวร์พาทีมวิจัยมาให้ความรู้กับเด็กในคิปป์ที่ลินจัดตารางไว้ให้ของสัปดาห์นี้

เบน เอก โทนี่และพัฒน์ที่อายุเก้าขวบหลังจากที่ทุกคนได้ฟังเสียงเพลงของวาฬหลังค่อมพูดคุยในทะเลอันดามัน

"เจ๋งเนอะว่าไหม" เบนทักโทนี่

"เจ๋งทีเดียวเลย" โทนี่ยิ้มกริ่มประทับใจการค้นพบ

"พวกมันคุยตอบโต้กับคุณได้เหรอ" เอกแทรกถามคำถาม

"ใช่การศึกษาวัฒนธรรมของวาฬอาจจะช่วยให้เราเข้าใจตัวเองได้มากขึ้น วิธีที่เราเชื่อมโยงกันได้อย่างแตกต่าง" มัวร์อธิบาย

พัฒน์อยากรู้มากขึ้น กิจกรรมที่นี่ทำให้เขาหลับได้อย่างมีความสุข ความสุขของการได้เข้าใจระบบชีวิตของสัตว์อื่น ความเข้าใจชีวิตทำให้พัฒน์หลับตาลงได้วางความกังวลไว้ชั่วคราวแล้วกอดความเป็นจริง ในขณะที่โชฟังเสียงบทสนทนาวาฬอย่างตั้งใจ

ที่สนามบินหลังจาก ออกจากตัวเครื่อง ลินไม่ชอบการต้อนรับแบบนี้ เธอรีบกลับเพื่อจะได้ข้ามการต้อนรับและป้ายที่สนามบิน

"ทุกคนที่นี่น่าเศร้า" ลินบ่นพึมพำกับตัวเอง

ซูชายตามองลิน "ถ้ากังวลจริง ก็ย้ายประเทศสิ"

ลินเงียบตอบ

"อยู่ที่นี่ก็ตายอย่างช้า ๆ" ซูประชดประชัน

"ใช่ ช้ากินไป" ลินตอบ

ซูเห็นรองผู้อำนวยการเดินตรงเข้ามารับที่สนามบิน "ซวยแล้วเพลงมาแล้ว" ซูเรียกเพลงเป็นคนและเพลงนี้ซูก็ไม่ได้ชอบเพลงนี้เหมือนกัน

รองผู้อำนวยการรีบตรงเข้ามากอด เนื่องจากทีมชมรมยิงธนูได้เหรียญสูงสุดจำพวกกีฬาบก ที่เหลือตัวแทนจากภูเก็ตได้แค่เหรียญทองแดง อย่างว่าทั้งหมดขึ้นอยู่เงินสนับสนุนชมรมกีฬาเพื่อส่งเสริมตารางการซ้อม

"ทีมเธอเก่งนะ"

ลินถอนหายใจยิ้มเจื่อน ๆ "อาจารย์น่าจะเห็นอีกทีม" ลินพูดเบา ๆ ให้หลังจากที่อาจารย์สนใจอย่างอื่นไปแล้ว

อาจารย์เรียกไล่หลัง "เอ่อ วิทยานิพนธ์ก่อนจบลินยังไม่ได้ส่งนะ"

"หนูส่งไปแล้วสองเดือนที่แล้วนะคะ" ลินหันหน้ามาตอบ

"แต่ครูตรวจสอบดูแล้ว ไม่มีนะ"

มันทิ่มแทงหัวใจเธอ เธอกลืนน้ำลายเอื้อก ลินอยากให้ตัวเองจบจากการศึกษาระบบรัฐสักทีใบหน้าด้วยความสงสัย กับสิ่งที่ลินได้ทำรัวเป็นกลองชุดอย่างไร้ความหมาย ลินแค่ต้องกลับไปพิมพ์จากคอมพิวเตอร์ตัวเองมาส่งกระดาษเอกสาร

ลินหมกหมุ่นกับฟิสิกส์มามากพอแล้ว เอกสารแผ่นนั้นคือวิธีการเคลื่อนตัวรอบวงแหวนไฟ และการเคลื่อนตัวของดินที่มนุษย์สามารถสร้างได้ เราไม่ได้เฉลิมฉลองการเป็นมนุษย์อย่างไม่สิ้นสุดในเอกสารแผ่นนั้น

