webnovel

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น 'ตัวหายนะ' เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

เยวี่ยเชียนโฉว · Timur
Peringkat tidak cukup
1316 Chs

045 มีก้างขวางคอ (4)

บทที่ 45 มีก้างขวางคอ (4)

ไม่ได้เข้าเมืองฉางเฟิง แต่ทั้งสามคนกลับมาถ้ำฉางเฟิงเพื่อสืบหาเบาะแสของพรตผีตคนนั้น

นักพรตของถ้ำฉางเฟิงแทบทั้งหมด ออกติดตามสงเซียวไปทำศึก แล้วหลังจากนั้นก็ติดตามสงเซียวไปเขาเส้าไท่ ประมุขถ้ำแต่ละคนของเขาเส้าไท่ก็ยังไม่แน่นอนว่าจะกลับมาหรือไม่ คนของถ้ำฉางเฟิงจึงยังไม่กลับมาก่อนชั่วคราว ขณะนี้มีเพียงพนักพรตหนึ่งคตนอยู่รักษาการณ์ที่ถ้ำนี้อยู่

ได้ยินว่าสงเซียวได้กลายเป็นประมุขแห่งเขาเส้าไท่แล้ว นักพรตอยู่รักษาการณ์ตคนนั้นก็ดีใจมาก ประมุขถ้ำเลื่อนตำแหน่ง แม้ลูกสมุนเก่าจะติดตามไปรับผลประโยชน์กับเขาไม่ได้ครบทุกคน แต่ก็ยังได้อาศัยบารมีอยู่บ้างแน่นอน

หลังจากทุกคนล้อมวงรับประทานอาหารเสร็จแล้ว นักพรตผู้อยู่รักษาการณ์ที่ถ้ำฉางเฟิงก็หยิบเอกสารรายงานที่ส่งจากเมืองฉางเฟิงขึ้นมา ในนั้นรายงานว่าแถบบริเวณ 'เขาพันพุทธะ' เกิดเหตุการณ์พ่อค้าเร่หายตัวไปอย่างประหลาดอีกแล้ว

เหมียวอี้เดิมเป็นคนฉางเฟิง สำหรับ 'เขาพันพุทธะ' ใช่ว่าเขาจะไม่รู้จักสถานที่นี้ มีคำร่ำลือว่าแต่เดิมที่นั่นมีวัดสงฆ์จำนวนมาก ต่อมาที่นี่สั่งห้ามนับถือพุทธ วัดจำนวนมากจึงถูกทำลายจนราบเรียบ

เมื่อก่อนเขาอาจยังไม่รู้ว่าสาเหตุคืออะไร แต่หลังจากกลายเป็นนักพรตแล้ว เหมียวอี้ก็รู้ว่าต้องเกี่ยวกับเรื่องแบ่งแยกอาณาเขตของหกปราชญ์แน่ ปราชญ์เซียนมู่ฝานจวิน ไม่ปรารถนาจะเห็นการเลื่อมใสพร้อมกันสองลัทธิในอาณาเขตของตน หากไม่ยกให้เขาเป็นที่เคารพสูงสุด แล้วจะถือว่าที่นั่นเป็นอาณาเขตของเขาได้อย่างไร? เขาจึงต้องขุดรากถอนโคนเป็นธรรมดา

ม่อเซิ่งถูปิดเอกสารแล้วพูดว่า "เป็นไปได้สูงว่าพรตผีตนคนนั้นจะซ่อนตัวอยู่บริเวณเขาพันพุทธะ"

เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า "เขาพันพุทธะใหญ่ซะขนาดนั้น แค่ตามหาคนธรรมดายังยากเลย แล้วนี่ต้องตามหาพรตผีเนี่ยนะ เราจะหาเขาเจอได้อย่างไรกัน?"

