บทที่ 54 วัดเมี่ยวฝ่า (9)
ในแววตาของเถ้าแก่เนี้ยก็มีความประหลาดใจเช่นกัน
นางเองก็ไม่ใช่คนอ่อนต่อโลก มีความสงสัยว่าเหมียวอี้รู้จักพวกเขาบ้างหรือเปล่า หรือรู้แต่เพียงความสามารถของพวกเขา ดังนั้นจึงเจตนาแสร้งทำท่าทางแบบนั้นเพื่อให้พวกเขารู้สึกดี แต่ความจริงแล้วก็ไม่ต่างกับพวกเขาเลย
แต่ถึงอย่างไรแววตาก็หลอกกันไม่ได้ สังหารอย่างเยือกเย็นอยู่กลางวงล้อม ไม่นึกถึงความเป็นและความตายเลยสักนิด
ถ้าเป็นผู้ฝึกฝนขั้นสูงก็พอจะวางใจได้ แต่นี่เป็นเหมียวอี้ ไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่ง และไม่มีของวิเศษช่วยเหลือด้วย มีเพียงความกล้าและจิตใจที่มุ่งมั่นที่เห็นเด่นชัดที่สุด อย่าว่าแต่ผู้หญิงเลย แม้แต่ผู้ชายก็ดูออก การแสดงในฉากนี้ก็ได้ใช้เพียงอารมณ์สั่นสะท้านมาอธิบายแล้ว
ตอนนี้เถ้าแก่เนี้ยแปลกใจมากว่าผู้ใดเป็นอาจารย์ของเหมียวอี้ เพราะดูจากการต่อสู้ของเหมียวอี้แล้ว เป็นทักษะการต่อสู้แบบโจมตีกลุ่ม ผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้ก็จะไม่เข้าใจทักษะในการโจมตีกลุ่มแบบนี้เป็นแน่
ผู้ที่กล้าต่อสู้โจมตีกลุ่มในแดนแห่งผู้ฝึกตน ต่างก็เป็นผู้อาวุโสพลังอิทธิฤทธิ์สูงส่งกันทั้งนั้น ที่สามารถเอาชนะฝูงชนได้ นอกนั้นก็มีแต่วิ่งหนีเอาตัวรอด แต่คนที่สอนเหมียวอี้นั้นดูเหมือนจะมีประสบการณ์ที่เหนือกว่าคนอื่น
เหมียวอี้อายุยังน้อยแต่มีทักษะโจมตีกลุ่มที่ชำนาญเช่นนี้ก็แสดงให้เห็นว่ามีการฝึกฝนมานานแล้ว ไม่ใช่เพราะเหมียวอี้เรียนรู้ด้วยตนเองแน่ๆ แค่เขาหลับตานิ่งไว้นั้นก็มองออกแล้ว
นางไม่รู้ว่าเหตุใดอาจารย์ของเหมียวอี้จึงสอนเหมียวอี้ให้เป็นเช่นนี้ เพราะนี่ไม่ใช่การอนุมานพื้นฐานของโลก หากพูดว่าเป็นจอมยุทธ์ที่มีความสามารถ นั่นก็เป็นเพียงแค่การโอ้อวดเท่านั้น ถ้าร่างกายไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์สนับสนุน ก็ไม่สามารถฝึกจนมีความสามารถเหมือนกับเหมียวอี้ได้ การโจมตีของเหมียวอี้ได้ผสานทั้งคน อิทธิฤทธิ์ และทวนเข้าไว้ด้วยกันแล้ว
ทักษะสามารถสอนกันได้ แต่จิตใจเช่นนี้ และพลังเช่นนี้กลับสอนกันได้ยาก ถ้าไม่ใช่อาจารย์ที่ใจใหญ่คงสอนลูกศิษย์แบบนี้ไม่ได้แน่ เถ้าแก่เนี้ยแปลกใจและไม่รู้ว่าอาจารย์คนไหนในแดนแห่งผู้ฝึกตนที่สามารถสอนลูกศิษย์เช่นนี้ได้ คาดว่าอาจารย์คนนั้นก็คงไม่ใช่คนธรรมดาเช่นกัน!
เสียงผีผาหยุดหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
แกร๊กๆๆ! เหมียวอี้ที่กำลังหลับตาได้ลากทวนและกวาดไปบนพื้น และหมุนทวนเป็นพายุอย่างรวดเร็ว
ผีดิบที่ถูกทวนตัดขายังไม่ทันล้มลงกับพื้น ก็ถูกแสงยะเยือกระเบิดศีรษะ ต่างกระเด็นตกลงมาดิ้นรนกับพื้น และลุกขึ้นมาไม่ได้อีกแล้ว
ผีดิบหกตัวสุดท้ายล้มลงกับพื้น ผีดิบนับร้อยตัว ต่างตับแตกไส้ไหล หรือไม่ก็แขนขาดขาขาด หรือไม่ก็เลือดไหลนองพื้น เห็นแล้วน่าขยะแขยงและสยดสยอง มีแขนขาส่วนหนึ่งยังขยับอยู่ด้วยซ้ำ
เหมียวอี้ที่ถือทวนในมือได้ลืมตาขึ้นอย่างฉับพลัน จ้องมองไปที่หญิงสาวชุดแดงที่อุ้มผีผากระดูกขาวเอาไว้ ค่อยๆ ยกทวนในมือขึ้น แล้วชี้ไปที่นาง
หญิงสาวชุดแดงยืนงง มองเหมียวอี้อย่างตกตะลึง นางก็ถูกเหมียวอี้ทำให้ประหลาดใจไม่น้อย
สายตาของเถ้าแก่เนี้ยที่อยู่ตรงหน้าต่างเก่าในวัด จ้องมองเหมียวอี้ด้วยแววตาเป็นประกายสดใส
ส่วนบัณฑิตก็กำลังมองหน้ากันและกัน ผีดิบนับร้อยตัว แต่กลับถูกนักพรตบงกชขาวขั้นหนึ่งกำจัดหมดแล้ว?
เหมียวอี้หันกลับไปมองอย่างฉับพลัน พูดด้วยเสียงโกรธว่า "พวกเจ้ายังไม่ไปอีก จะรอถึงเมื่อไหร่! หรือจะให้ข้าถ่วงเวลาไปจนตายเลยหรือไง?"
ความเคืองแค้นในใจของเขานั้นไม่อาจอธิบายออกมาได้ ตัวเองพยายามที่จะถ่วงเวลา เพื่อที่จะให้พวกเขาหลบหนีไป ไม่นึกเลยว่าพวกเขาจะยังคงอยู่ที่นี่
หากไม่เห็นแก่ที่พวกคนเหล่านี้ได้เตือนช่วยชีวิตเขาเอาไว้แล้วล่ะก็ เขาคงไม่ทุ่มเทเอาชีวิตมาทิ้งอยู่ตรงนี้ คงวิ่งหนีไปแต่แรกแล้วค่อยว่ากันทีหลัง
บัณฑิตและคนอื่นๆ ต่างรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำให้เขาลำบากเกินไปหรือเปล่า? เห็นได้ชัดว่าเขานั้นรู้สึกแย่จนถึงที่สุดแล้ว
พวกเขาเหลือบมองไปยังเถ้าแก่เนี้ย เหมือนจะถามว่า ตอนนี้จะทำเช่นไรดี?
หากแต่เถ้าแก่เนี้ยที่เต็มไปด้วยความบ้าระห่ำนั้นกลับเบะปากด้วยความไม่พอใจ ดูเหมือนจะไม่พอใจที่เหมียวอี้กล้าแสดงอารมณ์โกรธเคืองใส่ตน
เสียงผีผาค่อยๆ ดังขึ้นอีกครั้งในบริเวณวัด
หญิงสาวชุดแดงขยับนิ้วมือทั้งสิบอย่างสบายอารมณ์ พลางเอ่ยเบาๆ "คิดไม่ถึงว่านักพรตบงกชขาวขั้นหนึ่งเช่นท่านจะมีความสามารถถึงเพียงนี้ ข้าประเมินท่านผิดไปแล้ว ท่านชื่อเหมียวอี้สินะ? เหมียวอี้ ท่านยินดีที่จะอยู่ที่นี่เพื่อเป็นคู่รักนักพรตหยินหยางกับข้าหรือไม่ ข้าจะไม่ทำให้ท่านลำบากใจอีก นับแต่วันนี้ไปเราสองปรองดองรักใคร่ ลืมเลือนเรื่องราวต่างๆ นานา บนโลกไปนี้เสีย ดีหรือไม่?"
ใต้แสงจันทร์หลังสายฝน เสียงจังหวะดนตรีของผีผาพลันสับเปลี่ยนเข้าสู่ห้วงทำนองหยอกล้อ สายตาของหญิงสาวชุดแดงแฝงไปด้วยความเชื่อมั่น
ริมฝีปากของเถ้าแก่เนี้ยยังคงเบะขึ้นเบะลงอย่างไร้ซึ่งความอาย เมื่ออิสตรีนางหนึ่งไม่ถูกชะตากับอีกนางหนึ่งย่อมเป็นเช่นนี้เสมอ
สายตาของนางทอดลงบนร่างของเหมียวอี้ เพื่อดูปฏิกิริยาตอบรับของเขา
"ขอข้าคิดดูก่อนได้หรือไม่?" เหมียวอี้ถาม
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ริมฝีปากของเถ้าแก่เนี้ยยิ่งแสดงความค่อนขอดหนักขึ้น
หญิงสาวชุดแดงยิ้มหวานแล้วพูดว่า "หวังว่าคงไม่ปล่อยให้ข้ารอนาน!"