ถ้าตอนนี้มีคนบอกว่าใครคือผู้โชคร้ายที่สุด ลินคงยกชูแขนขึ้นสุดตัว แค่ลินไม่ได้ยกมือตอนนั้นก่อนเวลาจะผ่านไป

"ซูขอลูกเทนนิส" ลินเอ่ยขณะสังเกตบางอย่างอยู่ปลายขอบการสังเกตของภาพจากดวงตา

"เอาไปทำไร" ซูล้วงหยิบลูกเทนนิสยื่นให้ลิน

ลินเล็งจากจุดที่ตัวเองยืนอยู่ไปยี่สิบเมตร แล้ว เขวี้ยงลูกด้วยการสะบัดของหัวไหล่ ลูกบอลกลมสีเขียวแหวกว่ายอากาศกระทบดูกสะบักไหล่ ชายที่เหงื่อออกล้มลง กระเป๋าเสื้อที่เก็บกระเป๋าเงินหลายใบสะดุดออกมาลงบนพื้น

ลินเดินเข้าไปหยิบกระเป๋าเงินของครู มาคืนครูในขณะที่ครูยังไม่รู้ว่าของตัวเองหายลินก็หากลับมาเจอเจ้าของได้เรียบร้อยแล้ว จริง ๆ ลินเห็นตั้งแต่วันเครื่องเดินทางไปญี่ปุ่น แต่ตอนนั้นลินอยู่ที่ทางขึ้นแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าโจรที่นี่อยู่ในสนามบิน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้ามาหิ้วปีกชายที่ล้มลงจากลูกเทนนิสของซูที่ลินขว้าง ลินไม่ชอบเสียเวลาอธิบายกับทุกอย่าง แต่ส่วนของฟิสิกส์รอบตัวที่ลินมองนั้นวุ่นวายกว่าที่คิด การคำนวณไม่เคยเป็นแค่เรื่องของตัวเลขอย่างเดียว เมื่อเราไม่รู้จะใช้คำใดเราหันไปใช้ตัวเลขมาอธิบายสิ่งที่พูดออกมาไม่ได้

โน๊ตไดอารี่วัยเด็กของลิน

"เมื่อแต่ละวันจบลง เท้าเราควรสกปรก

ผมยุ่งเหยิง และดวงตาส่องประกาย"

ซูขึ้นเครื่องไปทางสิงคโปร์ ลินจะออกประตูเพื่อนั่งรถยนต์รับจ้างเดินทางกลับบ้าน อาจารย์ของเธอแยกกันหลังทักทายเสร็จ ลินนั่งอยู่เบาะด้านหลังล้อหมุนไปข้าง รถยนต์กำลังเคลื่อนตัวไปยังจุดหมาย แสงในเมืองระยะห่างระหว่างความคิดถึงกับสายสัมพันธ์ถูกกั้นด้วยแสงและความสามารถในการมองเห็นของมนุษย์ เพียงชั่วขณะของความสบายใจ ในสนามบิน ทันใดนั้นตำรวจสองนายตรงมาจากประตูสนามบินนานาชาติภูเก็ต ทั้งสองเข้ามาหาลินแจ้งเหตุบางอย่างไม่มีที่มาแน่ชัด ให้ลินไปกับรถตำรวจความเร่งด่วนกับการรับรู้ภาษากายของชุดสีกากี

ในรถยนต์ที่มีผนังกั้น เสียงแต่ละหยดน้ำกระทบกระจกด้านหน้าและด้านข้าง แนวการเสียดทานของน้ำรอบรถยนต์ ไม่สามารถหยุดความเร่งรีบ ลินมองออกไปนอกกระจก เมืองสีดำ ไม่ค่อยมีแสงออกมาจากตัวอาคารความหวังที่ริบหรี่ เบาจนลินได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง วิญญาณของลินเองเลื่อนลอยและไม่คิดจะแตกสลาย

"กำลังจะพาไปไหน"

"ในความปลอดภัย เราไม่สามารถบอกคุณตอนนี้ได้"

ลินนิ่งคิดครู่ก่อนตอบ "ฉันต้องเรียกทนายมั้ย"

"ไม่ครับ ไม่จำเป็นในตอนนี้"

"งั้นให้ฉันลงตรงนี้" ความรู้สึกกลายเป็นแผ่นน้ำไร้ที่สิ้นสุดลินต้องการคำตอบในตอนนี้

