อาเบลไม่ได้งี่เง่า หรือความรู้สึกช้า เขารู้สึกได้ว่าไนท์โกรธ
ไนท์ที่อ่อนหัดโกรธเรื่องที่เขาใช้โอเมก้าล่อสัตว์ประหลาดแล้วยิงทิ้ง
ไนท์ใจอ่อนอีกแล้ว ใจอ่อนกับเรื่องไม่เข้าเรื่อง...
โอเมก้าคือสิ่งที่สร้างใหม่ได้ จะร้องโวยวายทำไมกัน นี่เป็นเหตุผลที่เขาไม่อนุญาตให้ใครหลุดปากบอกเรื่องนี้กับไนท์ เพราะเขารู้ว่าไนท์จะต้องไม่พอใจมากแน่ๆ
แต่เป็นเพราะมัน!
เจ้าคนเสแสร้งน่ารังเกียจนั่น
เวอร์ชูว...
ชื่อนี้พูดถึงทีไร พาลจะทำให้คิ้วองค์จักรพรรดิกระตุกถี่ยิบๆ
มันชอบปรากฎเวลาที่เขาไม่สามารถเอื้อมมือไปจัดการกับมันได้ เหมือนมันเองก็รู้ว่าเขาไม่เคยชอบหน้ามัน ทั้งยังรู้อีกว่าเขาพยายามปิดบังไนท์เรื่องอะไร และหาวิธีบอกอย่างแนบเนียน จนตัวเองเหมือนผู้ผดุงคุณธรรมที่แสนดี ขณะที่เขากลายเป็นผู้ร้ายในสายตาไนท์
[ยืนยันเป้าหมายถูกทำลาย]
[รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 35 วินาที]
วันนั้นไนท์ช็อก และไม่เอ่ยอะไรอีกเลย
"เดี๋ยว ผมขอพาไนท์ไปส่งบ้านเอง ลำบากท่านจัดการสัตว์ประหลาดนั่นให้ทุกคนแล้ว"
มันเอ่ยแล้วก็พาไนท์ที่ไม่ขยับเขยื้อนจากไป โดยที่เขาตามไปไม่ได้ เพราะมีภารกิจติดพันอยู่
มันน่าฆ่าทิ้งนัก!
อาเบลเกลียดมันจนอยากยิงลำแสงใส่ดาวมันสักที ถ้าไม่ติดที่ว่ามันกับคณะหมู่ดาว ได้รวมตัวกันเป็นปีกแห่งสันติภาพ ประกาศตัวทำเรื่องเสียสละไปทั่วจักรวาล จนมีหลายฝ่ายเข้าสนับสนุนมันอย่างเหนี่ยวแน่น
เขาไม่ชอบขี้หน้ามันตั้งแต่แรกเห็นแล้ว ตั้งแต่ที่มันแสดงความสนิทสนมกับไนท์ ในวันครบรอบการครองราชย์ของไนท์ในปีที่สามสิบ
อาเบลคิดว่ามันเป็นเพื่อนเก่าแก่ของไนท์ แต่เขาก็ได้แต่คาดเดาไปต่างๆนานา เพราะไนท์ก็ไม่เคยเล่าว่ารู้จักมันได้ยังไง หรือตั้งแต่เมื่อไร
มันรู้เกี่ยวกับไนท์มากกว่าเขา นี่คือสิ่งที่ทำให้อาเบลหงุดหงิด
แต่ลึกๆแล้วเขารู้สึกได้ว่าไนท์ไม่อยากเอ่ยถึงและไม่อยากข้องเกี่ยวกับเวอร์ชูวมากนัก นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้อาเบลยอมปล่อยผ่านเรื่องคนน่าโมโหนี้ไป โดยไม่ทำอะไร
ในเมื่อไนท์ไม่สนใจ ก็ไม่มีอะไรให้เขาใส่ใจเช่นกัน
เวอร์ชูวเองก็เหมือนจะรู้ตัว แล้วถอยไปเอง คนผู้นั้นจึงไม่ได้เข้ามาในสายตาของเขาอีก จนกระทั่งวันประชุมที่ผ่านมา
