ทางเมืองได้รับรายงานว่ามีสัตว์อสูร 'เบเรี่ยน' ปรากฏตัว สัตว์อสูรตัวนี้มีผลึกแบบพิเศษอยู่ข้างใน ซึ่งเป็นผลึกที่จะช่วยให้ทางเมืองสามารถเพิ่มพื้นที่ในการเพาะปลูกได้ นั่นทำให้หลาย ๆ เมืองประกาศฤดูแห่งการล่าขึ้นมา โดยที่หากนักล่าคนไหนสามารถล่าผลึกจากเบเรี่ยนกลับมาได้ จะได้รับค่าตอบแทนที่มีราคาสูง
ราคาค่าตอบแทนในการล่าสัตว์อสูรตนนี้นั้นขึ้นอยู่กับความใหญ่ของเมือง เมืองเล็ก ๆ อย่างลาสเวกัสนั้นไม่มีทุนมหาศาลเท่าเมืองอื่น จึงทำให้ไม่มีนักล่าระดับสูงคนไหนตัดสินใจรับงานจากลาสเวกัสเลยแม้แต่คนเดียว ยกเว้นก็แต่เคิร์กที่จะมาช่วยล่าในทุกฤดู แต่ฤดูนี้ เคิร์กดันติดภารกิจบางอย่างที่สำคัญ ทำให้ไม่ได้มาเข้าร่วมฤดูล่าในครั้งนี้ได้
แต่การขยายพื้นที่เพาะปลูกนั้นก็ไม่ได้สำคัญเท่าไหร่ ไม่มีการขยายสักฤดูทางเมืองก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากมายนัก แต่ที่เหล่านักล่าต้องมาชุมนุมกันในวันนี้ก็เพราะองค์กรพีเนชั่น องค์กรที่มีแต่นักล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวหน้าใหม่
องค์กรพีเนชั่นได้ประกาศว่าพวกเขาจะนำระบบทหารกลับคืนมา นั่นคือทางเมืองจะมีทหารเป็นของตัวเอง และใช้ทหารในการออกล่าผลึกและปกป้องเมืองแทนนักล่า ซึ่งระบบนี้มีข้อดีคือใช้ต้นทุนที่ต่ำลง ด้วยการจ่ายเงินให้กับทหารในรูปแบบเงินเดือน ซึ่งจะเป็นเงินที่น้อยกว่าเงินที่นักล่าได้รับโดยเฉลี่ย แต่มีข้อดีคือ อุปกรณ์ทางเมืองจะเป็นคนจัดหาให้โดยที่นักล่าไม่ต้องเสียเงินเอง และสวัสดิการหลังเกษียณที่นักล่าจะได้รับ ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้นักล่าไม่ต้องทำงานไปจนแก่จนเฒ่า
แต่ตอนนี้ทางเมืองยังไม่ได้รับข้อเสนอนี้ ด้วยในความคิดที่ว่าระบบทหารแบบเก่านั้นมีข้อเสียมากกว่าข้อดี ทำให้ทางองค์กรพีเนชั่น ต้องหาทางพิสูจน์ตัวเอง ซึ่งสิ่งที่พวกเขาจะใช้พิสูจน์ในครั้งนี้คือใช้นักล่าวัยรุ่นทั้งหลายของพวกเขาที่พึ่งจะรับเข้าไปเป็นสมาชิกได้แค่เดือนกว่า ๆ ในการออกล่าเบเรี่ยน และนำผลึกกลับมาให้แก่ทางเมือง ซึ่งตอนนี้นักล่าวัยรุ่นเหล่านี้ ก็สามารถนำผลึกกลับมาได้แล้วหนึ่งก้อน
ในวันนี้เหล่านักล่าระดับกลางจนถึงนักล่าที่ไร้ระดับ จึงมาเพื่อชุมนุมกันเพื่อคิดหาทางออก และหาทางเอาชนะองค์กรพีเนชั่นให้ได้ ด้วยการล่าผลึกให้ได้มากกว่า
ณ ห้องโถงกว้างในตึกร้างขนาดใหญ่ เหล่านักล่ากำลังจ้องมองมาที่ชีฟเป็นตาเดียว นักล่าที่มีระดับสูงสุดในที่แห่งนี้ก็พูดขึ้น
"นี่เหรอ เด็กหนุ่มที่มีพลังจิตรูปแบบเรดาห์"