บุรุษที่นั่งด้านหน้าทั้งสองนายไม่บอกคำตอบ แต่จากระยะทางเธอรู้ว่ารถยนต์คันนี้ไม่ได้ตรงไปยังที่บ้านของเธอพริบตาเดียวหลังจากที่ลินตัดสินใจ เธอเปิดประตูด้านข้างและทิ้งตัวลงจากรถยนต์เธอกลิ้งลงบนถนน

"อะไรวะนั้น!!" เสียงตำรวจตกใจในรถยนต์ พวงมาลัยกำหนดทิศทางหักเลี้ยวเบรกกะทันหัน

ลินลุกขึ้นยืนโบกรถยนต์รับจ้างด้านหลังให้ตรงไปที่บ้าน แววตาอันท้าทาย และเสียงจากโลกภายนอกปลูกฝังความเชื่องมงาย การหลอกลวงมาพร้อมกับฝน เธอต้องการคำตอบมากกว่าสิ่งใด รถแท็กซี่รับลินเป็นผู้โดยสารด้วยความสงสัย แต่ตำรวจไม่ได้เปิดไซเรน ความเร่งด่วนของการควบคุมตัวลินไม่ได้สูงขนาดนั้น เธอบอกผู้ขับให้แล่นไปด้วยความเร็วเพื่อคำตอบ ถนนในเมืองคละคลุ้งไปด้วยความสำราญชั่วคราวในวันฝนตก คนร้ายแผงตัวราวกับเป็นงู ลินอยู่ในเรื่องราวจของเมืองนั้นด้วย

เมื่อรถยนต์มาถึงปลายทางเป็นจุดรวมผู้อยากรู้และผู้รับรู้ รถยนต์ผู้สื่อข่าวและรถตำรวจจอดมากมายหน้าบ้านลิน เธอคาดเดาสถานการณ์ได้ เรื่องพวกนี้เธอรู้ตัวว่าสิ่งนี้วันใดวันหนึ่งก็จะเกิดขึ้น พ่อเคยบอกไว้แล้วว่ามันเกิดขึ้นได้ เพียงแค่มันเกิดขึ้น ตอนนี้เธอเป็นวิญญาณดวงเดียวที่ลูซิเฟอร์จะมารับจากนรก โลกนี้กลายเป็นสวนสนุกของปีศาจ ครอบครัวคือที่พักร้อนและเหยื่อของชีวิต หอกแห่งลิขิตที่ทิ่มแทงได้ชี้ลงมาที่แห่งนี้ ที่มีพระบิดาของลินสิ้นลมหายใจภายใต้เทปกาวสีเทา ภายใต้อาชีพและข้อจำกัดของชีวิต ความจริงอันเรียบง่ายประเดประดังเข้ามาในพื้นที่ความคิด

ลินเดินตรงเข้ามาในเขตพื้นที่ห้ามเข้า ปลายนิ้วจับเทปสีเหลืองขึ้นตัวลอดเข้าพื้นที่ นักข่าวและกล้องถ่ายทอดสดที่รุมถามอยู่ด้านนอก ตำรวจที่ยืนอยู่ลานหน้าบ้านและตำรวจควบคุมฝูงชนด้านนอกมองลิน เธอเดินเข้าไปในบ้านด้วยการยอมรับและความหวั่นใจ เป้าหมายแห่งความสงสัยที่เปล่งประกายฉายภาพความอัปยศในการกระทำของมนุษย์ ความชั่วร้ายขยายผลกลืนกินบ้านหลังนี้ด้วยสิ่งดำมืด

เมื่อลินเข้ามาในตัวบ้านภาพตรงหน้าคือ ภาพของบิดาตัวเองนั่งอยู่บนเก้าอี้ ทั้งศีรษะถูกพันด้วยเทปหนังสีเทา การเห็นร่างกายตรงหน้าสูญชีพจรทำให้น้ำลายที่กลืนลงคอตัวเองเปรี้ยวเข้มแสบคอ ลมหายใจร้อนผ่าวทั่วไปหน้ายีนระยะห่างสองเมตรจากร่างไม่มีลมหายใจ ทุกสายตาที่เป็นเจ้าหน้าที่มองลินอย่างไม่เต็มใจ ลูกของผู้เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหยื่ออาจจะทำลายรูปแบบของสถานที่อาชญากรรม อาจจะทำลายหลักฐานสภาพแวดล้อม ต่อให้สถานการณ์จะยังไม่สามารถตัดสินได้ว่าเป็นการุณยฆาตหรือเหตุฆาตกรรม การคาดเดาของลินแค่สรุปได้คร่าว ๆ ลินเคยทำจิตอาสาเพื่อเป็นชั่วโมงกิจกรรมโรงเรียนที่สถานีตำรวจ เหตุการณ์ที่สามารถเชื่อมโยงกับการสูญเสียชนิดนี้ ต้องหาหลักฐานที่มาและแรงจูงใจของผู้กระทำ ซึ่งเหยื่อเองสามารถเป็นผู้กระทำได้ด้วยเหมือนกัน ลินยืนอยู่ด้านหลังของคนที่ถ่ายรูปหลักฐานรอบ ๆ