นักพรตเฝ้าถ้ำตนคนนั้นพูดว่า "ก็ไม่ยากหรอก พวกพ่อค้าเร่ธรรมดาตกใจกลัวจนไม่กล้าเดินผ่านบริเวณเขาพุทธะอีกแล้ว ในเมื่อต้องการล่ามนุษย์เพื่อกินเลือด พอไม่มีคนผ่านไปตรงนั้น นานๆ เข้ามันทนไม่ไหวแน่ พวกเจ้าลองปลอมตัวเป็นพ่อค้าเร่ธรรมดาเดินทางผ่านไปแถวนั้นสิ ข้าว่าเป็นไปได้สูงที่จะดึงดูดให้มันออกมาได้"

"ถ้าอย่างนั้นก็ทำแบบนี้แล้วกัน!" จางซู่เฉิงพยักหน้าแล้วตบที่กระดานเบาๆ แล้วก็มอบหมายงานให้นักพรตเฝ้าถ้ำตนคนนั้นอีก "พวกเราเร่งรีบเดินทางมาหลายวันแล้ว คืนนี้จะพักผ่อนที่นี่ทั้งคืน คืนนี้เจ้าช่วยพวกเราเตรียมของสำหรับปลอมตัวให้พร้อม พรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทางทันที!"

กลางดึกเงียบสงัด มีเพียงเสียงแมลงร้องเซ็งแซ่…

เช้าตรู่วันต่อมา อาทิตย์ยามเช้าทางทิศตะวันออก ส่องแสงอรุโณทัยทั่วฟ้า

ม้าธรรมดาสี่ตัว เตรียมพร้อมอยู่ด้านนอกตำหนักใหญ่ฉางเฟิง หนึ่งตัวในนั้นไม่ได้ใส่อาน แต่มันกำลังบรรทุกสัมภาระชิ้นน้อยชิ้นใหญ่อยู่

"นี่คืออะไรเหรอ?"

เหมียวอี้เห็นนักพรตเฝ้าถ้ำหยิบสิ่งของคล้ายๆ กล่องชาดทาแก้มของผู้หญิงออกมา แล้วเปิดออกทาถูที่แท่นจิตตรงหว่างคิ้วของม่อเซิ่งถูและจางซู่เฉิง เขาอดไม่ได้ที่จะถามอย่างประหลาดใจ

"โคลนซ่อนจิต" นักพรตเฝ้าถ้ำตอบ

‘“อ้อ'” เหมียวอี้อุทานตอบ ของสิ่งนี้เขาเคยได้ยินเหยียนซิวพูดถึง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นของจริง

เวลาต้องการจะอำพรางวรยุทธ์ของตน สามารถใช้สิ่งนี้ทาตรงหว่างคิ้ว สามารถปกปิดเงาแสงดอกบัวบานที่แท่นจิตตรงหว่างคิ้วได้

ทั้งสามคนช่วยกันทาถูตรงหว่างคิ้วให้กัน ทาเยอะบ้างน้อยบ้างตามความอ่อนเข้มของสีผิวแต่ละคน เพื่อให้กลมกลืนเป็นสีเดียวกับผิว

พอเตรียมตัวเสร็จ ทั้งสามก็ถืออาวุธปีนขึ้นบนม้า

ขี่อาชามังกรมาจนชินแล้ว จู่ๆ มาขี่ม้าธรรมดาที่ต้องใช้บังเหียนควบขับ จึงรู้สึกว่ายังไม่ชิน

แต่ไม่มีทางเลือก หากสามคนนี้ขี่อาชามังกรออกไป คนอื่นก็จะรู้ว่าเป็นนักพรต คงล่อให้พรตผีตนคนนั้นออกมาไม่ได้

พอนักพรตเฝ้าถ้ำส่งเชือกบังเหียนม้าบรรทุกสัมภาระให้จางซู่เฉิงแล้ว ก็ประสานมือขึ้นคำนับร่ำลา

เขาไม่รู้ว่าการเดินทางของจางซู่เฉิงกับม่อเซิ่งถูครั้งนี้ นอกจากต้องการกำจัดพรตผีตนคนนั้นแล้ว ยังต้องการกำจัดเหมียวอี้ด้วย เรื่องแผนลับของสงเซียว จางซู่เฉิงกับม่อเซิ่งถูไม่อาจเปิดเผยให้คนอื่นรู้ หากเรื่องแบบนี้แพร่ออกไป สงเซียวคงไม่ปล่อยเขาทั้งสองไปแน่

