webnovel

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น 'ตัวหายนะ' เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

เยวี่ยเชียนโฉว · Fantasi Timur
Peringkat tidak cukup
1151 Chs

009 เทพธิดาหงเฉิน

บทที่ 9 เทพธิดาหงเฉิน

ข้างๆ หวงเป๋าจ่างผู้ใหญ่บ้านหวงเป็นผู้ชายคนหนึ่งท่าทางเหมือนปีนออกมากจากกองถ่าน ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหนึ่งในพี่น้องตระกูลจ้าว จ้าวหังอู๋ ลูกสมุนของลูกชายหวงเป๋าจ่างผู้ใหญ่บ้านหวง

หลังจากผ่านประสบการณ์อันตรายในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งมาแล้ว ทีแรกนึกว่าจ้าวหังอู๋อาจจะไม่มีชีวิตรอดออกมา แต่นึกไม่ถึงว่ามันจะรอดชีวิตออกมาได้เหมือนกัน

ไม่ต้องพูดอะไร แค่เห็นท่าทางหวงเป๋าจ่างผู้ใหญ่บ้านหวงถือดาบใหญ่แววบวับมาด้วยตัวเอง ก็พอจะรู้ว่าจ้าวหังอู๋บอกทุกอย่างไปหมดแล้ว

คนอื่นอาจไม่กล้ามาที่นี่มั่วซั่ว แต่หวงเป๋าจ่างผู้ใหญ่บ้านหวงเป็นหนึ่งในหัวหน้าที่ถูกส่งตัวมารักษาความสงบปลอดภัยจากกำแพงเมืองรอบนอกใกล้ๆ นี้ เหมียวอี้ได้ฆ่าลูกชายของเขาไป เป็นไปได้ว่าเขาจะหาเหตุผลที่เพียงพอมาจัดการกับเหมียวอี้ได้แน่

"รีบขึ้นไปอยู่บนต้นหลิว!" เหมียวอี้ลนลานผลักน้องๆ ให้วิ่งไปที่ต้นหลิว

พอสามพี่น้องปีนขึ้นต้นหลิว หลบอยู่หลังพุ่มไม้แล้ว เจ้าอ้วนจางที่สังเกตเห็นความผิดปกติ มองดูหวงเป๋าจ่างผู้ใหญ่บ้านหวงที่นำคนออกมาตามหาไปทั่ว แล้วถามด้วยเสียงต่ำ "พี่ใหญ่ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเหรอ?"

เหมียวอี้เล่าเรื่องที่ตัวเองฆ่าหวงเฉิงกับจ้าวหังขุยให้ฟังคร่าวๆ ทันที หนูน้อยลู่ตกใจจนเอามือปิดปากไว้ ดวงตากลมโตคู่สวยจ้องพี่ใหญ่ด้วยความตะลึง

เจ้าอ้วนจางเองก็ตะลึงเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าพี่ใหญ่จะฆ่าคน แต่ไม่นานเขาก็พูดด้วยความเดือดดาลว่า "กล้าทำเรื่องชั่วช้าโหดร้ายแบบนั้น ไม่ช้าก็เร็วข้าจะฆ่ามันทั้งตระกูลหวงเลย!"

เวลานี้เอง คนทั้งในและนอกเมืองพากันส่งเสียงร้องตระหนกหวาดกลัวอย่างต่อเนื่อง ทุนคนแหงนหน้ามองบนท้องฟ้า

เงาร่างของหงส์ทองสีสันงามตาตัวหนึ่ง กำลังบินทะยานอยู่บนท้องฟ้าเหนือเมืองกู่เฉิง

หลังจากบินวนอยู่ไม่กี่รอบ หงส์ทองตัวนั้นก็สลายตัวกลายเป็นรัศมีสีทอง ปรากฏเป็นผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดสีแดงปลิวพลิ้วแผ่วอยู่ในสายลม แสงสีทองรวมกันกลายเป็นปิ่นปักผมสีทองบนหัวกับ และกำไลทองสามคู่อยู่บนมือผู้หญิงคนนั้น

