webnovel

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน… ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?! สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป... วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย? ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้… “ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง “เรียกแม่สิ” เธอล่ะอยากจะเป็นลม...

เพียนฟางฟาง · Sejarah
Peringkat tidak cukup
946 Chs

040 เผชิญหน้าท่ามกลางฝูงชน

บทที่ 40 เผชิญหน้าท่ามกลางฝูงชน

ผู้ดูแลบ้านเผยสีหน้าเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เขาถูกเหยียบไว้ด้วยแรงมหาศาล ขยับไปไหนไม่ได้แม้แต่น้อย

ภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ทำให้ผู้คนต่างตกตะลึงจนอ้าปากค้าง

ไม่มีใครคาดคิดว่าผู้ดูแลบ้านจะพูดขึ้นแล้วลงมือเลย แต่ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะทำไม่สำเร็จ

ผู้คนต่างเบนสายตาไปจับจ้องอยู่ที่อวี๋หวั่นพร้อมกัน

พวกเขามิได้รู้สึกเห็นใจผู้ดูแลคฤหาสน์สกุลไป๋ พวกเขาเชื่อว่าคนสกุลอวี๋ไม่ผิด เพียงแต่มือไม้ของเด็กคนนี้ออกจะไวไปสักหน่อย พวกเขายังไม่ทันสังเกตว่านางเคลื่อนไหวอย่างไร ก็พบว่าผู้ดูแลบ้านถูกนางเหยียบ และลงไปนอนร้องโหยหวนอยู่บนพื้นเสียแล้ว…

“นางเด็กบ้านนอกนี่ใจกล้านัก! กล้ามาทำเรื่องชั่วช้าในคฤหาสน์สกุลไป๋!” ฮูหยินไป๋กล่าวด้วยโทสะพลุ่งพล่าน

ลุงใหญ่และอวี๋เฟิงก็มีสีหน้าถมึงทึงขึ้นมาทันที

“ยังไม่หลีกไปอีก!” ฮูหยินไป๋แผดเสียงพร้อมสะบัดแขนเสื้อ

ฮูหยินไป๋แม้ชาติกำเนิดจะไม่สูง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นถึงนายหญิงของสกุลไป๋ เด็กบ้านนอกไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไร้ที่พึ่งพิงอย่างอวี๋หวั่น ไม่มีทางอยู่ในสายตาของนาง

ก็มิได้เก่งกาจอะไร นางไม่เชื่อ คฤหาสน์สกุลไป๋มียามรักษาการณ์ตั้งมากมายเช่นนี้ จะจับนางเด็กบ้านนอกคนนี้ไม่ได้เชียวรึ!

“พวกเจ้ายืนงงกันอยู่ไย? ยังไม่ไปเรียกยามมาอีก!” ฮูหยินไป๋สั่งบ่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

บ่าวผู้นั้นได้สติกลับมาหลังจากที่กำลังตกตะลึงกับภาพเหตุการณ์ก่อนหน้า นางเหลือบไปมองอวี๋หวั่นด้วยความ

หวาดกลัว สายตาเย็นเยียบคู่นั้นทำให้บ่าวสะดุ้งโหยง “ฮู...ฮูหยิน...ท่านว่าเราต้อง...”

ฮูหยินไป๋หมดความอดทน “บอกให้ไปเจ้าก็ไปสิ! พูดพล่ามอะไร!”

บ่าวมิกล้ารอช้า วิ่งออกไปเรียกยามด้านนอก

ยามเข้ามาอย่างรวดเร็ว

บัดนี้ ผู้ดูแลบ้านซึ่งถูกอวี๋หวั่นเหยียบอยู่นั้น ได้เป็นลมไปแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกอวี๋หวั่นเหยียบ หรือเป็นเพราะเขาตกใจกลัวกันแน่

“ฮูหยิน” หัวหน้ายามรักษาการณ์เดินเข้ามาประสานมือคำนับฮูหยินไป๋

ฮูหยินไป๋ยกยิ้มอย่างพอใจ ชี้ไปยังอวี๋หวั่น “พวกเจ้า จับนางให้ข้าที!”

หัวหน้ายามมองไปยังอวี๋หวั่น และเอ่ยขึ้นด้วยความลำบากใจว่า “ฮูหยิน พวกเขาคือคนที่คุณหนูเชิญมา จับพวกเขาเช่นนี้เกรงว่าคงไม่เหมาะ ขอเรียนถามฮูหยิน ว่าแม่นางท่านนี้ทำผิดอันใดหรือ”

ยามผู้นี้นับว่าทำหน้าที่ได้รอบคอบดี สามพ่อลูกลอบถอนหายใจ

ฮูหยินไป๋กลับรู้สึกไม่สบอารมณ์ ไป๋ถังเชิญมา พวกเขาก็ไม่กล้าจับเสียแล้ว พวกเขายังเห็นข้าเป็นนายหญิงของบ้านอยู่หรือไม่?

