webnovel

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น 'ตัวหายนะ' เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

เยวี่ยเชียนโฉว · Fantasi Timur
Peringkat tidak cukup
1144 Chs

052 วัดเมี่ยวฝ่า (7)

บทที่ 52 วัดเมี่ยวฝ่า(7)

ขณะขึ้นม้าก็เกิดปัญหาอีกแล้ว

เถ้าแก่เนี้ยผิวสวย ดูเหมือนเป็นหญิงสาวที่ร่างกายแข็งแรง แต่กลับบอบบาง ลองขึ้นม้าหลายครั้งแล้วก็ยังขึ้นไม่ได้

เหมียวอี้ทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว จึงยื่นมือไปประคองนาง แต่นางกลับหลบไปข้างๆ และพูดอย่างเขินอายว่า "ชายหญิงใกล้ชิดกันไม่ได้"

"ข้า..." เหมียวอี้เกือบจะเป็นลม เจ้าจะขี่ม้าไปกับข้า แล้วยังพูดแบบนี้อีกหรือ

เถ้าแก่เนี้ยประคองอานม้าและขึ้นขี่อีกครั้ง ก็ยังคงขึ้นขี่ไม่ได้ ส่วนเหมียวอี้ใกล้จะเป็นลม เพราะรอนานมากแล้ว

เมื่อทนต่อไปไม่ได้แล้ว เหมียวอี้จึงตีไปที่ก้นงอนของนางเสียง ‘เพี้ยะ’ ดังลั่น

เถ้าแก่เนี้ยเหมือนถูกฟ้าผ่า จับก้นแล้วหันไปเบิกตามองเขา

คนหามเกี้ยว บัณฑิต พ่อครัว ต่างก็เบิกตาโต จนลูกตาแทบกระเด็นออกมา อ้าปากกว้างจนยัดไข่ไก่เข้าไปได้แล้ว

เหมียวอี้ไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้น เพียงแค่รำคาญหญิงสาวคนนี้เท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะว่าบุญคุณที่คนผู้นี้เตือนให้ตัวเองหลบหนี เขาก็อยากจะทอดทิ้งพวกเขาไว้เสียจริงๆ

เหมือนเขายังไม่สำนึกว่าตัวเองทำอะไรลงไป และอุ้มเถ้าแก่เนี้ยที่กำลังตกตะลึงขึ้นมา นั่งบนหลังม้าได้ในทันที

ในขณะที่เขากำลังขึ้นม้าตามไป…

"ตึง…ตึง…ตึง…"

ทันใดนั้นก็มีเสียงผีผาดังออกมาจากในวัดอันเงียบสงบ ทำให้เหมียวอี้ตกใจหยุดชะงัก และดึงเถ้าแก่เนี้ยลงจากม้า คุ้มกันให้อยู่ข้างหลังของตัวเอง และกวาดสายตาอิทธิฤทธิ์ไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว

มีเพียงเขาเท่านั้นที่ดูตึงเครียด ส่วนคนอื่นๆ ก็จ้องมองเขาอย่างมึนงง เพราะยังคงตกตะลึงกับภาพที่เขาตีก้นของเถ้าแก่เนี้ยอยู่

ภายใต้แสงจันทร์หนาวเย็นหลังฝนตก ในวัดรกร้างอันเงียบสงัด มองไม่เห็นเงาผู้คน แต่เสียงผีผากลับดังก้องไปทั่ววัด ไม่รู้ว่ามาจากทิศทางใด เมื่อผสมกับเสียงหยดน้ำจากชายคาแล้วไพเราะน่าฟัง แต่ภาพและความรู้สึกนี้ไม่มีใครคาดเดาได้ว่ามันดีหรือไม่ดีกันแน่

เหมียวอี้ตัดสินไม่ได้ว่าเสียงผีผามาจากที่ไหน ส่วนเถ้าแก่เนี้ยกลับมองไปที่บ่อน้ำโบราณตรงนั้น และยังมองซ้ายมองขวาด้วยความตื่นตระหนก แต่ยังคงมองว่าเหมียวอี้จะจัดการอย่างไร

"ตึงๆ" เสียงดังก้องอยู่ในหู ทอดยาวแผ่วเบา ราวกับมีเรื่องทุกข์อยู่ในใจ

เหมียวอี้ยกทวนในมือขึ้น ชี้ไปทางทิศตะวันตกแล้วพูดว่า "ปีศาจตัวไหน มาก่อกวนอยู่ที่นี่!"