อาเบลคิดผิดที่ยอมให้ไนท์มาที่ประชุมด้วย ประกอบกับความไม่เหมาะสมที่จะพูดคุยกับสมาชิกทั่วๆไปต่อหน้าคนอื่น เขาจึงต้องเว้นระยะห่างจากไนท์ ทำให้ตั้งแต่เปิดฉากการประชุมไนท์ก็ถูกโหวตออกจากวงแหวนแรกทันที แต่นั่นไม่ได้เหนือความคาดหมายเท่าไร
ไนท์อาจจะตกใจอยู่บ้าง แต่ก็ดูสบายใจกับที่นั่งใหม่ อาเบลเองคิดว่านั่นเป็นสิ่งดีแล้ว ไนท์ที่อ่อนหัดจะได้ไม่ต้องมารับมือกับพวกปีศาจในวงแหวนแนวราบที่พร้อมจะสูบเลือดสูบเนื้อกันไม่ต่างจากสัตว์ประหลาด
ไนท์นั่งๆนอนๆตลอดการประชุม ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างดูราบลื่นจนกระทั่งมันเดินเข้ามา
มันทักไนท์ด้วยรอยยิ้มสุภาพ ปราศรัยอย่างเป็นมิตรสไตล์ปีกสันติภาพ ไนท์คนใหม่ที่ไม่ทันเล่ห์เพทุบายก็เออออไปหมดทุกอย่าง อาเบลรู้ว่ามันแค่มาทดสอบดูว่าไนท์จำเรื่องในอดีตได้หรือเปล่าเหมือนที่ทั้งเขาและชาร์ลอยากจะรู้
แต่แค่บทสนทนาสั้นๆก็เห็นได้ชัดว่าไนท์คนนี้ไม่ได้ต่อต้านขัดขืนมันเลย ออกจะชอบอยู่ใกล้มันมากกว่าเขาเสียอีก
ซึ่งนี่ยิ่งทำให้อาเบลหงุดหงิด แม้เขาจะรู้สึกได้แต่แรกแล้วว่าไนท์เกิดใหม่ไม่ค่อยอยากเข้าใกล้เขามากนัก ออกจะหวาดกลัวอย่างผิดปกติตลอดเวลา อาเบลยกเหตุผลว่าไนท์คงยังไม่ชินกับโลกรอบๆตัวถึงตื่นตกใจง่าย แต่ไนท์ก็ไม่ควรจะรู้สึกดีกับเจ้านั่นนะ
ไม่ควรเลย
แต่อาเบลก็ยั้งมือไว้ เพราะคำขอร้องของไนท์
"แกรู้จักเวอร์ชูว แห่งปีกสันติภาพไรโซเรียรึเปล่า" เขาเคยเอ่ยถามเช่นนี้ในอดีต
"อืม รู้จัก"
"ดาวของมันผลิตโอเมก้าส่งออก...ขายเป็นสินค้าในตลาดมืดให้กับดาราจักรต่างๆ" อาเบลเอ่ย เขารู้ข่าววงในของดาวแทบทุกดวง โดยเฉพาะพวกอิทธพลใหม่ที่กำลังขยายอำนาจอย่างปีกสันติภาพ ไนท์ควรรู้ว่าพวกมันก็ทำเรื่องที่ไนท์คงไม่เห็นด้วยแน่ๆ และอาเบลก็ไม่ลังเลที่จะยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูดทันทีที่เขาสืบข่าวมาได้ แม้จริงๆแล้วมันควรจะเป็นความลับก็ตาม
ไนท์หันมาสบตาเขาแล้วยิ้มบางๆ เหมือนอิกไนท์จะดูออกถึงเจตนาที่อาเบลพูดเรื่องนี้ขึ้นมา
"เวอร์ชูวเคยยกโอเมก้าให้ผมด้วยล่ะ อาเบล ผมค่อนข้างชอบนะ"
แววตาจักรพรรดิเย็นชาขึ้น ความไม่พอใจฉายชัดจนไนท์หัวเราะออกมา
"หึงเรอะครับ?"
