webnovel

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น 'ตัวหายนะ' เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

เยวี่ยเชียนโฉว · Fantasi Timur
Peringkat tidak cukup
1144 Chs

033 ยอมแพ้

บทที่ 33 ยอมแพ้

"อ่อค!" เหมียวอี้กระอักเลือดออกมา กระเด็นไปข้างหลัง ตกลงกลิ้งอยู่บนพื้น

'เฮยทั่น' ที่วิ่งพรวดออกไป ก็ถูกฉินเวยเวยหมุนหัวทวนกลับมาแทงเป็นบาดแผลลึกบนก้นเช่นกัน 'เฮยทั่น' เจ็บจนร้องเสียงประหลาดวิ่งหนีไป

เหมียวอี้เลือดไหลตรงมุมปาก เขาลุกยืนขึ้นช้าๆ อย่างโซซัดโซเซ

ฉินเวยเวยขี่อาชามังกรเดินเนิบนาบมาหยุดอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้ ปลายทวนอสรพิษในมือนางจ่ออยู่ที่อกพลางพูดอย่างไม่แย่แส "จะยอมแพ้หรือไม่?"

เหมียวอี้ที่กำลังเผชิญกับความพ่ายแพ้ สบตานางด้วยดวงตาโกรธแค้น ท่าทางเหมือนยอมตายดีกว่ายอมจำนน

ฉินเวยเวยอาบยิ้มเย็นชาเยือกเย็น นางต้องการจะสั่งสอนเขาอีกครั้งพอดี

"ยอมแพ้! เขายอมแพ้! "

เหยียนซิวตะโกนพลางวิ่งเข้ามา เขาประคองเหมียวอี้แล้วพยักหน้าพูดซ้ำๆ "เขายอมแพ้!"

เหยียนซิวไม่รู้ว่าหยางชิ่งสั่งให้จับเป็น จึงห่วงว่าเหมียวอี้จะโดนอีกฝ่ายฆ่าตาย

ฉินเวยเวยไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย นางเพียงจ้องเหมียวอี้ พลางพูดด้วยสีหน้าเย็นชา "ยอมแพ้หรือไม่?"

แม้หยางชิ่งจะบอกให้นางจับเป็น แต่ไม่ได้บอกว่าห้ามทรมานเจ้าเด็กนี่เสียหน่อย

สมุนของนางตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้หลายคน จึงอยากฉวยโอกาสแก้แค้น

เหยียนซิวเริ่มร้อนใจแล้ว เขารีบใช้อิทธิฤทธิ์ส่งเสียงไปยังเหมียวอี้ "น้องชาย พ่อแม่คลอดเจ้ามาเลี้ยงเจ้ามา ไม่ใช่เพื่อให้เจ้ามาตายอยู่อย่างนี้นะ! ยอมแพ้เถอะ! ตราบใดที่มีภูเขาเขียวขจี อย่าได้กลัวว่าจะไม่มีไม้ฟืน!"

เหมียวอี้กำลังจ้องฉินเวยเวย มุมปากที่เปื้อนเลือดกระตุกด้วยความโกรธ เมื่อ 'พ่อแม่' สองคำนี้ออกจากปากเหยียนซิว ทำให้เขานึกถึงพ่อแม่บุญธรรมที่เลี้ยงดูเขามาด้วยความเมตตา และก็นึกถึงน้องรองกับน้องสามด้วย

ตัวเองยังไม่รู้ว่าน้องรองกับน้องสามเป็นตายร้ายดียังไงกันแน่…

"ข้ายอมแพ้!"

เหมียวอี้หักใจปักทวนลงบนพื้นทันที เขาแหงนขึ้นฟ้าพลางตะโกนร้องอย่างเจ็บปวด

ยังล้างแค้นให้หลัวเจินกับเฉาติ้งเฟิงไม่ได้แต่กลับยอมแพ้แล้ว ความรู้สึกปวดร้าวและโทษตัวเองมีอยู่เต็มอก เขาไม่เคยปรารถนาจะแข็งแกร่งขึ้นเหมือนวันนี้มาก่อน!