ทั้งสามขี่ม้าออกจากถ้ำฉางเฟิง หลังจากควบม้ามาตามทางได้ สักพักพวกเขาก็มองหน้ากันแล้วยิ้มเจื่อน

ขี่อาชามังกรจนชินแล้ว ตอนนี้มาขี่สัตว์แบบนี้ไม่ใช่แค่รู้สึกเซ็ง ที่สำคัญคือความเร็ว รู้สึกว่าช้าเหมือนหอยทาก ให้เขาทั้งสามลงวิ่งเองยังเร็วกว่า ถ้าเทียบกับความเร็วของอาชามังกรยิ่งไม่ต้องพูดถึง มันต่างกันราวฟ้ากับดิน

แต่นี่คืออุปกรณ์ในการเล่นละครตบตา จะทิ้งก็ไม่ได้อีก

"ด้วยความเร็วแบบนี้เกรงว่าต้องใช้เวลาสามชั่วยาม จึงจะถึง 'เขาพันพุทธะ'" ม่อเซิ่งถูพูดพลางยิ้มเจื่อน

จางซู่เฉิงมองสีของท้องฟ้าอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "ไม่ต้องรีบ ตอนกลางวันพลังหยางโชติช่วงเกินไป แม้พรตผีจะไม่ได้กลัวแสงอาทิตย์เหมือนวิญญาณทั่วไป แต่มันก็ไม่ชอบปรากฏตัวตอนกลางวันแสกๆ หรอก ไปถึงตอนค่ำอาจจะเหมาะกว่า ค่อยๆ ไปเถอะ ไม่เช่นนั้นม้าที่พวกเราขี่มันจะทนเหนื่อยไม่ไหวนะ"

ม่อเซิ่งถูเอียงหัวถาม "เหมียวอี้ เจ้ามีความเห็นอย่างไร?"

"ความเห็นข้าเหรอ?" เหมียวอี้หัวเราะและพูดว่า "ข้าว่าพวกท่านสองคนขี่ม้าออกไปรับมือกับพรตผีนั่นก็เกินพอแล้ว ข้าไปด้วยจะเพิ่มความยุ่งยากเสียเปล่าๆ พี่ม่อ พี่จาง พวกท่านก็รู้ว่าสัตว์พาหนะของข้าอ้วนเหมือนหมู ขี่แล้วนุ่มสบาย พอขี่ม้าผอมแบบนี้ไม่ชินเลย แถมข้ายังเป็นคนซื่อมากด้วย เล่นละครเป็นพ่อค้าเร่ไม่ได้หรอก ให้ท่านสองคนไปแทนไม่ดีกว่าเหรอ ข้าไม่ไปรบกวนพวกท่านแล้วดีกว่า ข้าไปเดินเล่นที่เมืองฉางเฟิงหน่อย พอพวกท่านสังหารพรตผีนั่นได้แล้ว ค่อยมาหาข้าที่เมืองฉางเฟิง ดีมั้ยล่ะ?"

เหมียวอี้ไม่ได้พูดเล่น เขาบังคับม้าให้หยุดขณะที่พูด แล้วทำท่าเหมือนจะเลี้ยวกลับด้วย

"ไม่ได้!"

ม่อเซิ่งถูกับจางซู่เฉิงแทบจะเปล่งเสียงห้ามปรามพร้อมกัน แล้วก็บังคับม้าให้หยุดเหมือนกันด้วย

แต่พอพูดออกมาแบบนั้นแล้ว ทั้งสองก็ชะงักพร้อมกัน สบตากันแวบหนึ่ง พวกเขารู้ตัวว่าพูดเหมือนกันเกินไปหน่อย

หรือว่าจะมีปัญหาจริงๆ? เหมียวอี้แววตาเป็นประกาย แอบเคลือบแคลงในใจ

เขาแค่หยั่งเชิงดูเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าจะเจอเลศนัยในบางอย่าง แต่เขาคิดไม่ออกว่าตนกับสงเซียวจะมีความแค้นอะไรต่อกันได้