มีเสียงถอนหายใจเบาๆ ของหญิงสาว 'เฮ้อ' อยู่ในเสียงผีผาอันแผ่วเบา เสียงเครื่องสายยังคงดังไม่หยุด เสียงหญิงสาวตอบกลับเบาๆ ออกมาจากในวัดว่า "มีสหายมาแต่แดนไกล มิควรยินดีหรือ ในเมื่อมาแล้วก็อย่าเพิ่งรีบจากไปเลย ลองฟังข้าบรรเลงสักเพลงเถิด"

เสียงผีผาหยุดลงชั่วขณะ เหมียวอี้จ้องมองไปที่บ่อน้ำโบราณในวัดทันที พร้อมยกทวนเงินในมือขึ้นเตรียมป้องกัน

เห็นเพียงลมหมอกกลิ่นอายเลือด มีไข่มุกสีเทาใหญ่เท่าไข่นกกระทาเปล่งแสงออกมาจากในบ่อโบราณ หมอกเลือดนั้นส่งกลิ่นโชยไปถึงในวัด

หมอกเลือดเกาะตัวกันอย่างรวดเร็ว กลายเป็นหญิงสาวงามสง่า

หญิงสาวสวมชุดเจ้าสาวสีแดง โอบอุ้มผีผากระดูกขาวลอยเข้าไปในวัด คุกเข่าและนั่งลงบนพื้นไม้ ดีดบรรเลงเพลงผีผา เกิดเป็นเสียงผีผาที่แผ่วเบาขึ้นอีกครั้ง

ในขณะเดียวกันกับที่หญิงสาวปรากฏตัว ม้าทั้งสามตัวนั้นก็ดูเหมือนจะรู้สึกหวาดกลัว ส่งเสียงร้องอย่างไร้การควบคุม ออกห่างจากหญิงสาวชุดแดงนั้นอย่างรวดเร็ว และวิ่งหนีออกนอกวัดไป

หญิงสาวชุดแดงที่กำลังดีดผีผายังคงนิ่งเฉย เพียงแค่พูดอย่างแผ่วเบาว่า "คนอื่นสีซอให้ควายฟัง คิดไม่ถึงว่าข้ากลับสีซอให้ม้าฟัง เฮ้อ! สัตว์ป่าไร้รสนิยม เก็บมันไว้ก็ไร้ประโยชน์"

เสียงจางหายไป ขณะที่ม้าสามตัวนั้นวิ่งผ่านอ่างเก็บน้ำสองแห่งข้างประตูวัด กลับมีมือขนาดใหญ่ยื่นออกมาจากอ่างเก็บน้ำ จับกีบของพวกมันเอาไว้ และลากพวกมันทั้งหมดลงไปในอ่างเก็บน้ำ

ม้าดิ้นอยู่ในอ่างเก็บน้ำ ร้องตะโกนไม่หยุด ทำให้เกิดความวุ่นวายอยู่ในนั้น แต่แล้วก็มีมือคู่ใหญ่จำนวนมากฉุดดึงพวกมันลงไปฉับพลัน และมีเลือดผุดขึ้นมาจากอ่างเก็บน้ำอย่างต่อเนื่อง

เถ้าแก่เนี้ยมีท่าทางตกตะลึง ทุกคนต่างตกใจจนตัวสั่น

เหมียวอี้กวาดตามองในอ่างเก็บน้ำ นึกไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามยังมีผู้ช่วยอยู่อีกไม่น้อย รู้สึกว่าวันนี้คงจะลำบากเสียแล้ว

แต่อารมณ์ของเขา กับการฝึกฝนมาหลายปีเช่นนี้ โดยปกติแล้วไม่ใช่คนที่กลัวอะไร จึงได้กล่าวว่า "เจ้าเป็นภูตผี! พวกเรามาขออาศัยหลบฝนเท่านั้น ไม่มีความแค้นต่อเจ้า ทำไมเจ้าต้องฆ่าม้าของข้าด้วย"

หญิงสาวชุดแดงไม่สนใจคำว่ากล่าวของเขา และยังเงยหน้าขึ้น ใช้สายตาเศร้าวังเวงมองไปที่เขา

นิ้วเรียวยาวบรรเลงเพลงอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับเสียงผีผาแสนเศร้า พูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า "มีเจ้าสาวอยู่ในครอบครัวชาวนา ขอพรจากพระพุทธเจ้า ไม่อยากเลวทรามเหมือนสัตว์ป่า และเปื้อนมลทินให้มัวหมอง จึงขอส่งวิญญาณไปยังแดนน้ำ…จากนี้ภายใต้ต้นไม้เก่า ดีดบรรเลงผีผา หลบซ่อนตัว ปลดปล่อยความทุกข์ แต่ในใจกลับทรมาน เคล้าน้ำตาอยู่ในเพลง..."