หากพลังของเขาไม่เพิ่มขึ้น ต่อให้พบน้องรองกับน้องสามแล้วจะมีประโยชน์อะไร? พี่ใหญ่อย่างตนมีความสามารถไปปกป้องพวกเขาเหรอ?

ความแค้นฝังใจที่แฝงอยู่ในคำว่า 'ยอมแพ้' ทำให้ฉินเวยเวยใจสั่นอย่างบอกไม่ถูก สายตาเย็นชาเพ่งมองอย่างตะลึงงัน พอนางประเมินเหมียวอี้อย่างละเอียดแล้ว ก็เคลื่อนหัวทวนอสรพิษออกจากจากหน้าอกเขาช้าๆ

หยางชิ่งที่อยู่บนยอดเขา นำคนกลุ่มหนึ่งพุ่งพรวดลงมา รีบมุ่งไปทางถ้ำล่องนิภา เหมียวอี้ทำให้คนมากมายเหล่านี้ต้องเสียเวลาไปมาก

แต่เหยียนซิวกลับรู้สึกหวาดระแวงหวาดกลัว เขาถูกตะโกนเรียกให้ไปติดตามข้างกายหยางชิ่ง

ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่น เพราะคนที่มีตาล้วนดูออก ว่าเดิมทีหมียวอี้ยอมตายแต่ไม่ยอมแพ้ แต่เหยียนซิวเกลี้ยกล่อมให้เขายอมแพ้ได้

หยางชิ่งประหลาดใจเล็กน้อย เขากับเหมียวอี้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนและไม่มีความแค้นต่อกัน นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะสู้ไม่คิดชีวิตขนาดนี้ หรือว่าเหมียวอี้กับหยวนเจิ้งคุนมีความสัมพันธ์พิเศษอะไรต่อกัน ถึงได้จงรักภักดีเช่นนี้? เขาเดาว่าถ้าไม่มีความสัมพันธ์พิเศษต่อกัน คงเป็นไปไม่ได้ที่หยวนเจิ้งคุนจะรับนักพรตบงกชขาวขั้นหนึ่งเข้าถ้ำล่องนิภา

หลักผ่านการซักถามแล้วจึงได้รู้ เหมียวอี้กับหยวนเจิ้งคุนไม่มีความสัมพันธ์พิเศษใดๆ ต่อกัน มาอยู่ถ้ำล่องนิภาได้ปีกว่า ได้พบหน้าหยวนเจิ้งคุนเพียงสองครั้ง เขาไม่ได้ทำดีอะไรกับเหมียวอี้ ให้เพียงตำแหน่ง 'ผู้ช่วยอาชา' เพื่อทำงานเบ็ดเตล็ดเท่านั้น

และที่เเหมียวอี้เข้าถ้ำล่องนิภาได้ ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับหยวนเจิ้งคุนเลย แค่มีคนแนะนำเขามาโดยเฉาติ้งเฟิงเป็นสื่อกลางให้เท่านั้น เพียงเพราะเฉาติ้งเฟิงที่เคยดูแลเขาถูกสังหารตาย เขาจึงสู้อย่างไม่คิดชีวิต

ที่จริงเหยียนซิวคิดว่าการที่ภรรยาของตนถูกสังหารต่างหาก ที่เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญ เหมียวอี้มาอยู่ถ้ำล่องนิภาได้ปีกว่า ใกล้ชิดกับสองสามีภรรยามากกว่าเฉาติ้งเฟิงเสียอีก สาเหตุที่เหยียนซิวรีบวิ่งเข้าไปช่วยเรียกให้เหมียวอี้ยอมแพ้ เนื่องจากเหมียวอี้ได้ทำให้เขาซาบซึ้งใจ

ตั้งแต่ต้นจนจบ เหยียนซิวไม่ได้เอ่ยถึงความสัมพันธ์สามีภรรยาของเขาและหลัวเจิน อย่างไรเสีย การยอมแพ้สิบเอ็ดครั้งก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าฟัง