พลังจิตของชีฟไม่ใช่ความลับอีกต่อไปเมื่อทางคาเรร่านั้นได้ใช้ข้อมูลของมันในการหาพันธมิตรทางการค้า
ชีฟจ้องมองนักล่าที่เป็นชายวัยกลางคนตรงหน้า เขาสวมชุดเกราะสีเขียวที่คล้ายกับเกราะของฟางหลง และตรงอกขวามีตัวอักษรที่เป็นชื่อของเขาสลักไว้ด้วย ซึ่งเขามีชื่อว่า สวิต
ชีฟตอบ
"ใช่"
สวิตจ้องมองชีฟแล้วเอื้อมมือขวาไปจับลูกระเบิดที่อยู่ในกระเป๋าด้านหลังของตัวเอง
"เธอมีความสามารถแบบที่บริษัทของเธอโฆษณาจริงมั้ย"
"จริง"
"งั้นที่มือขวาฉันจับอยู่คืออะไร"
"ระเบิด"
สวิตเลิกคิ้ว ก่อนจะเผยรอยยิ้มอย่างพอใจ เพราะอีกฝ่ายตอบอย่างรวดเร็วโดยไม่มีลังเล แถมคำตอบยังถูกต้องเสียด้วย
"โอเค งั้นแบบนี้ก็ใช้ได้"
จากนั้นสวิตก็หันไปอธิบายถึงแผนของเขาให้กับทุกคน สวิตต้องการนักล่าที่เก่งที่สุดที่มีในตอนนี้หนึ่งร้อยคนเพื่อไปออกล่ากับเขา และต้องการนักล่าธรรมดาอีกห้าสิบคนเพื่อคอยสนับสนุนด้านการปฐมพยาบาลและจัดหาเสบียง
เหล่านักล่ามีระดับมากมายต่างพากันเสนอตัวเอง ปกติแล้วการล่าเบเรี่ยนนั้น สำหรับนักล่าระดับกลางแล้ว การล่านี้จัดว่ามีอันตรายอย่างมาก ทำให้นักล่าระดับกลางมักจะไม่ค่อยอาสาตัวเองเสียเท่าไหร่ แต่คราวนี้ด้วยศักดิ์ศรีที่กำลังจะถูกนักล่าจากองค์กรหนึ่งแย่งไป ก็ทำให้เหล่านักล่าระดับกลางมากมายฮึดสู้และใจกล้าขึ้นมา
เมื่อได้คนครบจำนวน สวิตก็เริ่มแจกแจงหน้าที่ของแต่ละคน โดยเขาได้แบ่งออกเป็นหน่วย หน่วยละสิบคน
โดยหน่วยที่หนึ่ง สอง สาม สี่ และห้า เป็นหน่วยจู่โจมที่มีหน้าที่ไล่ล่าเบเรี่ยนและปลิดชีพเจ้าสัตว์อสูรตัวนี้ให้ได้
หน่วยที่หก เจ็ด และแปด มีหน้าที่คอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของเบเรี่ยนและให้การสนับสนุนแก่หน่วยจู่โจม
หน่วยที่เก้าและสิบ มีหน้าที่ดูแลปกป้องชีฟ ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการระบุตำแหน่งของสัตว์ประหลาดและสัตว์อสูร
สุดท้ายหน่วยที่สิบเอ็ดถึงสิบห้า มีหน้าที่ให้การสนับสนุนด้านเสบียง
เมื่อแบ่งหน้าที่กันเสร็จเรียบร้อย สวิตก็ให้ทุกคนกลับไปพักผ่อน เพื่อวันรุ่งขึ้น จะได้ทำการปฏิบัติการล่าได้อย่างเต็มกำลัง
คริสหันไปคุยกับฮิกในขณะที่กำลังเดินทางกลับเมือง
"ไปอยู่แนวหน้าปะทะกับสัตว์ระดับสัตว์อสูร คิดว่าชีฟจะไหวมั้ย"
ฮิกหันมาตอบ
"ได้อยู่มั้ง ไอ้หนูของเราเก่งอยู่แล้ว ไม่เป็นอะไรหลอก"
แม้ในแผนชีฟจะถูกคุ้มกันอย่างดี แต่คริสก็แอบเป็นห่วงไม่ได้ ก่อนจะถอนหายใจออกมาแรง ๆ จนฮิกสังเกตได้ ฮิกจึงพูดขึ้นปลอบใจเพื่อน
"ไม่ต้องห่วงหลอกน่า งานนี้พวกเราก็ได้รับหน้าที่ให้เป็นหน่วยเสบียง ถ้ามีอะไรผิดพลาดขึ้นมา เราก็แค่ขับรถฝ่าเข้าไปพาชีฟหนีก็จบเรื่อง"
คริสมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วพึมพำ
"ถ้าง่ายแบบนั้นก็คงดี"
เบเรี่ยน สัตว์อสูรที่มีลักษณะเป็นคลื่นพลังงานสีเขียวที่คล้ายกับวิญญาณคนตาย มันเป็นสัตว์อสูรที่มีรูปร่างเหมือนคนและสูงถึงสองเมตรที่ชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มือทั้งสองข้างของมันมีลักษณะคล้ายกับเคียวที่มีใบมีดอันแหลมคม สถานที่ที่มันปรากฏมักจะเป็นป่าดงดิบที่รกทึบ สัตว์อสูรตนนี้มีความสามารถสองอย่าง คือ ล่องหนกับปลดปล่อยกระแสไฟฟ้าสีเขียว โดยความสามารถในการล่องหนของเบเรี่ยน ไม่สามารถใช้แสงในการทำให้มันเผยตัวได้ จำเป็นจะต้องใช้กล้องหรือแว่นตาที่สามารถตรวจจับคลื่นพลังงานได้เท่านั้น
ทีมนักล่าที่ใช้ในการล่าเบเรี่ยนแต่ละครั้งจะมีทั้งหมดหนึ่งร้อยคน โดยจะต้องมีนักล่าระดับสูงสามสิบคนเป็นอย่างน้อย จึงจะสามารถจัดการกับเบเรี่ยนได้โดยที่ไม่สูญเสียกำลังคน
วันรุ่งขึ้น ปฏิบัติการล่าเบเรี่ยนก็เริ่มขึ้น รถบรรทุกหุ้มเกราะและรถฮัมวี่หลายคันพากันมุ่งหน้าไปยังป่าดงดิบทางทิศใต้ ซึ่งโดยปกติแล้วนักล่าจากทิศเหนือจะไม่ค่อยออกล่ายังจุดนี้ ด้วยข้อตกลงของเคิร์กกับเซโน่ ที่นักล่าทั้งสองฝ่ายจะไม่รุกล้ำอาณาเขตซึ่งกันและกัน แต่ด้วยวันนี้เซโน่ก็ติดภารกิจล่าเบเรี่ยนอยู่ที่เมืองอื่น และทางเซโน่ก็ไม่อยากให้นักล่าพ่ายแพ้แก่องค์กรพีเนชั่นเช่นกัน เซโน่จึงอนุญาตให้นักล่าจากฝั่งเหนือมาล่าในเขตตนได้ในครั้งนี้
ระหว่างที่ขบวนรถขับเคลื่อนไปตามถนนหนทางนั้น ด้านหน้าก็มีนักล่าอีกกลุ่มหนึ่งพร้อมขบวนรถอีกหนึ่งขบวนรออยู่
นักล่าในชุดเกราะสีดำทมิฬตัวใหญ่ เดินมายืนดักหน้าขบวนรถของนักล่าจากฝั่งเหนือเอาไว้
สวิตสั่งให้ขบวนรถหยุดลงแล้วตนเองก็ลงจากรถไปคุยกับอีกฝ่าย
"ว่าไง บลัสเตอร์"
นักล่าที่ชื่อบลัสเตอร์เอ่ยตอบ
"เซโน่ไม่ไว้ใจว่าพวกนายจะทำได้ เลยส่งพวกเรามาช่วย"
"นึกว่าเจ้านายพวกแกจะเอาแต่งอมืองอเท้า รอให้พวกเด็กโง่นั่นมันมาเปลี่ยนแปลงโลกนักล่าของเราซะแล้ว จะช่วยก็มา แต่ค่าจ้างหารครึ่งนะ"
"ได้ ล่าครั้งนี้มีสิ่งสำคัญมากกว่าเงิน เอาไงเอากัน"
เซโน่ได้ส่งนักล่าระดับกลางของตัวเองมาช่วยเสริมกำลังห้าสิบคน โดยมีห้าคนที่เป็นนักล่าระดับสูงและสามในห้าก็ใช้พลังจิตได้
ทางด้านป่าดงดิบทางทิศเหนือ
นักล่าร้อยกว่าคนจากพีเนชั่นกำลังซุ่มมองดูวิญญาณสีเขียวที่พากันลอยไปลอยมาอยู่ในป่า พวกเขาซ่อนอยู่ตามพุ่มไม้และต้นไม้ใหญ่ เพื่อรอจังหวะที่จะโจมตี