ผ้าแพรสีแดงสองเส้นยาวกว่าร้อยเมตรสั่นไหวตามแรงลมอยู่บนท้องฟ้า มันกำลังพันอยู่ที่แขนผู้หญิงคนนั้น พยุงให้นางค่อยๆ ลงมาที่กำแพงเมือง

ขณะที่กระโปรงสีแดงปลิวขึ้น ก็เผยให้เห็นข้อเท้าขาวดุจหยก นางสวมรองเท้าผ้าสีแดงปลายแหลมเหยียบเบาๆ ลงบนช่องกำแพงเมือง ท่วงท่าอ่อนช้อยสง่างาม เหมือนเทพธิดาที่เหยียบลงบนคลื่นน้ำ

ผ้าแพรสีแดงยาวเกินร้อยเมตรที่พันแขนทั้งสองข้าง ยังคงปลิวเฉียงลอยตามลมอยู่บนท้องฟ้า ราวกับต้องการจะดึงสตรีที่ชายกระโปรงพลิ้วลมผู้นี้กลับขึ้นสวรรค์ไป จะได้ไม่ถูกมนุษย์ธรรมดาบนโลกนี้ดูหมิ่นเหยียดหยาม

ตำแหน่งที่เซียนสตรีชุดแดงผู้นี้ยืนอยู่คือด้านบนต้นหลิว สามพี่น้องแหงนหน้ามองขึ้นไปในระยะที่ใกล้มาก แต่ละคนต่างตกตะลึง

หญิงงามโดดเด่นคิ้วโก่งหน้าผากกว้างคนหนึ่งมาปรากฏตัวต่อหน้าสามพี่น้อง ผิวพรรณเกลี้ยงเกลา ดวงตาใสเป็นประกาย จมูกเล็กเหมือนเม็ดหยก ริมฝีปากสีแดง หน้าตาดุจภาพวาด

ผ้าแพรคาดเอวสีแดงมัดผูกมัดอย่างเหมาะเจาะกับรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น เผยให้เห็นหน้าอกอิ่มเอิบ เอวบางนิ่มนวลระหว่างคิ้วมีดอกบัวสีแดงบานหกกลีบ เจิดจ้าเหมือนมีชีวิต

โดยเฉพาะลักษณะเยือกเย็นที่ดูสุขุมภูมิฐาน ปรากฏให้เห็นชัดว่าอยู่เหนือคนธรรมดา ทำผู้พบเห็นทำได้เพียงเฝ้ามองแต่ไม่กล้าเข้าใกล้

เหมียวอี้และน้องๆ ที่แอบอยู่บนต้นหลิวได้กลิ่นหอมกรุ่นเหมือนกล้วยไม้ในหุบเขา น่าจะเป็นกลิ่นหอมของเซียนสตรีชุดแดงผู้นั้น

เหมียวอี้และเจ้าอ้วนจางตะลึงเล็กน้อย เมื่อก่อนเหมียวอี้รู้สึกว่าลูกสาวเฒ่าหลี่ร้านขายเต้าหู้ก็สวยพอแล้ว แต่พอเทียบกับเซียนสตรีที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงใช่แค่หน้าตา แค่บรรยากาศที่แต่อีกคนหนึ่งคือมีรัศมีของสวรรค์ ส่วนอีกคนมีรัศมีของโลกมนุษย์ก็ เทียบกันไม่ได้เลย

นักพรตสวมชุดเกราะสีเงินคตนหนึ่งรีบมาบนกำแพงเมือง กุมหมัดคารวะอย่างอ่อนน้อมและพูดว่า "ข้าคือหยางชิ่ง เป็นประมุขแห่งเขาเส้าไท่ ไม่ทราบว่าเทพธิดาหงเฉินจะมาด้วยตนเอง ขออภัยที่ไม่ได้ต้อนรับอย่างสมเกียรติ!"

