webnovel

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น 'ตัวหายนะ' เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

เยวี่ยเชียนโฉว · Fantasi Timur
Peringkat tidak cukup
1144 Chs

025 อิทธิฤทธิ์สี่ระดับ

บทที่ 25 อิทธิฤทธิ์สี่ระดับ

พอฟังจบ เหมียวอี้เหงื่อแตกพลั่กเมื่อพบว่าสองผัวเมียคู่นี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ แต่เขาก็พบว่าตัวเองเสียมารยาทไปเยอะเช่นกัน ยังไม่ทันเข้าใจเรื่องดีก็เรียกส่งเดชซะแล้ว มิน่าล่ะฮูหยินสิบพ่ายจึงมองด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นมิตร เจ้ากำลังดูถูกทำให้เขาอับอายขายหน้าผู้อื่น ถ้าผู้อื่นมองมองเจ้าด้วยสีหน้าที่ดีนั่นสิแปลก

เหมียวอี้รีบยืนขึ้นขอโทษ

"คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด" หลัวเจินโบกมือ หลังจากได้ระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมา เหมือนกับว่าได้สลัดทุกข์ออกไปไม่น้อยเลย

แต่พอมองเห็นท่าทางคับอกคับใจของเหยียนซิวที่กระดกเหล้าเงียบๆ ไฟโกรธก็สุมขึ้นในใจนางอีกครั้ง ชี้หน้าด่าด้วยความโมโห "อยู่กับเจ้าน่ะเหมือนดวงซวยไปแปดชาติ ข้าเป็นนักพรตบงกชขาวขั้นสามที่น่าเกรงขาม แต่กลับถูกพวกบงกชขาวขั้นสองจิกหัวใช้ เจ้ามันเป็นผู้ชายประสาอะไรกัน? เมื่อไรเจ้าจะฮึดสู้สักครั้ง ทำให้เมียคนนี้ยืดอกกลับมาเป็นคนอย่างสง่าผ่าเผยซะที ?"

พอนางด่าเสร็จก็เช็ดที่เบ้าตาสีแดง ก่อนจะสะบัดมือแล้วจากไป

เหมียวอี้พูดไม่ออก เขาเข้าใจอารมณ์ขุ่นเคืองของหลัวเจิน ถ้าเปลี่ยนเป็นตนโดนคนคุกคามโดยการเรียกว่า 'ขี้แพ้สิบรอบ ขี้แพ้สิบรอบ' อยู่บ่อยๆ ตัวเองก็รับไม่ไหวเหมือนกัน

แต่เห็นได้ชัดว่าเหยียนซิวมีความคิดเป็นของตัวเอง

"น้องชาย อย่าไปเถียงกับผู้หญิงที่ไม่รู้อะไรเลย " เหยียนซิวที่ดื่มจนเมาเล็กน้อยคว้าข้อมือเหมียวอี้ไหว้ แล้วพูดอย่างขบขันว่า "ศักดิ์ศรีนับเป็นอะไรล่ะ? ศักดิ์ศรีมันไม่นับเป็นอะไรทั้งนั้นแหละ มันสำคัญกว่าชีวิตตัวเองหรือไง? ยอมแพ้สิบครั้งก็รับไม่ได้แล้วเหรอ? ทำไมนางไม่คิดหน่อยว่า หลายปีมานี้ ถ้ำล่องนิภา เปลี่ยนคนมาแล้วตั้งเท่าไร มีคนตายไปแล้วตั้งเท่าไร? มีแค่เราสองคนที่ยังมีชีวิตอยู่ การมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แข็งแกร่งกว่าอะไรทั้งนั้น นี่คือความสามารถ หกปราชญ์แห่งฟ้าดินอยากให้นักพรตอย่างพวกเราสังหารกันเอง ข้าไม่ตกหลุมพรางนี้หรอก "

เหมียวอี้เองก็รู้สึกว่าคำพูดของเหยียนซิวมีเหตุผล แต่พอได้ยินประโยคหลังก็ถึงกับอึ้งไป ถามด้วยความสงสัย "หกปราชญ์แห่งฟ้าดินอยากให้พวกเราสังหารกันเองเหรอ? หมายความว่าอะไร ? "