วิวคือคนที่ถ่ายภาพหลักฐานในจุดต่าง ๆ อยู่ ทั้งรอยเลือด อาวุธที่ใช้ทุบศีรษะเป็นเกียงเหล็ก เปื้อนเลือดกระเด็นอยู่ไกลจากผู้เสียชีวิต น่าจะเกิดจากการกระหน่ำทุบศีรษะของผู้กระทำจนหลุดมือ ส่วนใหญ่ผู้ที่ก่อเหตุมักจะมีรอยแผลที่มือเวลาที่อุปกรณ์ในการลงมือลื่นและกะแรงไม่ได้ ตอนทำร้ายคนอื่นอะดรีนาลีนคุกคามพื้นที่กล้ามเนื้อตื่นเต้นจนหลงลืมความเหนื่อยหอบและการออกแรง หลักฐานหลายอย่างในห้องนี้จะถูกบันทึกไว้เป็นหลักฐานแบบรูปภาพ เราไม่ได้เห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นไม่ได้แปลว่ามันไม่เกิดขึ้นกรวยของแสงทำให้เราเห็นเรื่องเล่าแค่ของชีวิตตัวเอง ของคนอื่นและการกระทำของคนอื่นเป็นเพียงแค่การคาดเดาว่าใครเป็นคนผลักโดมิโน่ของพฤติกรรมเหล่านั้น ถ้าคุณอยู่ในห้องนั้นการเดินเข้าไปในห้องนี้จะเป็นความเจ็บปวดและความผิดหวังขนาดใหญ่ในการเกิดเป็นมนุษย์

รอยเลือดเป็นทะเลสาปแอ่งขนาดเล็กบนพื้นไม้ หลังจากที่วิวถ่ายรูปและรับรู้ว่าคนที่อยู่ด้านหลังทำให้บรรยากาศของพนักงานสีกากีแผนกนิติเวช มองไปด้านหลังวิว วิวรู้ทันทีว่าข้างหลังเธอเป็นคนคุ้นเคยที่ระบบไม่เคยชอบ วิวละมือซ้ายจากการประคองกล้องดิจิตอลใช้มือซ้ายกลัดเข็มขัดปลอกแขนทีมงานเก็บพยานหลักฐานให้ลิน ลินรับผ้าชิ้นนั้นสอดเข้ากับแขนเสื้อด้านขวา เธอรู้ว่าอะไรควรทำและจะทำให้ตัวเองกลมกลืนกับสถานการณ์อย่างไร ต่อให้เป็นผู้เกี่ยวข้องลินก็ยังอยากรับรู้ความจริงมากที่สุดในเหตุการณ์ครั้งนี้

"ขอบใจ" เธอพูดกับวิว ขณะที่วิวลุกขึ้นยืนข้างลิน ตรงหน้าเป็นข้อมูลการเสียชีวิตที่ยังเป็นปริศนา

มีผู้กำกับสน.คนหนึ่งเดินเข้ามา ชายคนนั้นคุมคดีสน.วันนี้ ทั้งลินและวิวรู้ว่าควรจะตอบอะไรและอะไรเป็นอะไร

"คิดว่านี่เป็นสนามเด็กเล่นเหรอ เข้าได้เฉพาะตำรวจ"

"เธอมากับฉัน คุณผู้กำกับ เธอมีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าเกิดอะไรกับพ่อของเธอตราบใดที่ไม่ทำลายหลักฐาน" วิวหันไปตอบผู้กำกับ พร้อมกับลินที่หันหน้าไปรับฟังการตักเตือน

"ตราบใดเท่าที่ไม่ทำลายหลักฐาน" ผู้กำกับทวนคำตอบขณะที่มองหน้าลินท้ายสุดขณะที่มองหน้าผู้กำกับ

สายตาลินยังไม่ละจากผู้กำกับ แววตาลินกำลังจะบอกว่านี่เป็นเรื่องของเธอ และฉันคือสถานะที่ต่อรอง

