บทที่ 18 เพ่งใจสู่ทะเลคราม (4)
"เตรียมตัว? เตรียมตัวอะไร?"
"เตรียมตัวช่วงชิง!! เตรียมตัวเพื่อให้เจ้ามีทักษะในการโจมตีกลับคนที่ช่วงชิงของของเจ้าไป!"
การเตรียมตัวก็คือทวนไม้หนึ่งด้าม!
เหล่าไป๋ถามเหมียวอี้ว่าชอบอาวุธอะไร เหมียวอี้เองก็ไม่รู้ว่าตัวชอบอาวุธอะไร
ในภาพความทรงจำของเขา เคยเห็นนักพรตท่านหนึ่งท่าทางน่าเกรงขาม ขี่อาชามังกร ในมือถือทวนเงิน เดินผ่านเขาไป ดังนั้นเขาจึงเลือกทวน!
บนเกาะไม่มีทวนเงินเหมือนในภาพความทรงจำของเขา เหล่าไป๋เองก็ไม่ได้เตรียมการให้เขาใช้อาวุธจริงหรอก ในเมื่อชอบทวน เหล่าไป๋ก็ให้เขาตัดต้นไม้หนึ่งต้น แล้วเหลาให้เป็นทวนไม้ยาวหนึ่งจั้ง
ที่ใต้ตีนภูเขาหินลูกหนึ่ง เหล่าไป๋ชี้ไปยังภูเขาหินหัวโล้นแล้วกล่าวว่า "ใช้ทวนไม้ในมือของเจ้าทำลายมัน หากภูเขาหินพังทลายลงมา และทวนไม้ไม่พัง ถือว่าเจ้าทำสำเร็จ!"
"นี่คือ…" เหมียวอี้มองดูทวนไม้ในมือตัวเอง รู้สึกพูดไม่ออกเล็กน้อย
ผมยาวของเหล่าไป๋ผมยาวปลิวว่อนไปกับลม โบกไม้โบกมือชี้ไปยังภูเขา "เจ้าต้องเชื่อว่า เมื่อมีทวนอยู่ในมือ ในโลกนี้ไม่มีอะไรมาขัดขวางเจ้าได้! ต่อให้ในมือเจ้าจะมีแค่ทวนไม้ด้ามเดียว ต่อให้ข้างหน้าเจ้าเป็นเขาลูกใหญ่ ต่อให้เป็นภูเขาเหล็กก็ตาม เจ้าก็ต้องเชื่อว่าตัวเองสามารถทลายมันได้ภายในทวนเดียว นี่คือความเชื่อมั่น นี่ก็คือท่าทางที่ทำให้ศัตรูหวาดผวา! ถ้าเจ้าไม่มีท่าทางนี้ เจ้าจะอาศัยอะไรไปช่วงชิงพลังปรารถนากับเหล่าวีรบุรุษในใต้หล้าล่ะ!"
การใช้ทวนไม้ด้ามเดียวผ่าหินภูเขาให้แยกออกจากกันของเหมียวอี้จึงเริ่มต้นขึ้นแล้ว
ถึงแม้จะเป็นทวนไม้ด้ามเดียว แต่เมื่อตกอยู่ในมือนักพรต มีพลังอิทธิฤทธิ์ควบคุมอยู่ อานุภาพจะเหนือกว่าอาวุธจริงของคนธรรมดาเสียอีก
พอเขาซัดทวนเข้าไป ทวนทิ่มลึกลงไปในภูเขาหิน ตอนกระชากทวนออกมีกรวดหินกระเด็นออกมา ส่งเสียงดังกราวก้องไม่หยุด
ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ยังดีอยู่ จะได้เห็นอานุภาพมากมายของทวนที่เหมียวอี้ซัดออกมา แต่พอนานเข้า เมื่อพลังอิทธิฤทธิ์ใช้การไม่ได้ ทวนไม้ก็เป็นเพียงทวนไม้ ต่อให้เป็นอาวุธจริงก็ทนแรงผ่าแยกภูเขาหินไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทวนไม้ธรรมดาเลย