เหยียนซิวแสดงท่าทางว่าเหมียวอี้นั้นไม่เข้าใจอะไร โบกมือแล้วพูดว่า " พลังปรารถนาของพวกมนุษย์ก็เยอะได้เพียงเท่านี้ แต่นักพรตกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ทุกคนล้วนอยากได้พลังปรารถนาเพื่อมาช่วยฝึกตน ลองงคิดดูว่าถ้าเป็นเช่นนี้ตลอดไปผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นยังไง? พวกนักพรตที่เพิ่มมากขึ้นทุกวันจะต้องรับความเสี่ยงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเกิดความชุลมุนวุ่นวายขึ้น คนที่จะประสบหายนะคนแรกก็คือพวกมนุษย์เหล่านั้นที่อุทิศพลังปรารถนาให้ เมื่อเวลานั้นมาถึง จะต้องวุ่นวายซะจนหกปราชญ์แห่งฟ้าดินไม่ได้เสพสุขการเซ่นไหว้พลังปรารถนาเลยล่ะ ต่อให้พวกเขาเก่งกว่านี้ ก็สังหารหมดทั้งโลกไม่ได้ พวกเขาทั้งหกจึงตั้งกติกานี้ขึ้นมา แล้วก็ปิดตาข้างหนึ่งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ต่อให้พวกเขามีความสามารถก็ไม่ช่วยระงับเหตุอยู่ดี ปล่อยให้กองกำลังในบังคับบัญชาของท่านทูตแต่ละสายแย่งชิงอาณาบริเวณกันเอง ให้นักพรตในโลกนี้เข่นฆ่ากันไม่หยุด เพื่อจะลดจำนวนนักพรตในโลกนี้ให้น้อยลง อย่างไรเสีย ไม่ว่าใครจะชิงได้อาณาบริเวณไป ก็ไม่กล้ามาทำให้พลังปรารถนาของหกปราชญ์ลดลงได้ อะไรที่ควรประจบได้ก็ประจบไปตามเดิม ต่อให้นักพรตตายมากขึ้นอีก เราก็ทำอะไรกับพวกเขาไม่ได้อยู่ดี ยังสามารถทำให้พวกที่เป็นภัยต่อฐานะของเขาฆ่ากันตายเองด้วย น้องชาย ก็เพราะว่าข้ามองได้ทะลุปรุโปร่งกว่าคนอื่นไง จึงไม่อยากโง่เหมือนคนอื่น ยอมจำนนแล้วยังไงล่ะ? ดีกว่าตายนะ "

เหมียวอี้เงียบกริบ ถ้าหากสถานการณ์เป็นแบบนี้จริง เขารู้สึกว่าตัวเองถูกเหยียนซิวพูดโน้มน้าวใจได้แล้ว สายตาที่เขามองต่อเหยียนซิวราวกับได้มองเห็นผู้มีปัญญา ปนกับความเคารพเลื่อมใส เขาพบว่าขี้เมาคนนี้เป็นคนที่คมในฝักโดยแท้!

เหมียวอี้ถ่อมตัวขอคำแนะนำ " ไม่มีใครมองแผนการณ์ของ หกปราชญ์ออกแล้วคิดจะหยุดยั้งพวกเขาเลยหรือ ?"

"หยุดยั้งเหรอ?" เหยียนซิวกระดกเหล้าอึกหนึ่งแล้วหัวเราะ "ทั้งแดนฝึกตนนี้ นับว่าวรยุทธ์ของพวกเขาสูงที่สุด บรรลุถึงระดับบงกชทองไง! มีสักกี่คนที่กล้าท้าทายพวกเขาล่ะ? "

"ระดับบงกชทองเหรอ?" เหมียวอี้ถามด้วยความสงสัย "วรยุทธ์ของหกปราชญ์ แค่ระดับบงกชทองเองเหรอ?"

เหยียนซิวเรอหนึ่งครั้งแล้วย้อนถาม "บงกชขาว บงกชเขียว บงกชแดง บงกชม่วง บงกชทอง วรยุทธ์ของพวกเขาหกคนถึงระดับบงกชทองแล้ว ทั้งชีวิตนี้ของพวกเราไม่มีโอกาสแม้แต่จะสัมผัสกับระดับบงกชม่วงด้วยซ้ำ เจ้ายังคิดว่ามันต่ำอยู่อีกหรอ?"