หยางชิ่งพยักหน้าเล็กน้อย และถามเรื่องราวของ 'เฮยทั่น' ที่อ้วนเหมือนหมูนั่น

หลังจากได้รู้ถึงนิสัยคุณธรรมก่อนหน้านี้ของ 'เฮยทั่น' แล้ว หยางชิ่งก็อดหัวเราะไม่ได้ ที่มันต้องระเบิดอารมณ์ออกมาทั้งที่สักครั้งอยู่แล้ว เมื่อก่อนเอาแต่ขี้เกียจจน จึงอ้วนเหมือนหมู ครั้งนี้ที่เดือดพล่านขึ้นมามา เพียงเพราะว่า 'ผู้ช่วยอาชา' คนก่อนที่เลี้ยงดูมันอย่างดีต่อสู้จนตาย ช่างเป็นอาชามังกรที่พิเศษจริงๆ

แต่จากสาเหตุนี้ก็ทำให้หยางชิ่งเข้าใจแล้วเช่นกัน ก่อนหน้านี้เหมียวอี้ไม่ได้เป็นที่โปรดปรานของถ้ำล่องนิภา เห็นได้ชัดว่าเฉาติ้งเฟิงเองก็ไม่ได้ใส่ใจเหมียวอี้อย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้น ทำไมแค่อาชามังกรดีๆ สักตัว เขาจึงไม่ช่วยจัดหาให้เหมียวอี้ล่ะ? เหมียวอี้สู้สุดชีวิตเช่นนี้เพียงเพราะ 'เห็นแก่บุญคุณ' อันน้อยนิดเท่านั้น

หยางชิ่งโบกมือเล็กน้อย ให้เหยียนซิวออกไป พร้อมทั้งตั้งใจหันไปมองเหมียวอี้ ผู้ที่มีสภาพจนตรอกยับเยินอยู่ข้างหลังกองทัพของฉินเวยเวย

เหมียวอี้เป็นเชลยที่ยอมแพ้ให้กับกองทัพของฉินเวยเวย ย่อมต้องส่งคืนให้ฉินเวยเวยควบคุมก่อนชั่วคราว

เพียงเพราะ 'สำนึกบุญคุณ' ยังทำได้ขนาดนี้ ข้าหยางชิ่งจะให้เจ้ามากกว่านั้นไม่ได้เชียวหรือ?

หยางชิ่งยิ้มมุมปากเล็กน้อย พึมพำกับตัวเองว่า "สิ่งที่เงินทองซื้อไม่ได้..."

เขาทั้งชื่นชมและชอบเหมียวอี้มาก

เพราะสิงห์ร้ายที่มีความเห่อเหิมทะเยอทะยานเช่นหยางชิ่ง ก็ยิ่งชอบกำราบคนที่ซื่อสัตย์และกล้าหาญ มีสมุนเช่นนี้ไว้รับใช้แล้วน่าวางใจ ในเมื่อวันนี้บังคับไว้ใต้อำนาจได้แล้ว วันข้างหน้าเหมียวอี้ก็จะทุ่มเทรับใช้เขาเหมือนอย่างวันนี้เช่นกัน

แม้หยวนเจิ้งคุนจะมีวรยุทธ์สูง แต่พอเกิดเรื่องก็รู้จักเพียงการหลบหนี หยางชิ่งยอมเอาหยวนเจิ้งคุนสองคนเพื่อไปแลกกับลูกสมุนแบบเหมียวอี้แค่คนเดียวดีกว่า วรยุทธ์ห่างกันเล็กน้อยไม่เป็นไร มอบพลังปรารถนาให้อีกสักหน่อย ให้เวลาสักหน่อยก็สามารถพัฒนาขึ้นมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นเหมียวอี้ได้แสดงให้เห็นแล้ว ว่าคุ้มค่าที่จะเลี้ยงไว้ ต่อให้ไม่สามารถเป็นนายทหารคนสนิทของหยางชิ่ง ก็ยังเก็บไว้ใช้งานข้างกายได้

กลุ่มคนที่ไล่ตามมาถึงถ้ำล่องนิภา ก็เหมือนนกพิราบบุกยึดรังนกกางเขน หยางชิ่งและพวกไม่ได้คิดจะอยู่ที่นี่ แค่มาค้างอยู่พักหนึ่งเท่านั้น สถานที่ที่เพิ่งตีได้ เขาต้องมาดูสักหน่อย