เหล่านักล่าพากันทำตัวให้นิ่งที่สุดเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว อุปกรณ์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมดบนชุดเกราะถูกปิดไว้ชั่วคราว แม้แต่บาเรียที่พวกเขาใช้งานก็ไม่ถูกเปิดใช้งาน
เหล่าเบเรี่ยนที่ล่องลอยไปมาเริ่มมีจำนวนที่เบาบางลงเมื่อเบเรี่ยนหลายตัวพากันทยอยลอยไปทางอื่น และเมื่อบริเวณโดยรอบเหลือเบเรี่ยนอยู่แค่สามตัว
ดาจองผู้นำการล่าในครั้งนี้ก็ตะโกนสุดเสียง
"เอาเลย"
บาเรียของชุดถูกเปิดใช้งาน เหล่านักล่าทั้งหลายพากันนำปืนที่บรรจุกระสุนสลายพลังงานออกมา แล้วระดมยิงใส่เบเรี่ยนสามตัวที่เหลืออยู่อย่างรวดเร็ว
เบเรี่ยนที่โดนระดมยิงพากันล่องหนหายตัว แต่ก็ยังคงถูกมองเห็นได้ด้วยอุปกรณ์ตรวจจับพลังงาน
ดาจองเร่งการโจมตีขึ้นอีก
"เร็วเข้า ก่อนที่เบเรี่ยนตัวอื่นจะรู้ตัวแล้วกลับมา"
ทุกคนระดมยิงใส่เบเรี่ยนสามตัวอย่างหนัก แต่เหล่าเบเรี่ยนก็ไม่ยอมอยู่เฉย ๆ ให้จัดการง่าย ๆ พวกมันเคลื่อนไหวไปมาด้วยความรวดเร็ว และพุ่งเข้าโจมตีสวนกลับเป็นพัก ๆ เคียวคลื่นพลังงานอันแหลมคมปะทะเข้ากับตัวของนักล่าจนเกิดเป็นแสงวาบ ซึ่งเกิดจากการสะท้อนพลังงานของบาเรีย ที่สามารถสะท้อนพลังงานของเคียวกลับไปได้ นั่นทำให้นักล่าคนนั้นเพียงแค่กระเด็นไปด้านหลังเท่านั้น ส่วนเบเรี่ยนก็ลอยถอยหลังไปตั้งหลัก ก่อนจะหาทางพุ่งเข้าโจมตีใส่คนอื่นอีกครั้ง
ดาจองกวาดสายตามองสถานการณ์โดยรอบ นักล่าสาวคนหนึ่งโดนฟันใส่ครั้งที่สองบาเรียก็เรืองแสงวูบขึ้นมาแล้วสลายหายไป
ดาจองตะโกนสั่ง
"ใครที่โดนฟันครบสองครั้งแล้วให้ถอยไปอยู่แนวหลังทันที"
เหล่านักล่าที่โดนฟันครบสองครั้งพากันหนีไปอยู่แนวหลังตามคำสั่ง ส่วนนักล่าที่เหลือก็พากันระดมยิงใส่เบเรี่ยนไม่ยั้ง จนกระทั่งเบเรี่ยนสองตัวสลายหายไปและเหลือทิ้งไว้แต่เพียงก้อนผลึกสีม่วงที่ร่วงลงมา
เบเรี่ยนตัวสุดท้ายปล่อยคลื่นกระแสไฟฟ้าออกมาเป็นวงกว้าง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ของนักล่าหยุดทำงานทันที นั่นรวมถึงแว่นตรวจจับพลังงานบนหมวกของนักล่าด้วย
ดาจองสั่งการอีกครั้ง
"วิ่งกลับไปที่รถให้เร็วที่สุด"
ทุกคนพากันวิ่งกลับออกจากป่าตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว
เมื่อเบเรี่ยนปลดปล่อยคลื่นกระแสไฟฟ้าออกมา มันจะเหนื่อยและเคลื่อนไหวได้ไม่รวดเร็วนัก การปล่อยคลื่นพลังงานนี้ คือการเรียกร้องพวกพ้องที่อยู่ไกลออกไปให้มาช่วย โดยคลื่นพลังงานจะถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง หากไม่รีบกำจัดก็จะไม่มีวันมองเห็นตัวอื่นที่เข้ามาช่วยเหลือมันได้เลย นั่นทำให้เหล่านักล่าจากพีเนชั่นต้องพากันถอยหล่นออกจากป่าไปเพื่อตั้งหลัก