“เจ้าหมายความว่า...เจ้าจะไม่ฟังที่ข้าพูดรึ?” ฮูหยินไป๋ถามแดกดัน

หัวหน้ายามตอบอย่างสุภาพว่า “ข้าน้อยมิได้หมายความว่าอย่างนั้นขอรับ ข้าน้อย...”

“ได้” ฮูหยินไป๋กล่าวพูดตัดบทอย่าง ‘ใจกว้าง’ “ข้าเข้าใจหน้าที่ของพวกเจ้า แต่ข้าจะบอกให้พวกเจ้าฟังเช่นกัน ว่านางขโมยของขวัญจากคฤหาสน์สกุลไป๋ ทั้งยังทำร้ายร่างกายผู้ดูแลบ้านด้วย พวกเจ้าว่านางควรถูกจับหรือไม่เล่า”

“เอ่อ...” หัวหน้ายามมองไปยังผู้ดูแลบ้านซึ่งนอนสลบอยู่บนพื้น และมองไปยังของขวัญที่กองพะเนินเป็นภูเขา เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

ฮูหยินไป๋ทนไม่ไหว “โจรเข้ามาที่บ้าน หากพวกเจ้าไม่ช่วยจับ สกุลไป๋จะเลี้ยงพวกเจ้าไว้ทำไม!”

“ฮูหยินไป๋ คนที่ท่านจะใส่ร้ายป้ายสีก็คือพวกข้า เหตุใดจะต้องไปสร้างความลำบากใจให้แก่ยามรักษาการณ์บ้านท่านด้วยเล่า?” อวี๋หวั่นกล่าวเสียงค่อย

“ใครใส่ร้ายป้ายสีพวกเจ้า?” ฮูหยินไป๋กล่าวพลางเหยียดตัวตรง

อวี๋หวั่นจึงพูดว่า“ที่ท่านพูดว่าพวกเราเป็นโจร ข้าใคร่ขอถามสักนิดว่าพวกเราขโมยสิ่งใด”

ฮูหยินไป๋ตอบ “ก็ของขวัญน่ะสิ!”

อวี๋หวั่นกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ในเมื่อฮูหยินไป๋ยืนกรานว่าของเหล่านี้เป็นของสกุลไป๋ เช่นนั้นมิสู้ให้นำรายการของออกมาสำแดงต่อหน้าทุกคน จะได้รู้กันว่าของเหล่านี้ได้รับมาจากแขกท่านใดดีกว่าหรือ”

ฮูหยิบไป๋ตะลึงงันไปทันที

“ทำไมเล่า ฮูหยินไป๋ไม่กล้าหรือ?” อวี๋หวั่นกล่าวอย่างไม่ยี่หระ

ฮูหยินไป๋คิ้วกระตุก ทว่ามิได้ตอบอวี๋หวั่น “ข้าว่าเด็กคนนี้หากไม่ประสีประสา ก็คงแสร้งทำเป็นไม่ประสีประสา วันนี้แขกเหรื่อที่มาร่วมงานที่คฤหาสน์สกุลไป๋มีมากนัก ย่อมต้องได้รับของขวัญมาเป็นจำนวนมาก เกรงว่านับไปสามวันสามคืน ก็คงนับไม่หมด...”

“งั้นก็นับไปสามวันสามคืน” อวี๋หวั่นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ทางที่ดี เรียกคนจากทางการมาด้วย เรียกชาวบ้านในเมืองหลวงมาด้วย ให้ทุกคนมาเป็นพยาน จะได้เห็นกันถ้วนทั่วว่าพวกเราไม่ได้ขโมยของของสกุลไป๋”

“เจ้า...” ฮูหยินไป๋โมโหจนหน้าแดงก่ำ “เจ้าเป็นใคร! อยากจะตรวจรายการของ ข้าก็ต้องให้เจ้าตรวจอย่างนั้นรึ?”

“ฮูหยินไม่ยินดีให้ตรวจสอบ เช่นนั้นข้าก็คงต้องไปเชิญคุณหนูไป๋เสียแล้ว พี่ชายท่านนี้ รบกวนท่านไปเชิญคุณหนูไป๋ บอกนางว่าทางนี้เกิดเรื่องที” ประโยคสุดท้าย อวี๋หวั่นบอกกับหัวหน้ายาม

ฮูหยินไป๋จ้องหัวหน้ายามด้วยความเกรี้ยวกราด “เจ้ากล้าไปรึ!”