เหมียวอี้ตกตะลึง โชคดีที่เรียนรู้วัฒนธรรมมาบ้าง จึงพอเข้าใจความหมาย

ดูเหมือนผีสาวจะบอกว่าตัวเองเป็นลูกสะใภ้คนใหม่ของตระกูลชาวนา มาขอพรในวัด แต่กลับถูกลูกศิษย์วัดทำให้มีมลทิน ถูกฆ่าตายอยู่ในบ่อน้ำ...

เมื่อนึกถึงตอนนี้แล้ว เหมียวอี้ก็รู้สึกอยากอาเจียน เพราะเขาเคยกินอาหารที่ปรุงจากน้ำในบ่อนี้

สีหน้าของเถ้าแก่เนี้ยก็เปลี่ยนเล็กน้อย เพราะพวกเขาเคยกินอาหารที่ปรุงจากน้ำในบ่อนี้เหมือนกัน และอยากอาเจียนด้วย

ทุกคนต่างรู้สึกอยากอาเจียน อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับประสบการณ์ชีวิตของผีสาวน่าสังเวชนี้แล้ว ทุกคนต่างก็ยอมรับอย่างไม่เต็มใจ

"เจ้าอยากให้พวกเราช่วยแก้แค้นหรือ?" เหมียวอี้ลองถาม

ท่ามกลางเสียงผีผา หญิงสาวชุดแดงส่ายหน้า พูดว่า "ข้าแก้แค้นไปแล้ว ตอนนี้แค่อยากหาเพื่อนมาฟังข้าระบายความในใจเท่านั้น"

เหมียวอี้หน้าซีดเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นไปมองสีของท้องฟ้า พูดว่า "ตกลง! คืนนี้พวกเราจะฟังเจ้าระบายความในใจ ฟ้าสว่างแล้วจึงไป"

เขายังไม่เคยประมือกับภูตผี จึงจับตาดูไปก่อนดีกว่า

เถ้าแก่เนี้ยหลบอยู่ข้างหลังของเขา จากนั้นขยับปากไปมา ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรอยู่ แต่รู้สึกเหมือนเวลาที่พูดกับหญิงรับใช้ของเหมียวอี้

"ในเมื่อมาแล้วจงอยู่อย่างเป็นสุขเถิด ไม่เห็นต้องรีบร้อนจากไปเลย ข้าอยู่เพียงลำพังอย่างโดดเดี่ยว อยู่เป็นเพื่อนข้าก่อนไม่ได้หรือ?" หญิงสาวชุดแดงมองเหมียวอี้ด้วยความคับแค้นใจ

เหมียวอี้ขมวดคิ้ว ถามว่า "เจ้าจะให้พวกเราอยู่เป็นเพื่อนเจ้านานเพียงใด?"

หญิงสาวชุดแดงกล่าวว่า "อยากจะให้พวกเจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าไปชั่วนิรันดร์ เพื่อฟังข้าระบายความทุกข์ในทุกคืนวัน"

"ชั่วนิรันดร์?" เหมียวอี้ถาม

"ทำไมล่ะ? ไม่ได้หรือ?" หญิงสาวชุดแดงมีสีหน้าโศกเศร้าอีกครั้ง พร้อมด้วยเสียงผีผาอันน่าเศร้า ทำให้รู้สึกน่าสงสารเหลือเกิน

เหมียวอี้หันไปมองผู้คนที่อยู่ข้างหลังของเขา จากนั้นจ้องมองผีสาวด้วยรอยยิ้มและพูดว่า "ได้สิ แต่ว่าพวกเขายังมีเรื่องสำคัญ เจ้าให้พวกเขาจากไปก่อนดีกว่า ข้าจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเจ้าเอง ได้ไหม?"

…………………………