"ถูกตีด้วยของแข็ง หลายครั้งและตีแรงเข้าที่หน้า" เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดขึ้น

"เลือดทั้งหมดเกิดจากรอยแผลเหรอ" วิวถามเจ้าหน้าที่ตรวจสอบหลักฐาน ลินกำลังดูตามทุกจุดที่มีหมายเลขวางไว้

"เปล่า ฆาตกรอาจจะเก็บเป็นรางวัล"

"เอ็มอยู่ไหน เธอปลอดภัยรึเปล่า" ลินหันไปถามวิว ขณะที่ลินดูรอบ ๆ ตัวผู้ตาย ทั้งโต๊ะทำงานและชั้นวางหนังสือ ดูเหมือนว่าพ่อพึ่งจะกลับมาบ้านกำลังตามข่าวการเลือกตั้งผู้ว่าของเมืองภูเก็ต

ลินหันหน้าไปยังวิวรอคำตอบ วิวตอบด้วยความเงียบกับแววตา ไม่ได้มีท่าทางอะไรพิเศษนอกจากหยิบเอารูปมาให้ดู เป็นรูปใบหน้าเอ็มถูกถ่ายด้วยราวกับเป็นปัจจุบัน

"นี่ถูกส่งมาที่สถานีตำรวจ หลังจากนั้นก็ติดต่อพ่อของเธอไม่ได้" วิวอธิบาย

ข้อความในจดหมาย

'ในท้ายที่สุดไม่ใช่ว่าเธออายุเท่าไหร่ แต่มันคือเธอได้ใช้ชีวิตอย่างมีความหมายกี่ปีในช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่ เธอเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ จากใคร เพื่อนลับ ๆ ของเธอ'

เป็นจดหมายที่แนบมาพร้อมผ้าเช็ดหน้าของพ่อลินที่เปื้อนเลือด

"เรามาถึงที่นี่น้องเธอก็ไม่อยู่แล้ว ไม่พบร่องรอยการต่อสู้" วิวอธิบาย

"หมายความว่าอาจจะหนีไปได้" ลินพยายามสังเกตดูจุดต่าง ๆ ตั้งแต่รอยเลือดและอาวุธที่ใช้

"ที่โรงเรียนบอกว่าเธอนั่งแท็กซี่กลับบ้าน นั้นเป็นที่สุดท้ายที่มีบันทึกภาพไว้ เรากำลังตามทะเบียนเลขแท็กซี่คันนั้นอยู่"

ลินถอนหายใจ บางส่วนในตัวเธอรู้แล้วว่าคาดหวังกับเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ ไม่แน่ชัดเลยว่าเอ็มหายตัวไปตอนไหน ในหัวลินกำลังตะโกนต้องการคำตอบอยู่ คำตอบของเรื่องนี้เป็นปัญหาในเวลานี้ เสียงกรีดร้องโหยหวนต้องการความช่วยเหลือไม่สามารถออกมาจากรูปภาพได้ รูปภาพนี้เป็นหมึกของแสงที่ตวัดด้วยน้ำท่วมพู่กันอย่างล้นปรี่บนกระดาษ พระเจ้าลงโทษลินเยี่ยงคนบาปผู้ศักดิ์สิทธิ์และเป็นเหล่าโฉมงามของความตาย ลินกลืนน้ำลาย รับรู้ความจริงที่ไม่อยากรู้ ถ้าตอนนี้ลินเจอน้องที่ซ้อนตัวอยู่คงอยากถามว่า 'มีที่อยู่มั้ย ที่ที่พวกเขาไปอยู่โดยไม่มีใครตามไปได้ ที่อยู่ในตัวตนของพวกเขาเองที่ไม่มีใครเข้าไปหาได้ ที่ที่ดูเหมือนไม่มีใครอยู่เลยสักคน ฉันจะถามเขาว่ามีทะเลหรือต้นไม้มั้ย มันอยู่ไหนและเธอจะไปไหน เธอจะไปไหนเวลาเธออยากไปที่อื่น' เพราะเป็นอะไรที่พิเศษมากมีไม่กี่คนที่ทำอะไรแบบนั้นได้ ตอนนี้ลินอยากหนีออกจากตรงนี้ ของวันนี้และเวลานี้ พ่อหนีไปได้อย่างสำเร็จแล้ว สิ่งที่ลินกลัวนอกจากการไม่มีใครฟังลินจริง ๆ คือการทำให้พ่อผิดหวัง แต่ตอนนี้ลินไม่ได้ต้องกังวลถึงความผิดหวังนั้นอีกแล้ว ไม่มีการผิดหวังจากการคาดหวังของสายตาจากพ่อถ้ามีใครคนใดคนหนึ่งจากไปก่อนความคาดหวังและการตัดสินจะยุติลง