อาเบลแค้นเสียงเฮอะ "เราไม่ชอบหน้ามัน อย่าให้เราเห็นว่าแกไปสนิทกับมันอีกนะ ไม่งั้น..."
"หึงแรงเสียด้วย น่ารักจังนะครับ"
อาเบลกดเสียงต่ำข่มขู่ แต่มันก็หาได้มีความกลัวสักนิดไม่
"เรา...เตือน...แล้วนะ"
"ผมจะไม่ยุ่งกับเวอร์ชูว และปีกสันติภาพแน่นอน อาเบล แต่ผมขออย่างเดียวได้มั้ย?"
แววตาที่ร้องขอทำเอาอาเบลปฏิเสธไม่ได้
"อย่าทำร้ายเวอร์ชูว เขาเป็นเพื่อนของผม"
"เพื่อน?"
ไนท์พยักหน้า "นานมาแล้ว ก่อนที่เราจะทะเลาะกันเพราะความเห็นไม่ตรงกันบางเรื่อง"
….
เขาทำตามที่สัญญาไว้แล้ว แต่ไนท์กลับเป็นคนที่ผิดคำพูด
ทำไมถึงละทิ้งตัวตนไป ทำไมถึงไปโดยไม่บอกสักคำ
ก็ในเมื่ออิกไนท์ เป็นคนที่เริ่มทุกอย่าง...
ดาวแต่ละดวงมีวิธีเลือกอัลฟ่าแตกต่างกัน สำหรับดาวอาเบล ตำแหน่งอาเบลหรือจักรพรรดิ คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด อัลฟ่าที่กำเนิดใหม่ทั้งสี่จะมาแข่งขันกัน หรือใช้คำให้ชัดเจนกว่านั้นคือ ฆ่ากัน เพื่อหาผู้ที่เชี่ยวชาญในการใช้มิติที่สุดขึ้นมาเป็นผู้นำ
ดาวอื่นๆ สามารถเลือกเป็นพันธมิตรกับฝ่ายใดก็ได้ แต่ส่วนมากมักไม่อยากยุ่งเกี่ยวเพราะไม่มีอะไรการันตีว่าอัลฟ่าที่ตัวเองสนับสนุนจะชนะ ทำให้อนาคตมีความเสี่ยงมากเกินไป
อาเบลใช้มิติได้ถึงมิติที่สี่อันเป็นพื้นฐานของอัลฟ่า ขณะที่อัลฟ่าฝึกหัดคนอื่นใช้ได้ถึงมิติที่ห้าแล้ว เขากำลังจะแพ้ ไม่มีใครคิดจะสนับสนุนเขา แต่ทั้งๆที่เขาไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุด ในวินาทีสุดท้ายกลับมีคนคนหนึ่งเลือกเขา...