เขาตบไหล่เหมียวอี้ "ไอ้น้องชาย ฝึกตนก็เหมือนกับการปฏิบัติตัวเป็นคนนั่นแหละ ล้วนต้องทำตัวติดดิน อย่าทะเยอทะยานเกินตัว เจ้าจะคุยโม้โอ้อวดต่อหน้าข้าน่ะได้ แต่อย่าไปพูดข้างนอกล่ะ ระวังจะโดนคนหัวเราะเยาะเอา"

เหมียวอี้ไม่ได้คุยโวโอ้อวด เพียงแต่รู้สึกว่ามันไม่เหมือนกับที่เหล่าไป๋บอกตนไว้ เขาถามด้วยความสงสัย "เหนือกว่าบงกชทองยังมีระดับบงกชรุ้งไม่ใช่เหรอ?"

"บงกชรุ้ง?" เหยียนซิวกล่าวด้วยความความฉงนสนเท่ห์" ในแดนฝึกตนยังไม่เคยได้ยินว่าวรยุทธ์ของใครถึงระดับบงกชรุ้งนะ สิ่งที่เรียกว่าระดับบงกชรุ้งมีอยู่แค่ในตำนานเท่านั้น เหมือนจะเล่าสืบต่อกันมาจาก 'แดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง' หลายปีก่อนมีคนพบเศษซากบางอย่างใน 'แดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง' บนนั้นบันทึกข้อสันนิษฐานของบงกชรุ้งไว้ แต่ก็ไม่มีใครเคยเห็น"

"..." เหมียวอี้ใช้สองมือยกจอกถ้วยเหล้าขึ้นมาและเกิดข้อกังขาในใจ เพราะคำพูดข้อสันนิษฐานของเหล่าไป๋ไม่ใช่แบบนี้

ไม่ว่าจะเป็นบงกชขาว บงกชเขียวหรือว่าบงกชทอง แต่ละระดับล้วนมีเก้าขั้น ถ้ากลีบดอกบัวบานเก้ากลีบก็คือขั้นเก้า

และตามที่เหล่าไป๋บอก เขาแบ่งระดับ ออกเป็นสี่ระดับใหญ่ คือ อิทธิฤทธิ์ขั้นหนึ่ง พื้นบก อิทธิฤทธิ์ขั้นสอง ต้านอากาศ อิทธิฤทธิ์ขั้นสาม ทะยานสวรรค์ อิทธิฤทธิ์ขั้นสี่ อนันตภาพ

เนื่องจากนักพรตที่วรยุทธ์บงกชขาวและบงกชเขียว เดินข้ามไปมาได้อย่างอิสระเพียงบนพื้นบก ยังเหาะเหินขึ้นฟ้าไม่ได้ ดังนั้นเหล่าไป๋จึงกำหนดให้เป็นอิทธิฤทธิ์ขั้นหนึ่ง พื้นบก

นักพรตที่วรยุทธ์บงกชแดงและบงกชม่วง มีพลังขับเคลื่อนให้สิ่งต่างๆ ลอยอยู่บนฟ้าได้ ก็เหมือนภาพเหตุการณ์เทพธิดาหงเฉินท่านนั้นเหาะเหินอยู่กลางอากาศ ที่เขาได้เห็นตอนอยู่ที่เมืองกู่เฉิงนั่นแหละ ดังนั้นเหล่าไป๋จึงแบ่งให้อยู่ในอิทธิฤทธิ์ขั้นสอง ต้านอากาศ

นักพรตวรยุทธ์บงกชทองและบงกชรุ้ง สามารถหลุดพ้นจากดวงดาวที่ตัวเองอยู่ เหาะเหินท่ามกลางจักรวาลได้ เหล่าไป๋จึงกำหนดให้เป็นอิทธิฤทธิ์ขั้นสาม ทะยานสวรรค์

สิ่งที่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงคือระดับบงกชรุ้ง แต่ละขั้นระดับจะมีกลีบดอกไม้เก้ากลีบที่สีสันต่างกัน ดังนั้นเมื่อบรรลุถึงขั้นเก้าของระดับสูงสุด ก็จะมีกลีบดอกไม้ทั้งหมดเก้าเก้าแปดสิบเอ็ด 9,980 กลีบและสีของมันก็ต่างกันด้วย