"ไม่นานเกินรอ" เหมียวอี้คว้าทวนกระโดดข้ามผ่านซากศพผีดิบที่เกลื่อนกลาดเต็มพื้น ทิ้งตัวลงยังชายคาของวัด หมุนตัวแล้วเดินเข้าไป
เถ้าแก่เนี้ยและคนอื่นๆ ที่หลบอยู่ตรงมุมหน้าต่างของวัดเห็นเขาเดินเข้ามา มีท่าทีตกใจอีกทั้งยังขาอ่อนไร้เรี่ยวแรงที่จะขยับกายต่อไปได้
เหมียวอี้ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา ใจนึกอยากจะลืมว่าเจ้าพวกนี้เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ถูกทำให้กลัวจนไม่กล้าวิ่งไปไหนอีก
หญิงสาวชุดแดงในวัดกลับโอบกอดผีผากระดูกขาวแหงนหน้ามองดวงจันทร์ มือบรรเลงผีผา ชุดสีแดงค่อยๆ แย้มสยาย ขานร้องร่ายระบำ
นางไม่กลัวว่าเหมียวอี้จะหนี เหมียวอี้ต่อสู้กับม่อเซิ่งถู ทั้งยังทำสงครามกับผีดิบมากกว่าร้อยตัว แน่นอนว่าได้สูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์ไปไม่น้อย ถึงคิดจะหนีก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือของนาง
ไม่ได้ปล่อยให้นางรอนานจริงๆ ด้วย เสียงของเหมียวอี้ดังขึ้นจากในวิหาร "ข้าคิดดีแล้ว"
หญิงสาวชุดแดงหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า "หมายความว่าอย่างไร?"
"ว่ามาซิ"
ได้ยินเพียงเสียงของเหมียวอี้ แต่กลับไม่ปรากฏเงาร่างของเขา
แววตาของหญิงสาวชุดแดงเป็นประกาย กลับไม่กลัวว่าเหมียวอี้จะเล่นลูกไม้อะไร กางแขนทั้งสองออก หย่อนกายลงบนระเบียงทางเดินใต้ชายคา โอบอุ้มผีผากระดูกขาว มุ่งเดินเข้าไป เห็นเพียงเหมียวอี้ถือทวนยืนอยู่ในห้อง ชาวบ้านไม่กี่คนนั้นยืนหลบข้างหลังเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ
หญิงสาวชุดแดงกวาดมือพาดผ่านผีผา ยืดแขนแตะผมทรงมวยเมฆเบาๆ ยิ้มพลางพูดว่า "หวังว่าท่านพี่จะไม่ทำให้น้องต้องผิดหวัง"
"ไม่ทำให้เจ้าผิดหวังแน่!" เหมียวอี้คว้าขวดโหลที่ไว้สำหรับบรรจุวัตถุดิบทำอาหารของพ่อครัวออกมา
"นี่คืออะไร?" หญิงสาวชุดแดงเอ่ยอย่างประหลาดใจ
เหมียวอี้โยนขวดโหลนั้นออกไป แล้วพุ่งทวนตามไป
ปัง! กลุ่มควันระเบิดขึ้นภายในห้อง
หญิงสาวชุดแดงสะบัดชายเสื้อใช้อิทธิฤทธิ์กวาดสะบัด ไม่ให้ผงควันเข้าใกล้ตน บัดนั้นได้ยินเสียงดุดันของเหมียวอี้ดังขึ้น "ผงสลายหยิน!"
"ผงสลายหยิน?" สีหน้าของหญิงสาวชุดแดงแปรเปลี่ยน ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ มีความรู้สึกราวกับวิญญาณแตกสลาย ส่งเสียงกรีดร้องหวาดหวั่นฟาดผ่าออกจากด้านในวัด
สิ่งที่เรียกว่าผงสลายหยินนี้ เมื่อคราวที่เหมียวอี้บอกกับเหยียนซิวว่าจะมากำจัดพรตผี เขาเคยได้ยินเหยียนซิวเอ่ยถึงมัน
กล่าวขานกันว่าใช้พลังปราณจากผีพรายอริของพรตผีบดเป็นผงขึ้นมา เป็นที่สุดของวัตถุหยาง พรตผีทั่วไปแม้สัมผัสโดนเพียงเล็กน้อย ก็จะถูกแผดเผาจนวิญญาณแตกสลาย อย่างน้อยที่สุดแผดเผาจนสูญเสียพลังจำนวนมากหรือไม่ก็พลังปราณบาดเจ็บ
การที่หญิงสาวชุดแดงได้ยินชื่อพลันเปลี่ยนสีหน้านั้น ย่อมต้องรู้ว่าสิ่งนี้มีพลังทำร้ายต่อพรตผีมากเท่าไร
แต่ในขณะเดียวกัน เงาร่างของกลุ่มคนใต้แสงจันทร์ได้กระโจนออกจากประตูหลังวัดไปแล้ว มุ่งหน้าไปยังหุบเขา
เถ้าแก่เนี้ยถูกเหมียวอี้กักตัวไว้ในอ้อมอกออกตัววิ่งอย่างไม่คิดชีวิต
…………………………