"ผม อิกไนท์ คลอร์ว อัลฟ่าของดาวเล็กๆ ถ้านายไม่รังเกียจพันธมิตรอย่างผม ก็ให้ผมช่วยนะ" มันปรากฎตัว เรื่องราวของอิกไนท์ คลอร์ว เขาเคยได้ยินผ่านๆมาบ้าง แต่ไม่คิดสนใจ มาวันนี้ได้เจอตัวจริง ถึงได้รู้เลยว่าทำไมมันถึงไม่มีคนคบ เพราะมันเป็นคนบ้าดีๆนี่เอง
"ตอนนี้เราเสียเปรียบทุกด้าน เราจะไม่รับผิดชอบชีวิตของแกหรือประชากรของแกให้หรอกนะ" อาเบลหรืออัลฟ่าอันดับสี่ในตอนนั้นตอบเสียงเย็นชา เพราะเขาไม่คิดว่าพันธมิตรเพียงคนเดียวจะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมใดๆได้
"อืม ผมรู้แล้ว" แต่คนบ้ากลับตอบมาแค่นี้ แล้วจากนั้นมาอิกไนท์คนนี้ก็คือพันธมิตรหนึ่งเดียวที่ช่วยเขาสู้กับอัลฟ่าอีกสามคน
ต่อหน้ากองกำลังของศัตรู ไนท์เปิดมิติโจมตีสายฟ้าแล่บด้วยการลากอัลฟ่าฝึกหัดทั้งสามเข้าไปสู้ในมิติเอกเทศแล้วฆ่าอัลฟ่าหัวหน้ากองทัพไปทีละคน กองทัพที่ไร้ผู้นำของพวกมันถูกเขาทำลายได้อย่างง่ายดาย ก่อนที่กำลังสนับสนุนของดาวอื่นจะได้ย่างกรายมาร่วมสงคราม
เมื่อตำแหน่งจักรพรรดิเป็นของเขา ดาวอื่นๆจึงไม่มีทางเลือกนอกจากส่งข้อความขอโทษหรือแสดงความยินดีมาให้พร้อมของขวัญชดเชยมูลค่ามหาศาลแด่จักรพรรดิคนใหม่
อาเบลถึงได้เข้าใจในวันนั้นถึงความน่ากลัวของอัลฟ่าที่ล่าอัลฟ่า...
เขาแน่ใจเลยว่าไนท์จะต้องเปิดมิติได้สูงกว่าเขา รวมทั้งพี่ๆของเขาด้วยเช่นกัน ถ้าอย่างนั้นมันอยู่ในระดับไหนแล้ว? ในเมื่อพี่ๆของเขาเปิดได้ถึงมิติที่ห้า แปลว่ามันต้องเหนือไปกว่านั้น หกงั้นเรอะ หรือเจ็ด ถ้าอย่างนั้นมันย่อมเป็นตัวตนที่ใกล้เคียงกับพระเจ้ามากที่สุดแล้วในจักรวาลตอนนี้...
แค่คิดถึงตรงนี้อาเบลก็รู้สึกหวาดระแวง อำนาจที่เหนือกว่าทำให้เขาไม่อาจไว้ใจคนคนนี้ได้ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไร มันจะเป็นภัยคุกคาม ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เมื่อเกิดปัญหาอัลฟ่าถูกล่า ทั้งภาคีจะสงสัยว่าสัตว์ประหลาดนั่นเป็นฝีมือของไนท์ เพราะหลายๆฝ่ายที่เคยเป็นพันธมิตรเก่าของอัลฟ่าทั้งสามก็ระแคะระคายเรื่องนี้อยู่ ทุกฝ่ายรู้ว่าไม่ใช่ฝีมือเขาที่ชนะพี่น้องทั้งสามได้ แต่เป็นคนอื่น...
"ทำไมแกถึงเลือกช่วยเรา?" อาเบลทนไม่ไหวจนต้องถามออกไปในที่สุด ตอนแรกเขาคิดว่ามันบ้า แต่ถ้ามันแข็งแกร่งขนาดนี้ มันก็ไม่จำเป็นต้องช่วยเขา ฆ่าทุกคนแล้วชิงพลังของจักรพรรดิหมู่ดาวABELLไปเลยไม่ดีกว่าเรอะ?
"ผมต้องการคนที่เห็นคุณค่าของผมมากที่สุด และผมต้องการพันธมิตรที่แข็งแกร่งเพื่อแผนการในภายภาคหน้า นายจะช่วยผมได้มั้ยล่ะ?"
"แกคิดจะทำอะไร?"