อิทธิฤทธิ์ขั้นสี่ที่เรียกว่าอนันตภาพต่างหากที่เป็นระดับสูงสุดตามที่เหล่าไป๋กล่าวไว้ เหล่าไป๋กล่าวว่าถ้าวรยุทธ์บรรลุถึงขั้นนี้แล้ว ก็เท่ากับบรรลุถึงระดับที่เรียกว่าอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ รูปตรงกลางหว่างคิ้วสามารถเปลี่ยนออกมาเป็นลวดลายของตัวเองได้ ที่ขั้นสูงสุดของระดับนี้ ภาพมายาตรงกลางหว่างคิ้วก็จะกลายสภาพเป็นของจริง หมุนวนจนเข้ารูปเดิม ก่อรูปเป็นลวดลายของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น จะมีบางคนที่ตรงกลางหว่างคิ้วเป็นรอยจุดแดงเหมือนสีชาด

แน่นอน คำพูดเหล่านี้ของเหล่าไป๋เป็นสิ่งที่มหาเซียนท่านนั้นบอกเขาไว้ตอนที่เขาไปปรนนิบัติรับใช้

ตอนนี้เหมียวอี้อดสงสัยไม่ได้ แดนฝึกตนในเมื่อแดนฝึกตนไม่มีใครเคยบรรลุถึงระดับบงกชรุ้งหรือระดับอิทธิฤทธิ์อนันตภาพนั่น แล้วมหาเซียนท่านนั้นทราบได้อย่างไร อย่าบอกนะว่ามหาเซียนท่านนั้นก็ฟังมาจากตำนานเช่นกัน?

หลังจากวันนี้ไป เหมียวอี้ไม่กล้าเรียกสองสามีภรรยาคู่นี้ว่า 'สิบพ่าย' กับ 'ฮูหยินสิบพ่าย' อีกแล้ว วรยุทธ์ของเขาเองก็ถือยังไม่มีสิทธิ์จะไปเรียกแบบนั้นตามคนอื่น จึงทำได้เพียงเรียกทั้งสองคนอย่างเคารพว่า รุ่นพี่ผู้อาวุโสเหยียนกับรุ่นพี่ผู้อาวุโสหลัว

สองสามีภรรยาที่อยู่ในสถานที่ที่มีแต่คนดูถูกพวกเขา จู่ๆ ก็มีคนมาเคารพนับถือพวกเขาแบบนี้ พวกเขาต่างก็ดีใจมาก ภายใต้การไปมาหาสู่กัน พวกเขาถือว่าเหมียวอี้เป็นพวกพ้องอย่างจริงใจ เหมียวอี้จึงไม่จำเป็นต้องลงมือดูแลเรื่องอาหารการกินเอง พอถึงเวลากินอาหารหลัวเจินก็จะเร่งเหยียนซิวให้มาเรียกเหมียวอี้ไป ความสัมพันธ์ของทั่งสองฝ่ายนับวันก็ยิ่งสนิทสนมกลมกลืนกัน

วันนี้เหมียวอี้ต้องไปที่ 'หุบเขามังกรหมอบ' เพื่อปล่อยอาชามังกรออกมาเดินเล่น หลัวเจินมาชี้แนะเรื่องสำคัญอย่างละเอียดรอบคอบด้วยตัวเอง นางบอกว่าอยากมอบอาชามังกรตัวหนึ่งให้เหมียวอี้ เพียงแต่กลัวว่าเหมียวอี้จะรังเกียจ

"ไม่รังเกียจ ไม่รังเกียจหรอก" เหมียวอี้โบกไม้โบกมือ เขาอยากได้อาชามังกรมาตั้งนานแล้ว จะไปรังเกียจได้ยังไงกัน

พอมาถึง 'หุบเขามังกรหมอบ' เหมียวอี้จึงได้รู้ถึงสาเหตุที่นางพูดว่า 'รังเกียจ' หลัวเจินชี้ไปยังอาชามังกรตัวหนึ่งที่ทั้งตัวเป็นสีดำเหมืือนถ่าน มันชื่อว่า 'เฮยทั่น' (ถ่านดำ) หลัวเจินเป็นคนตั้งชื่อให้

…………………………