เหมือนเรื่องเหล่าเป็นตัวบันทึกความรู้สึกในตัวลินเอง โดยมีความกลัวเป็นเครื่องมือ ข่าวของทีวีในบ้านคือที่มาและจุดเริ่มต้นของความกลัว

"ของพวกนี้มีความหมายอะไรกับเธอมั้ย" วิวหยิบจดหมายชุดอื่นที่ถูกทิ้งไว้ในบ้าน

จดหมายฉบับที่สอง

'เธอจะช่วยฉันให้น้องของเราปลอดภัย อย่าทิ้งใครไว้ข้างหลังอีก จากเพื่อนลึกลับ'

ข้อความกำลังประมวลอยู่ในหัวลิน มันย้ำเตือนถึงการไม่สามารถอยู่ทุกที่ได้ นี่ไม่ใช่ข้อความเรียกหรือบอกให้ลินรอ แต่มันกระตุ้นความกลัว เรียกร้องและขอเพิ่มราวกับขี้ยาต้องการสารเสพติดเพิ่ม

"เกิดอะไรขึ้น!!" ผู้บังคับการคดีทักวิว

"ฉันให้เธอเข้ามา" วิวตอบผู้บังคับการคดี

"เธอมีเอี่ยวด้วยเหรอ" วินัยหันไปคุยกับวิว

"ไม่ เธอไม่เกี่ยว" วิวเถียง

"เธอรู้ได้ไงล่ะ" วินัยถามซ้ำ

"ให้ตายเถอะ ฉันไม่แคร์ว่าเป็นลูกของท่านวิศุทธิ์ หรือแค่เด็กมีปัญหา นักข่าวมารออยู่ข้างนอกเต็มไปหมด เอาเด็กนี่ออกไปจากที่เกิดเหตุ"

"ฉันแค่พยายามจะหาความเชื่อมโยง" วิวพูดฐานะเป็นตำรวจเก็บหลักฐานที่รู้จักทั้งวิศุทธิ์และลิน

"สุนทรพจน์ของลินคอล์น จากเกตตีสเบิร์ก" ลิน แทรกตอบ

"อะไรนะ" ผู้บังคับการคดีวินัยถามซ้ำพร้อมความสงสัย

"ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความหมายกี่ปีในช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่ ประโยคของลินคอล์น มันแปลว่านี่คือจุดเริ่มต้นขึ้น" ลินย้ำกับสิ่งที่นึกออก ความสามารถในการอ้างอิงถึงหนังสือและวรรณกรรมต่าง ๆ ในระหว่างบรรทัดของสิ่งที่จำเป็นต้องพูด

"ชอบที่จะทำตัวฉลาดสินะ สุขสันต์วันคริสต์มาส" วินัยประชดไปทางลิน

"ขอโทษครับท่านผู้บังคับการ นักข่าวรอท่านข้างนอก" ตำรวจยศเล็กท่านหนึ่งแทรกบทสนทนาเตือนวินัย

"เอาเธอออกไปจากที่นี่ เดี๋ยวนี้" วินัยตะคอกเตือนครั้งสุดท้ายไปยังวิว

ลินที่กำลังยืนตัวตรงจ้องศพพ่อตัวเอง

"มาเถอะ" วิวพูดเบา ๆ อย่างใจเย็นกับลิน

ตั้งแต่เกิดการระเบิดเตาปฏิกรณ์นักข่าวชอบพวกเรา แต่ตำรวจเกลียดพวกเรา ข้าราชการไม่ชอบพูดถึงปัญหา ตอนนี้การคลังของประเทศเป็นหนี้ สูงสุดในรอบหลายปีจากนโยบายของนักการเมือง วิศุทธิ์เข้ามาในการเมืองจากการสำเร็จในธุรกิจส่วนตัวจะหาทางลัดเพื่อแก้ไขปัญหา แต่เมืองท่องเที่ยวที่นี่มันเน่าเฟะเกินไปทุกที่เต็มไปด้วยยาเสพติด ระเบิดและเพื้นที่ปกครอง การประท้วงถูกจัดให้อยู่ในที่ผ่อนปรน แต่มันไม่เคยมีการฟังเสียงผู้เดือดร้อนที่แท้จริงขยะเต็มเมือง ที่นี่กำลังกินตัวเองอย่างสวาปาม