ทวนไม้หักพังไปทีละด้ามทีละด้าม
ที่บอกว่าการฝึกฝนจะทำให้เก่งได้ หลังจากทำทวนหักพังไปจำนวนมาก เหมียวอี้ก็ค่อยๆ เข้าใจการพลิกแพลงใช้ คน ทวน และอิทธิฤทธิ์รวมเข้าด้วยกัน ท่ามกลางการฟันทำลายภูเขาหินที่งุ่มง่ามเงอะงะและจืดชืด เขาค่อยๆ ฝึกฝนการพลิกแพลงใช้ทวนกับอิทธิฤทธิ์จนชำนาญ
เหมียวอี้สะบัดทวน เคาะกระแทก ปลุกระดมอย่างชาญฉลาด แล้วทำลายให้พังพินาศย่อยยับไปอย่างง่ายดาย
หินก้อนใหญ่กลิ้งทลายลงจากภูเขา เหมียวอี้ดึงทวนออกอย่างเกรี้ยวกราด ทำลายแตกเป็นจุณ
ผ่านไปสองวันแล้วหลังจากภูเขาหินทั้งลูกพังทลายลง ในมือเหมียวอี้ถือทวนไม้ด้ามที่แปดสิบเอ็ดยืนอยู่บนเศษหินที่พังทลายลงมา แล้วพูดกับเหล่าไป๋ว่า "ข้าทำสำเร็จแล้ว ไปได้รึยัง? "
คำตอบคือไม่ได้ เหล่าไป๋บอกว่าความรุนแรงของพลังอิทธิฤทธิ์สามารถอาศัยเวลาสะสมช้าๆ ได้ แต่เหตุการณ์ที่นักพรตระดับต่ำข้ามชั้นไปฆ่านักพรตระดับสูงได้ ก็เกิดขึ้นได้บ่อยเช่นกัน สิ่งสำคัญคือสามารถใช้พลังอิทธิฤทธิ์ได้อย่างชำนาญหรือไม่ ผู้ที่ใช้ได้อย่างชำนาญจะไม่มีใครเอาชนะเขาได้!
เหล่าไป๋ชี้ไกลๆ ที่น้ำตก!
เหมียวอี้จึงขนย้ายหินที่พังทลายลงมา ไปกองสะสมไว้ด้านบนน้ำตกต่อไป โดยที่เขาใช้เถาวัลย์ในภูเขาถักเป็นตาข่าย ห่อหุ้มก้อนหินจำนวนมาก
เหมียวอี้ถือทวนยืนอยู่ใต้น้ำตกที่เทกระหน่ำลงมา โดยมีผ้าหนึ่งผืนปิดตาเอาไว้
พอเหล่าไป๋ที่ยืนอยู่บนภูเขาดึงเถาตาข่ายที่ถักทอไว้ หินจำนวนมากที่ผสมปนเปกับน้ำตกไหลเชี่ยว ก็ตกลงมาใส่เหมียวอี้ เขาบอกว่าต้องการจะฝึกฝนพลังการรับรู้ของเหมียวอี้
เหมียวอี้ถือทวนรัวฟันก้อนหินที่อยู่ในกระแสน้ำอย่างเกรี้ยวกราดทันที ก้อนหินที่ถูกทำให้แตกเป็นชิ้นในรอบแรกมีไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน
ครั้งแล้วครั้งเล่า เหมียวอี้ที่ไม่ใช่แค่ต้องทนรับแรงปะทะโจมตีของกระแสน้ำเชี่ยว แถมยังต้องคอยแยกแยะก้อนหินที่อยู่ในนั้นด้วย ไม่รู้ว่าเหนื่อยจนหมดเรี่ยวหมดแรงไปกี่ครั้งแล้ว ถึงขนาดโดนหินก้อนใหญ่กระแทกตกลงในน้ำไปก็หลายครั้งอยู่
ยิ่งก้อนหินในหุบเขากองซ้อนกันมากขึ้น ก็ยิ่งเข้าใกล้ด้านบนของน้ำตกมากขึ้น เวลาในการตอบโต้ของเหมียวอี้ก็ยิ่งสั้นลง แต่ความเร็วในการใช้ทวนของเขากลับยิ่งเร็วและแม่นยำขึ้น…