ม่อเซิ่งถูรีบเอ่ยคำพูดที่แสดงความจริงใจ "น้องชาย เดิมทีเรื่องนี้มีไว้เพื่อเสริมแต่งให้เจ้าได้ขึ้นตำแหน่งประมุขถ้ำอย่างมีเกียรติ ท่านประมุขจวนพูดคำไหนคำนั้น จุดสำคัญอยู่ที่เจ้า หากเจ้าไม่แม้แต่จะไป หากในอนาคตเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป คนอื่นจะนึกว่าพวกเราขี้โกงนะ ถ้าไม่นึกถึงตัวเอง ก็นึกถึงพวกเราหน่อยไม่ได้เหรอ? พวกเราไม่ได้เป็นคนโปรดของท่านประมุขจวนเหมือนเจ้า หากท่านประมุขจวนตำหนิโทษพวกเราขึ้นมา เราสองคนรับผิดชอบไม่ไหวแน่!"

"ฮ่าๆ ไม่ได้ก็ช่างเถอะ คิดเสียว่าข้าไม่เคยพูด" เมียวอี้หัวเราะพลางยักไหล่ ทำทีว่าไม่เป็นอะไร

สำหรับเขา ถึงอย่างไรเขาก็ตามใจพวกนั้น ต่อให้เจอพรตผีตนคนนั้น เขาก็เตรียมจะไม่ลงมือสู้อยู่ดี ให้สองคนนี้ลงมือก็พอแล้ว พอเสร็จเรื่องตนก็เก็บผลงานนี้กลับไปรับตำแหน่งประมุขถ้ำก็พอ หากเกิดเรื่องไม่คาดคิดอะไรขึ้นอีกเขาคงรู้สึกผิดกับตัวเองมากแน่

ถึงอย่างไรเขาก็ระแวดระวังสงเซียวอยู่ คนอื่นมองว่าสงเซียวกำลังช่วยเหลือเขา แต่หากลองมาเป็นเขาแล้วไตร่่ตรองดูบ้างก็จะเข้าใจ

ไอ้ชาติหมาสงเซียว ให้นักพรตบงกชขาวขั้นหนึ่งอย่างข้าไปสู้กับพรตผีที่ฝีมือใกล้เคียงระดับบงกชขาวขั้นสาม นี่เจ้ากำลังช่วยข้างั้นเหรอ? **แม่เจ้าเอ็งสิ!

ทั้งสามคนเดินทางต่อไปแบบไม่รีบ ม่อเซิ่งถูและจางซู่เฉิงถ่อมตัวมาตลอดทาง เล่าเรื่องสนุกในแดนฝึกตนเพื่อเอาอกเอาใจเหมียวอี้ หลักๆ คือกลัวเจ้านี่จะไม่พอใจแล้วหนีไปกลางคัน หันกลับไปเดินเล่นเมืองฉางเฟิง

เดิมทีเตรียมการกันไว้ว่าจะให้ทั้งสามคนผลัดกันจูงม้าบรรทุกสัมภาระ แต่ตอนนี้ไม่รบกวนเหมียวอี้แล้ว

นักพรตบงกชขาวขั้นสาม ต้องมารับใช้นักพรตบงกชขาวขั้นหนึ่ง พวกเขาทนไม่ได้อีกต่อไป ทั้งคู่มีแรงกระตุ้นอยากจะใช้ทวนแทงเหมียวอี้ให้ตาย

ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็ไม่ใช่คนที่จะถูกรังแกได้ง่ายๆ ความห้าวหาญตอนที่เจ้าหนุ่มนี่ต่อสู้แบบหนึ่งต่อห้าที่ถ้ำล่องนิภา ก็ไม่ใช่เรื่องคุยโม้โอ้อวด สองคนนี้อยากลงมือแต่ก็ไม่มั่นใจ หากเจ้าเด็กนี่หนีไปได้ คงจะยุ่งยากไปกันใหญ่ ต้องหาโอกาสที่เหมาะเจาะ เรื่องนี้จะทำพลาดไม่ได้ ไม่เช่นนั้นสงเซียวไม่เว้นโทษพวกเขาสองคนแน่

…………………………