พอพูดคำนี้ออกมา ผู้ฝึกตนที่อยู่ในเมืองต่างพากันตกตะลึง ผู้ที่มาคือเทพธิดาหงเฉินงั้นหรือ? คนมากมายเคยได้ยินชื่อแต่ไม่เคยพบเห็นตัวนาง

"อาจจะมีคนไม่รู้ว่าเทพธิดาหงเฉินเป็นใคร แต่ผู้ที่กำลังฝึกตนทุกคนล้วนต้องรู้จักหกปราชญ์แห่งฟ้าดิน เป็นหกคนที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนฝึกตน ทำให้ผู้ฝึกตนทุกคนทำได้เพียงแหงนมองอยู่ไกลๆ"

และเทพธิดาหงเฉินเป็นลูกศิษย์ที่อายุน้อยที่สุดของปราชญ์เซียนมู่ฝานจวิน ฐานะของนางไม่ต้องอธิบายก็น่าจะจินตนาการออก

พอหนูน้อยลู่เห็นท่าทางพี่ชายทั้งสองมองเซียนสตรีแสนสวยจนเกือบจะน้ำลายไหล ก็ทำปากเชิดขึ้น เหมือนไม่พอใจมาก อายุยังน้อยแต่ก็รู้จักการหึงหวงแล้ว ยื่นมือไปหยิกเนื้อที่เอวของพี่ชายทั้งสองหนึ่งที...

พี่ชายทั้งสองที่เจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟันได้สติคืนกลับมา เจ้าอ้วนจางใช้ฝ่ามือถูตรงจุดที่โดนหยิก และถลึงใช้สายตาใส่จิกหนูน้อยลู่ ก่อนจะแล้วหันกลับมาชื่นชมความงามต่อไป

เหมียวอี้มองไปรอบๆ พบว่าทุกคนถูกเซียนสตรีชุดแดงนี้ดึงดูดแล้ว ได้โอกาสปลีกตัวเข้าเมืองกู่เฉิงพอดี ขอแค่เข้าไปในเมืองกู่เฉิงได้ หวงเป๋าจ่างผู้ใหญ่บ้านหวงก็ไม่กล้าตามมาแล้ว

เหมียวอี้รีบส่งสัญญาณให้น้องชายและน้องสาว ทั้งสามคนรีบลงจากต้นหลิวคืนฟื้นชีพต้นนั้น ค้ำยันฐานกำแพงเมืองเพื่อหลบหนีอย่างรวดเร็ว

แต่ก่อนจะลงจากต้นไม้ เหมียวอี้แหงนมองเทพธิดาหงเฉินอีกครั้งอย่างลึกซึ้ง เพื่อประทับความงามนั้นไว้ในใจ คิดฝันไปไกลว่าถ้าวันหนึ่งได้แต่งงานกับนางก็คงจะดี เขาเบือนหน้าหนีเมื่อพบว่าความคิดของตัวเองช่างน่าขำ แม้แต่ลูกสาวเฒ่าหลี่ร้านขายเต้าหู้ยังไม่มีปัญญาเลย ยังอยากจะแต่งกับเซียนสตรีอีกหรือ คิดฝันเกินตัวจริงๆ...

เทพธิดาหงเฉินเองก็สังเกตได้ว่ามีคนสามคนซ่อนตัวอยู่ในต้นหลิวใต้เท้านาง แต่นางก็แค่กวาดตามองอย่างเฉยชา แม้แต่การคารวะของนักพรตเกราะเงินตนนั้น นางก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ดวงตาที่ฉงนสนเท่ห์มองไปรอบๆ อีกครั้ง ปากนางพึมพำซ้ำไปซ้ำมาหนึ่งประโยค "หงเฉินถามหมอกเลือด ต้นไม้ตายพบฤดูใบไม้ผลิอีกครั้ง…"

คำทำนายนี้ทำให้นางฉงนอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ไม่กี่วันก่อน 'เทพยากรณ์' ที่หาตัวยากและลึกลับที่สุดในแดนฝึกตน จู่ๆ ก็เสด็จมาเยือนที่ 'แดนโพ้นสวรรค์' สำนักเซียนของปราชญ์เซียนมู่ฝานจวิน มาหามู่ฝานจวินเพื่อขอร้องอะไรบางอย่าง มู่ฝานจวินรับปากด้วยความยินดี มอบให้อย่างไม่เสียดาย