สภาพอากาศบนมหาสมุทรเปลี่ยนแปลงอย่างคาดเดาไม่ถูก ในขณะที่ไต้ฝุ่นที่น่ากลัวบนทะเลที่มืดครึ้มมาถึง คลื่นพิโรธท่วมนองขึ้นฟ้า
เหล่าไป๋ให้เหมียวอี้ขี่แพไม้ พร้อมกับกะลามะพร้าวกองหนึ่งล่องลอยอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรที่มีคลื่นโหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง
ท่ามกลางคลื่นทะเลคลั่ง ฟ้าดินเหมือนกำลังสั่นไหวตามแรงลม เหมียวอี้ที่ยืนอยู่บนไม้ พอหยุดใช้พลังอิทธิฤทธิ์ควบคุมแล้ว แพไม้ก็ถูกคลื่นยักษ์ปะทะคว่ำทันที
กะลามะพร้าวหนึ่งร้อยอันพลันโดนคลื่นลมคลั่งซัดกระเจิงไปทั่วทุกแห่ง เหมียวอี้ถือทวนย่ำคลื่นไล่ตามไปแทงใส่กะลามะพร้าวพวกนั้นจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ทันที
ตอนนี้เห็นเพียงเงาของเขาถือทวนกระโจนข้ามยอดคลื่นทะเลพิโรธ หรือไม่ก็ทะลวงเข้าไปท่ามกลางคลื่นยักษ์ที่ซัดคลุมฟ้าคลุมดินอยู่…
ตอนคลื่นลมสงบ เหล่าไป๋และเหมียวอี้แล่นเรือไปม่ยังจุดที่ลึกขึ้น
ในหุบเขาใต้ทะเลลึกเกินพันเมตรนี้ มี 'ปลาอันธพาล' อยู่ชหนิดดหนึ่ง ตัวมันยาวหนึ่งเมตร ทั้งตัวเป็นเกล็ดกระดูก ไม่ค่อยชอบเคลื่อนไหว กินอิ่มแล้วชอบหลบอยู่ในถ้ำเพื่อสะสมไขมัน เหมือนกำลังจำศีล แต่พอออกจากถ้ำ มันโต้ตอบในทะเลได้เร็วมาก โดยเฉพาะแรงกัดฉีกอันน่าสะพรึงกลัวของฟันเหล็กในปากมัน ชอบโจมตีเป็นกลุ่ม สามารถกัดกินวาฬหนึ่งตัวจนเหลือแต่กระดูกได้ในชั่วพริบตาเดียว
เหล่าไป๋พาเหมียวอี้มาที่นี่ แน่นอนว่าไม่ได้ให้มาเพื่อให้อาหารปลาหรือชื่นชมทิวทัศน์ใต้ทะเล แต่ให้เหมียวอี้แอบลงไปฆ่าพวกมันที่ใต้ทะเล
แรงกดดันของก้นทะเลพันเมตรนั้นน่าตกใจ ถ้าทวนไม้ไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์ควบคุม อาจจะโดนบีบอัดจนแตกเป็นชิ้นๆ ได้ การแอบเข้าไปครั้งแรกนั้นก็ว่าปรับตัวได้ยากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการไล่ล่าฆ่าฟันในระดับความลึกแบบนั้นเลย มันก็ลึกจนยื่นมือลงไปแล้วมองไม่เห็นนิ้วอะไรเลย
แต่เหล่าไป๋ต้องการให้เหมียวอี้ มองแรงกดดันของทะเลลึกเป็นเหมือนแรงกดดันของพลังอิทธิฤทธิ์ที่ศัตรูผู้แข็งแกร่งปล่อยออกมา ต้องการให้เขาเคยชินและปรับตัวกับการตัวโจมตีภายใต้แรงกดดันของพลังอิทธิฤทธิ์อันแข็งแกร่งแบบนี้ให้ได้!