ลินออกมาคุยกับวิวเป็นการส่วนตัว พื้นที่บริเวณบ้านถูกสำรวจโดยรอบ บางสิ่งที่ไม่สามารถแปลออกมาเป็นภาษาได้ไม่ได้แปลว่ามันไม่สำคัญหลังจากนี้ลินไม่จำเป็นต้องดูดซับความเครียดจากพ่ออีกต่อไปแล้ว ความเครียดจากพ่อแม่ที่แปลงมาเป็นความเจ็บปวดของลิน แม่จากไปก่อนหน้านี้สองปี ความอัปยศที่ลินรู้สึกตอนนี้ไม่ใช่ความรู้สึกที่มาจากตัวเธอ แต่มาจากภาพทั้งหมดที่ลินเห็นในบ้านของตัวเอง อารมณ์กลายเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ความว่างเปล่ากลายเป็นระบบตกทอดทางระบบประสาท

ความเป็นผู้หญิงครอบครองตัวลินมาตลอดเวลา ภาพลักษณ์และการปฏิสัมพันธ์ตัวตนที่ครอบครองลินถูกตีกรอบตามบุพบททางสังคม สิ่งที่ผู้ชายต้องการนั้นน่าเบื่อ ธรรมดามาก ไม่สร้างสรรค์ ร่างกายบุคลิก วิญญาณของตัวลินเกินจากการซ้อนทับด้วยความหลอกลวงนับล้านซ้อนทับตัวลินอยู่ถึงแม้จะเห็นลินยืนอยู่นอกบ้านนั้น ท่ามกลางฝน แต่ตรงนั้นเป็นเพียงจุดวิพากษ์วิจารณ์ทางสังคมในการสร้างบุคลิกขึ้นมา เรารู้สึกหลงทางทั้ง ๆ ที่ยังยืนอยู่และรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ความเป็นผู้หญิงลอยหายไปและเอื้อมไม่ถึง เธอแค่อยากเป็นเหมือนมหาสมุทร ที่ไม่อยากจะยืนนิ่ง ๆ แค่พยายามมีชีวิตอยู่ ปัญหาเดียวก็คือเรามักจะเสียคนที่เรารักไประหว่างทางตลอด คิดว่าตัวเองทำพลาดตลอด ตื่นตระหนกและเป็นชีวิตที่ยากจริง ๆ ลินคิดจะทำลายตัวตนตัวเองตลอดเวลาแต่ระหว่างคิดทำร้ายตัวเองกับการเป็นอิสระอาจจะอยู่ได้ในทิศทางที่น่ากลัวทั้งสอง ลินอยากหนีไปจากตรงนี้ ตอนนี้ลินไม่รู้ว่าตัวเองร้องไห้ทำไม เพราะความเจ็บปวดหรือแค่รู้สึกว่าชีวิตจริงน่าผิดหวัง ความจริงคือไม่มีอะไรของจริงเลย ทั้งหมดราวกับเป็นเรื่องเพ้อฝัน การมีชีวิตอยู่หลังจากนี้เต็มไปด้วยการถูกไล่ตามด้วยเงาของความตาย ลินทุรนทุรายภายในขณะเดินออกทางหลังบ้านมาพร้อมกับวิว

"ฉันรู้จักเธอ" วิวทักก่อนลินจะกลับ

"เหรอ"

"ฉันรู้เวลาที่เธอกำลังจมดิ่ง"

"ฉันไม่อยากเข้าใจที่นี่อีก ฉันเบื่อที่จะมีคนมาบอกว่า ฉันยินดีที่จะสูญเสีย ฉันแค่จะช่วยทำสิ่งที่ถูกต้อง ๆ"

"เธออยากจับตัวคนร้ายจนตัวสั่นเลยเหรอ ยิ่งเธอกลัว เราจะยิ่งทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จ" วิวเตือน