“เหตุใดเขาจะไม่กล้า”

ไป๋ถังเดินออกมาจากฝูงชน

เมื่อเห็นไป๋ถัง ฮูหยินไป๋ก็หน้าถอดสีทันที

“คุณหนูไป๋” อวี๋หวั่นกล่าวทักทาย

ไป๋ถังเดินมาอยู่ข้างกายอวี๋หวั่น หยิบรายการของปึกหนึ่งมาจากพ่อบ้านติง และกล่าวกับฮูหยินไป๋ว่า “รายละเอียดของงานเลี้ยงอยู่ที่นี่แล้ว เจ้าไม่รู้หนังสือใช่หรือไม่ ข้าจะให้คนอ่านให้ แต่หากเจ้ารู้หนังสือ เจ้าก็อ่านเอาเอง”

นางกล่าวอย่างไม่เกรงใจ ฮูหยินไป๋โกรธจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียว

“ท่านพี่ไป๋ พวกเราไม่ได้ขโมยของนะขอรับ” เถี่ยตั้นน้อยเดินเข้ามา

ไป๋ถังตอบ “ข้ารู้ ข้าเชื่อพวกเจ้า”

“หากเจ้ายืนกรานจะปกป้องหัวขโมยพวกนี้ ก็ปกป้องต่อไปเถอะ! เรื่องในคฤหาสน์หลังนี้ ข้าจะไม่ยุ่งแล้ว!” ฮูหยินไป๋กล่าวด้วยน้ำเสียงแดกดัน แล้วก็เดินกระแทกกระทั้นออกไปด้วยความโมโห

“แยกย้ายไปได้แล้ว” คุณหนูไป๋กล่าวกับผู้คนที่มามุงดู และไม่ลืมที่จะสั่งพ่อบ้านติง “เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เจ้าอย่าลืมตบรางวัลพวกเขาแทนข้าด้วย”

เมื่อได้ยินว่ามีรางวัล ฝูงชนต่างก็ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ แล้วตามพ่อบ้านติงไปยังห้องบัญชี

ไป๋ถังมองอวี๋หวั่นอย่างรู้สึกผิด “ขอโทษด้วย ทำให้พวกเจ้าต้องเจอเรื่องเช่นนี้”

อวี๋หวั่นตอบ “พวกเราต่างหากที่ต้องกล่าวขอโทษ ทำให้ท่านลำบากแล้ว”

มิใช่ว่าทุกคนจะกล้าหักหน้าคนในสกุลเพื่อปกป้องคนนอก แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นแม่เลี้ยงที่ปกติแล้วไม่ค่อยลงรอยกันก็ตาม

ไป๋ถังตอบกลับว่า “วันนี้ข้าฟังคำพูดดีๆ มามากพอแล้ว ไม่ต้องพิธีรีตองเกรงใจกันไปมา ตอนนี้ก็ช้ามากแล้ว ข้าจะไปเตรียมรถม้าส่งพวกเจ้ากลับบ้าน”

อวี๋หวั่นอมยิ้มมุมปาก “ขอบคุณเจ้าค่ะ”

“แล้วท่านเล่า?” อวี๋เฟิงถามขึ้น

ลุงใหญ่ถลึงตาใส่บุตรชาย “วันเกิดของนายท่านไป๋ คุณหนูไป๋ก็ต้องอยู่บ้านฉลองวันเกิดกับท่านพ่อของนางน่ะสิ”

รอยยิ้มเขินอายของดรุณีที่เห็นได้ไม่บ่อยนัก ได้ปรากฏขึ้นบนดวงหน้าของคุณหนูไป๋

“คุณหนู นายท่านเรียกขอรับ” ขณะที่ไป๋ถังจะไปจัดการเรื่องรถม้า เด็กรับใช้ข้างกายของนายท่านไป๋ก็เข้ามา

ไป๋ถังมองไปยังอวี๋หวั่น “พวกเจ้ารอที่นี่เถิด อีกประเดี๋ยวรถม้าก็มาแล้ว”

อวี๋หวั่นพยักหน้า

ไป๋ถังเดินไปพบนายท่านไป๋พร้อมกับเด็กรับใช้

ผ่านไปไม่นาน ก็มีรถม้าหลายคันเคลื่อนเข้ามาดังคาด สามคันสำหรับบรรทุกของ อีกสองคัน…

ที่จริงพวกเขาทั้งหมดนั่งเพียงคันเดียวก็พอแล้ว

อวี๋หวั่นชะงักไป ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เธอจึงเดินไปยังด้านหน้าของรถม้าคันสุดท้าย ค่อยๆ แง้มม่านออก ก็เห็นคุณหนูไป๋นั่งอยู่ข้างใน

คุณหนูไป๋ที่ดูกระฉับกระเฉงและมีชีวิตชีวาเมื่อครู่ บัดนี้ดูประหนึ่งเด็กน้อยที่เศร้าสร้อย นางนั่งหลังตรง สองมือกำผ้าเช็ดหน้าแน่น ขอบตาแดงก่ำ ใบหน้ามีน้ำตาเม็ดใหญ่หยดลงมา

...................................................