หลังจากเหมียวอี้ปรับตัวกับแรงกดดันอันหนักหน่วงได้แล้ว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหล่าไป๋เล่นพิเรนทร์อะไร จู่ๆ ฝูง 'ปลาอันธพาล' ที่หลบอยู่ในถ้ำก้นทะเลก็โผล่ออกมาล้อมโจมตีเขา
ในตอนแรก หลังจากเหมียวอี้รัวทวนสังหาร 'ปลาอันธพาล' ไปแล้วเกินร้อยตัวภายใต้แรงกดดันมหาศาล เขาก็ทนไม่ไหวแล้ว ลุกลี้ลุกลนกลับขึ้นมาบนผิวน้ำ ปีนขึ้นมาบนเรือพร้อมบาดแผลที่มีเลือดหยด
รอจนเขาพักฟื้นร่างกายเสร็จ เหล่าไป๋ก็ให้เขาฝึกต่อไปอีก เป้าหมายคือแอบลงไปที่ก้นทะเลลึกพันเมตรหนึ่งครั้งแล้วสังหาร 'ปลาอันธพาล' หมื่นตัว จึงจะถือว่าทำสำเร็จ
วันคืนล่วงเลย เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
น้ำตกที่เหมียวอี้ขุดออกมาอย่างยากลำบากหายไปแล้ว เพราะหุบเขาที่อยู่ด้านล่างของน้ำตกถูกเศษหินที่เหมียวอี้ใช้ทวนฟัน ถูกกองหินเติมจนเกือบจะเสมอกัน
ท่ามกลางพายุไต้ฝุ่น กะลามะพร้าวหนึ่งร้อยอันที่อยู่ในคลื่นทะเลสูงจะไม่ตกหายไปอีกแล้ว ลมคลั่งคลื่นยักษ์ก็หยุดทวนไม้ในมือเหมียวอี้ไม่ได้ เขาแทงพวกมันจนแหลกลาญหมด
คลื่นใหญ่บนผิวน้ำทะเลเป็นสีแดงเลือด ศพ 'ปลาอันธพาล' มากมายลอยอยู่ เหล่าไป๋นับได้ประมาณหนึ่งหมื่นตัว
ซู่! เหมียวอี้ถือทวนกระโจนขึ้นจากน้ำ และตกลงมานั่งอยู่บนเรือเล็ก มองผิวน้ำทะเลแล้วหัวเราะ " ถึงความต้องการของท่านจะน่าเบื่อไปหน่อย แต่ข้าก็ทำได้แล้ว! "
"น่าเบื่อเหรอ?" เหล่าไป๋กวาดสายตามองแวบหนึ่ง บางทีเหมียวอี้อาจจะไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้สภาพตัวเองเป็นอย่างไร
ท่าทางกระฉับกระเฉง จิตใจฮึกเหิม ตาทั้งคู่เป็นประกาย ลูกตาดำฉายแววเหมือนดาวในค่ำคืนฤดูหนาว
กล้ามเนื้อได้สัดส่วนกัน รูปร่างตั้งตรงเหมือนทวน หน้าตาแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยว ดูองอาจผึ่งผายขึ้นมาทันที
การโจมตีสังหารอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ใช้พลังอิทธิฤทธิ์หมดไปแล้วยืนขึ้นโจมตีใหม่ไม่รู้กี่ครั้ง เหมียวอี้สะสมอานุภาพเพื่อรอวันปล่อยออกมา เหมือนกับดาบล้ำค่าที่ถูกชักออกจากฝักแล้ว มีสง่าราศีน่าเกรงขาม ห้าวหาญเต็มไปด้วยพลัง นี่เป็นความเชื่อมั่นในตนเองที่หาได้ยากยิ่ง!
ความเชื่อมั่นในตนเองอย่างแบบลึกซึ้ง ที่เกิดขึ้นมาจากการล้มเหลวแล้วลุกขึ้นใหม่นับครั้งไม่ถ้วน!
"ข้าไม่ได้บอกว่าท่านน่าเบื่อนะ" เหมียวอี้โบกมือแล้วยิ้ม "ข้าแค่รู้สึกว่าน่าเสียดายนิดหน่อย หลายปีมานี้ข้าใช้เวลาส่วนใหญ่ทำเรื่องที่ท่านต้องการ ถ้าข้าใช้เวลาพวกนี้กับการฝึกฝนพลังอิทธิฤทธิ์ วรยุทธ์ของข้าต้องก้าวหน้าไปไม่น้อยแน่ ร่นเวลาเลื่อนขั้นเป็นบงกชขาวขั้นสองได้เยอะเลย "
"สำหรับวรยุทธ์ ขอแค่มีโอกาสและเวลาก็ล้วนสามารถชดเชยคืนมาได้ เมื่อสร้างพื้นฐานดีแล้วมันจะเป็นบทเรียนทั้งชีวิต จะทำให้เจ้าใช้ได้ไม่จำกัดตลอดชีวิต มิเช่นนั้นหากพลาดไปและ บางสิ่งบางอย่างถูกเมื่อกำหนดเป็นรูปเป็นร่างไปแล้วไปแล้ว ไม่พลาดไป เจ้าจะก็ชดเชยคืนกลับมาไม่ได้อีก อย่างเช่น ความคิดและนิสัย รวมทั้งความเคยชินด้วย ต่อให้มีพลังอิทธิฤทธิ์ที่ล้ำลึกกว่านี้ก็กลับตัวไม่ทันอยู่ดี "
เหล่าไป๋แค่ชี้แนะลวกๆไม่กี่คำ เขาไม่ใช่คนที่อธิบายยืดยาวไม่รู้จักจบจักสิ้น จากนั้นพยักหน้าให้สัญญาณเหมียวอี้ขึ้นเรือ "กลับไป!"
…………………………