"ฉันไม่ได้กลัว ฉันโมโห" ลินถูกพาเดินออกจากที่เกิดเหตุ กลับบ้านที่ตำรวจเตรียมไว้ให้สำหรับการคุ้มครองพยาน สำหรับลินความกลัวเป็นจุดเริ่มต้นของความตาย เธอกลัวที่จะตายที่นี่ และมันเป็นเรื่องน่ากลัวที่จะยิ่งกระโดดลงไปในความจริง เพราะโลกความจริงช่วงชิงความสุขและการทำสิ่งดี ๆ ในชีวิตไปแล้ว ทุกอย่างที่ลินต้องทำหลังจากกลับไปที่พัก แค่ปิดระบบไฟฟ้าทุกอย่าง ปิดไฟทุกดวงแล้วก็หลับตาและไม่คิดถึงใครทั้งสิ้น ไม่มีใครในความคิดทำร้ายจิตใจเราได้ มันช่างปลอดภัย คิดว่าชีวิตไม่มีความหมายจะอยู่ไปเพื่ออะไร พ่อตายและน้องสาวก็อาจจะตาย ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านั้นแล้ว แต่ยังไงก็ตามมันมีสิ่งที่อยากทำตอนนี้ถ้าตัดสินใจจะมีชีวิตอยู่ต่อก็ต้องฝืนเดินหน้า นั่งให้สบายเตรียมพร้อมกับเรื่องต่าง ๆ ได้เวลากลับบ้านแล้วนี่คือสิ่งที่ลินบอกตัวเอง นี่คือขบวนรถไฟความคิดสุดท้ายของวัน

"วันนี้จบลงด้วยดวงตาไร้แววพระเจ้าที่ทอดทิ้งและบาปที่ก่อตัวของทุกคน เป็นเนินทรายดูดลุ่มหลงต่อความพ่ายแพ้ของชีวิต"

เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2548 คิมยองซูตอบคำถามเกี่ยวกับลิน ตำรวจนักสืบคดีถามเกี่ยวกับคิปป์ทีม

"แล้วเธอจัดเป็นนักเรียนประเภทไหน"

"โอ้ หนูก็เป็นพวกทั่ว ๆ ไปนั่นแหละ ผมหยิกเหมือนคนทั่วไป และเล่นกีฬาหลังจากเดินได้" ซูพูดพร้อมเคี้ยวขนมกับยิ้มซ่อนฟัน

"ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวไป มันขึ้นอยู่กับวิธีการใช้ความรู้ของพวกเขาด้วย เพราะมันมักจะมีภาระอยู่ในความรู้ ภาระในการระแวดระวัง ก็แบบภาระของผู้เป็นแม่ ผู้ไถ่บาปและเป็นบาปในเพศ ทั้งหมดนั้นอาจจะมากไปสำหรับคนบางคน คนที่ฉลาดที่มีความมั่นคงนั้นหายาก ส่วนฉันนั้นค่อนข้างโอเค ดีกว่าคนบางคนแต่รู้อะไรมั้ย เพียงแค่ฉันรู้วิธีพูดคุยกับผู้คนแค่นั้นก็ทำให้ฉันผ่านเรื่องต่าง ๆ มาได้แล้ว กีฬาที่ลินเล่นธนูสากล เธอเตรียมการซ้อมตั้งสี่ปี เธอจัดการมันได้หมดหรือไม่ก็คิดภาพในหัวไว้หมดแล้ว เธอคิดหลายอย่างตลอดเวลา และคงไม่ได้รบกวนความคิดหรือจัดระบบความคิดมา ลินไม่ได้คิดเป็นเส้นตรงถึงมีส่วนทำให้เธอเป็นอัจฉริยะแต่ก็มีส่วนที่ทำให้น่าอึดอัดด้วยเหมือนกันถ้าต้องพยายามบีบให้เธออยู่ในระบบที่ต้องคิดเป็นเส้นตรงอย่างระบบกฎหมาย ที่หนูรู้คือเธอไม่ใช่คนที่ชอบคุยนัก ยกเว้นตอนที่คุณอยากให้เธอหุบปากนั่นแหละแต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ฉลาด ใช่แล้วในหกเดือนที่เราทำงานด้วยกันในที่สุดฉันก็ไปที่บ้านลิน พอเห็นแล้วทำให้หนูรู้เลยว่าคนที่เตรียมการกับทุกอย่างเป็นยังไง" การควบคุมเป็นภาพลวงตาและมโนภาพก็เป็นความหมายให้กับเพื่อแยกความจริงและหลีกหนีความจริง เป็นการรักษาตัวเองและปิดบังตัวเองไปพร้อม ๆ กัน นี่เป็นวิธีในการเยียวยาตัวเองของคิม ยองซู