แต่ทว่า กองกำลังแนวหน้าหนึ่งกองทัพได้ออกเดินทางไปก่อนแล้ว ไปโจมตีถ้ำคล้อยบูรพาที่มีอาณาเขตติดต่อกันอยู่ ที่นั่นเป็นแผ่นดินที่เหมียวอี้เพิ่งเหยียบขึ้นฝั่งมาจากทะเล และเป็นที่อยู่ของเฉินเฟยด้วย

ด้านนอกตำหนักใหญ่ล่องนิภา ประมุขถ้ำสายต่างๆ ของเขาเส้าไท่รวมทั้งศิษย์สำนักหยกครามทยอยกันมาถึงและกระโดดลงจากอาชามังกร พอนำlสัตว์พาหนะส่งต่อให้ผู้ติดตามดูแลแล้ว ก็มุ่งหน้าสู่ตำหนักใหญ่ล่องนิภาทันที

หลังจากสงเซียว ประมุขแห่งถ้ำฉางเฟิงนำคนลาดตระเวนรอบๆ ทั้งถ้ำล่องนิภาแล้ว ไม่นานเขาก็มาถึงนอกตำหนักใหญ่ล่องนิภา แล้วกระโดดลงจากอาชามังกร

ที่ถ้ำฉางเฟิงปกป้องรักษาก็คือเมืองฉางเฟิง และก็เป็นบ้านเกิดของเหมียวอี้เช่นกัน

จังหวะที่เขากำลังจะส่งพาหนะให้หญิงรับใช้ตงเสวี่ย สงเซียวพบว่าหญิงรับใช้ประจำตัวสองคนของเขา เหลืออยู่แค่คนเดียว เขาจึงถามออกมาลอยๆ "ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะเดินเพ่นพ่านไปไหนก็ได้ ชุนเสวี่ยไปไหนแล้ว?"

หญิงรับใช้ตงเสวี่ยชี้ไปยังร่างอรชรอ้อนแอ้นที่อยู่ในศาลาริมน้ำ นางเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบไป

หญิงรับใช้ประจำตัวของสงเซียว รับใช้เขามานานขนาดนี้ แค่มองก็รูว่านางมีเรื่องปิดบังอยู่ เขารีบก้าวยาวไปยังสะพานโค้ง มุ่งหน้าเข้าสู่ศาลาริมน้ำ เห็นหญิงรับใช้ชุนเสวี่ยที่หันหลังให้เขากำลังพิงราวลูกกรงสะอึกสะอื้นอยู่ อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและเอ่ยว่า "ชุนเสวี่ย"

เมื่อได้ยินเสียง ชุนเสวี่ยก็รีบเช็ดน้ำตาแล้วหันกลับมา ใบหน้างดงามเปื้อนน้ำตาของนางเหมือนกับดอกสาลี่งามที่เปียกฝน นางฝืนยิ้มพลางโค้งกายคำนับ "ท่านประมุขถ้ำ"

สงเซียวมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยถาม "เกิดอะไรขึ้น?"

ชุนเสวี่ยพยายามฝืนยิ้ม พลางส่ายหน้าแล้วพูดว่า "ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ทรายปลิวเข้าตา"

ช่างน่าขำ โดยทั่วไปแล้วผู้ที่ถูกเลือกเป็นหญิงรับใช้ข้างกายประมุขถ้ำ ล้วนเป็นสตรีที่มีคุณสมบัติในการฝึกตน เตรียมพร้อมให้เป็นคนสนิทข้างกายเพื่อฝึกฝนเลี้ยงดูในระยะยาว หญิงรับใช้ของสงเซียวก็มิใช่ข้อยกเว้น หญิงรับใช้ทั้งสองที่อยู่ข้างกายเขาทุกวันนี้ ล้วนมีวรยุทธ์บงกชขาวขั้นหนึ่งแล้ว จะถูกทรายธรรมดาทำให้เคืองตาได้อย่างไรกัน

…………………………