"ไว้ผมจะบอกวันหลังนะ แต่ตอนนี้..." อิกไนท์ฉีกยิ้มที่เขาลงความเห็นในใจว่าน่าโมโหมาให้ และเมื่อมันพูดประโยคถัดไปอาเบลก็แน่ใจเลยว่าไม่ใช่แค่น่าโมโห แต่เป็นน่าให้ไปเกิดใหม่ซะ
"ผม...ขอจีบอาเบลได้มั้ย?"
เจ้าของชื่อใช้เวลาประมวลผลร่วมนาที แล้วเบิกตากว้าง
"แก...ว่า...อะไรนะ" เขาคิดว่าเขาหูฝาด
"ผมขอจีบอาเบลได้มั้ย?" มันยังยืนยันคำเดิม อย่างไม่เกรงกลัวสักนิด!
"พูดบ้าอะไรของแก! นี่มันเรื่องไร้สาระอะไร" เขากำลังพูดคุยความลับทางการทหารอย่างจริงจัง ทำไมถึงได้กลายเป็นเรื่องแบบนี้ เห็นชัดๆว่ามันจงใจกวนประสาทเขา
"ผมไม่ได้ล้อเล่นนะ อาเบล ผมจริงจัง ผมขอจีบอาเบล เพราะผมอยากจีบอาเบล"
จักรพรรดิที่ถูกจีบเป็นครั้งแรกในชีวิตเมื่อหายตกใจก็หรี่ตาพิจารณา ไม่ว่ามันจะล้อเล่นหรือพูดความจริง เขาก็ไม่ยินดีทั้งนั้น คำตอบของเขามันแน่นอนอยู่แล้ว
"ไม่!" อาเบลเน้นคำเสียงดังจนแทบตะคอก เรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องให้ความหวังหรอก! แต่อิกไนท์ก็ยังยิ้มแบบน่าไปเกิดใหม่เหมือนเดิม
"งั้นผมจะขอไปเรื่อยๆจนกว่าอาเบลจะอนุญาตนะครับ อย่าถือสาแล้วกัน"
ถือสิ ถือมากด้วย ถือจนอยากระเบิดดาวมันทิ้ง!
อย่าบอกนะว่ามันช่วยเขาด้วยเหตุผลนี้? ถึงอาเบลจะมั่นใจว่าตัวเขามีรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดี มีอัลฟ่าหลายคนชอบติดต่อมาเยินยอบ่อยครั้ง แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะสามารถหาพันธมิตรได้ด้วยสิ่งภายนอกเช่นนี้ และเขาก็ไม่เชื่อเช่นกันว่าอิกไนท์จะแค่หลงใหลภายนอกของเขา
มันมีเหตุผลอื่นที่ไม่ยอมบอกเขา เหตุผลที่อาเบลเลือกจะระวัง และคิดให้รอบคอบก่อนจะมีปฏิสัมพันธ์ใดๆกับคนคนนี้
แต่มันก็ไม่ย่อท้อแม้ว่าเขาจะเย็นชาแค่ไหนก็ตาม คอยแวะเวียนมาเยี่ยมเยือนโดยมิได้นัดหมาย พร้อมความใจกล้าที่ทำให้อาเบลปวดหัวตุบๆ
"ผมอุตสาห์มาหา อาเบลไม่คิดถึงผมบ้างเลยเรอะ"
ไสหัวไปซะ!
"ผมคิดว่าอาเบลจะใจอ่อนยอมลงให้ผมซะทีนะครับ"
ลงอะไรไม่มีวัน!
มันทานทนคำปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยของเขาได้ เหมือนที่อาเบลต้องทานทนความหน้าด้านครั้งแล้วครั้งเล่าของมัน จนวันไหนไม่รู้ที่เขาเผลอ เขาแค่เผลอ ขอยืนยันว่าแค่เผลอเท่านั้น! เขาเผลอไปเพราะต้องการอยากรู้ว่าไนท์คนนั้นผ่านมิติได้ถึงขั้นไหนแล้ว
วันนั้นเขาเอ่ยปากถามตรงๆ เพราะจากที่พยายามสังเกตและสืบอยู่หลายครั้งไม่เป็นผล อิกไนท์แย้มยิ้มเหมือนรู้ว่าเขาข้องใจมานานแล้ว
"ให้ผมเปิดให้ดูมั้ย?"
"แกจะทำให้ดู?" อาเบลถามอย่างประหลาดใจ ความลับขนาดนี้มันยังกล้าบอกอัลฟ่าคนอื่นด้วยเรอะ
"อ่า แลกเปลี่ยนกับที่อาเบลต้องเปิดของอาเบลให้ดู" เจ้าตัวเอ่ยแล้วมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้อาเบลขนลุก
เปิดบ้าอะไร!
"แก...อยากตายเรอะ?" อาเบลถามเสียงเหี้ยม เขาจริงจังมันยังกล้าล้อเล่นอีก ไนท์หัวเราะ ใบหน้าของเขาเริงร่าเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่
"ผมก็แค่หมายถึงอาเบลต้องเปิดเผยความลับอย่างหนึ่งให้ผมรู้ด้วยไงครับ ตกลงมั้ย?"
รอยยิ้มยียวนทำให้อาเบลกรอกตาคิดหนัก ดาวเขามีความลับเป็นร้อยเรื่อง แค่เรื่องเดียวแลกกับเรื่องที่เขาอยากรู้เจียนคลั่ง อาเบลคำนวนตัวเลขในหัว แล้วสุดท้ายเขาก็เผลอตกลง แค่เผลอไปเท่านั้นเอง!
แล้วอิกไนท์ก็ฉวยโอกาสนั้น มันเปิดเส้นทางมิติของมันให้เขาดู
ในความเข้าใจของเขา มิติที่สี่ คือพื้นฐานของอัลฟ่าทุกคน ทำให้อัลฟ่าคนนั้นสามารถเดินทางอย่างอิสระไปในช่วงเวลาใดๆในมิติที่สามของดวงดาวตนเองได้ ตั้งแต่ต้นกำเนิดจนดับสูญ ส่วนมิติที่ห้าที่เขาอยู่ในตอนนี้ จะทำให้สามารถล่วงรู้ความเป็นไปได้ทั้งหมดหรืออนาคตที่จะเกิดขึ้น เรียกง่ายๆว่ามันทำให้เขาเห็นผลลัพธ์ของการตัดสินใจเลือกทั้งหมดจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง
มิติที่หกเป็นเพียงคำเล่าลือ ว่าด้วยการที่เขาสามารถพบมิติคู่ขนานของตนเองที่เกิดจากเส้นทางที่แตกต่างในอดีต และทำให้มิติคู่ขนานนั้นคือปัจจุบันที่เขายืนอยู่ อาเบลพอจะจินตนาการออก
แต่ที่น่างงงวยคือสิ่งที่มันกำลังทำอยู่ นี่แปลว่ามันก้าวไปยังมิติที่เจ็ดแล้วงั้นหรือ มิติที่เจ็ดที่ว่าด้วยจักรวาลอันเป็นอนันต์มิได้มีแค่จักรวาลเดียว แต่มันคือความเป็นไปได้ที่จะค้นพบจักรวาลใหม่ที่มีกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง
สถานที่ที่สุดจะจินตนาการได้
วันนั้นเขาได้เห็นมิติที่ตัวเองยังเข้าไม่ถึง แต่ก็แลกกับสิ่งที่สูงค่าไม่แพ้กัน เพราะขณะที่เขาได้เห็นความลับในมิติของไนท์ ไนท์เองก็ได้เห็น...ความลับของเขาเช่นกัน
ต้นกำเนิดของเขา