เทพพยากรณ์เชี่ยวชาญการเสี่ยงทาย ว่ากันว่าเขาล่วงรู้สอดแนมความลับของสวรรค์ได้ ชอบจัดการเรื่องต่างๆ อย่างเงียบๆ ปกติอยากจะหาก็หาไม่เจอ ไม่ง่ายเลยที่จะมาปรากฏตัวเองถึงหน้าประตู มู่ฝานจวินย่อมขอให้เขาเสี่ยงทายเป็นธรรมดา

อาจจะเป็นเพราะได้รับประโยชน์จากปราชญ์เซียน เทพยากรณ์จึงไม่ได้ปฏิเสธ เขาบดหยกให้เป็นผง วาดเป็นคำทำนายออกมา ก็คือประโยคนี้นั่นเอง 'หงเฉินถามหมอกเลือด ต้นไม้ตายพบฤดูใบไม้ผลิอีกครั้ง'

ณ ตรงนั้นไม่มีใครเข้าใจความหมายของคำทำนายนี้ มู่ฝานจวินขอให้ช่วยอธิบายทันที

เทพยากรณ์ส่ายหัวพูดว่า ความลับสวรรค์มิอาจรั่วไหลได้

มู่ฝานจวินถามอีก เป็นลางร้ายหรือลางดี ?

ใครจะรู้ เทพยากรณ์กลับเอียงหัวมองไปที่เทพธิดาหงเฉิน ยิ้มแต่ไม่พูดอะไร จากนั้นก็ลอยจากไป

การกระทำของเขาดึงดูดให้ทุกคนพุ่งความสนใจไปที่เทพธิดาหงเฉินเป็นธรรมดา ราวกับค้นพบเบาะแสของคำทำนายนี้แล้ว

ในชื่อของเทพธิดาหงเฉิน​[1]​ ไม่ใช่มีคำว่า 'หมอกเลือด' นี้หรือไม่ใช่เหรอ? อีกทั้ง 'แดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง' ที่ได้รับความสนใจทั่วโลก ก็กำลังจะเปิดอยู่รอมร่อ ทุกคนเหมือนจะรู้แล้วว่าควรทำอย่างไร

ดังนั้นมู่ฝานจวินจึงส่งเทพธิดาหงเฉินออกมา เพื่อหาความหมายของคำว่า 'ต้นไม้ตายพบฤดูใบไม้ผลิอีกครั้ง'

แต่เทพธิดาหงเฉินไปวนเวียนแถว 'แดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง' มาหลายที่แล้ว แต่ก็ยังไม่พบว่าอะไรคือ 'ต้นไม้ตายพบฤดูใบไม้ผลิอีกครั้ง' นี่เป็นจุดที่หกแล้วที่นางย่างกรายมาถึง

ในจังหวะที่นางรู้สึกว่าที่นี่คงไม่ได้เรื่องอะไรและกำลังจะบินจากไป ทันใดนั้นนางก็ตาเป็นประกาย จ้องไปตรงไปที่บางแห่งในเมืองกู่เฉิง

เห็นเพียงบนชายคาบ้านที่ตกแต่งอย่างสวยงามหลังหนึ่งในเมือง ไม่น่าเชื่อว่าจะมีใบ้ไม้สีเขียวงอกขึ้นมา ไม้ที่กลายเป็นคานสะพานแล้วกลับแตกกิ่งใหม่ออกมา ต้นสีเขียวอ่อนโยกไหวท่ามกลางลมเบาๆ สดชื่นกินใจ

‘ต้นไม้ตายพบฤดูใบไม้ผลิอีกครั้ง’ นางเหมือนจะเจอเบาะแสแล้วจึง แล้วก็ลอยจากกำแพงเมืองไป ดึงผ้าแพรสีแดงสองผืนยาวร้อยกว่าเมตรที่ปลิวอยู่บนฟ้าแล้วมุ่งไปยังที่บ้านที่อยู่ในเมืองหลังนั้น

ทิ้งไว้เพียงต้นหลิวเก่าแก่ที่ใบเขียวย้อยร่ายรำลงมาใต้กำแพงเมือง…

…………………………

^1 ชื่อ红尘หงเฉิน (红尘) แปลว่า หมอกสีแดง