webnovel

ปมรัก รอยอดีต โดย ฮาร์โมนิก้า

ชีวิตที่เคยสมบูรณ์แบบของเธอในวัยสิบห้าปี ได้พังภินท์ลงเมื่อวันที่เธอและมารดาท้องแก่ถูกจับตัวไปเรียกค่าไถ่ คืนวิปโยคในถ้ำมรณะที่คร่าชีวิตมารดาและน้องชายที่ยังไม่เคยมีโอกาสลืมตาดูโลก อนาสเตเซีย คิริยาคอส ผู้กลายเป็นทายาทเพียงคนเดียวของมหาเศรษฐีธุรกิจเดินเรือของกรีซ กลายเป็นโรคซึมเศร้า เก็บตัว และออกห่างจากบิดา ทุกคนที่รัก รวมถึงกฤช คริสตอฟ อนาโตลาคิส ผู้เป็นทั้งญาติ พี่ชายที่แสนดี และผู้ครอบครองดวงใจของเธอตั้งแต่วัยเยาว์ เพื่อใช้ชีวิตแบบโดดเดี่ยวราวกับต้องการลงโทษตัวเอง เจ็ดปีต่อมาเธอกลับมายังกรีซอีกครั้ง และได้ตัดสินใจแต่งงานกับนิโคลาโยส วาลลาซ ชายหนุ่มรูปหล่อปานเทพบุตร ผู้มีเสน่ห์เหลือล้น ทว่าเธอได้พบความจริงหลังการแต่งงานไม่นานว่าเขาไม่ใช่สามีที่ซื่อสัตย์ ที่สำคัญเขาไม่ได้รักใคร่ใยดีเธอ มากไปกว่าต้องการมีทายาทกับเธอเท่านั้น ในยามที่ลูกชายของเธออายุครบสี่ปี เหตุร้ายต่าง ๆ ได้หวนกลับคืนสู่ชีวิตเธออีกครั้ง บุตรชายที่ถูกจับเรียกค่าไถ่ บิดาผู้เป็นที่พึ่งสำคัญประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ มารดาเลี้ยงผู้ท้องแก่หายสาปสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ขณะที่หลักฐานต่าง ๆ เริ่มผูกมัดเธอมากขึ้น พร้อมกับเงื่อนงำมากมายซึ่งเชื่อมโยงไปยังสามีของเธอ และราวกับใครบางคนเจตนาทิ้งร่องรอยเศษขนมปังให้เธอตามรอยไปถึงปริศนา ณ ถ้ำมรณะ อนาสเตเซีย ผู้ติดกับดัง และต้องสูญเสียสถานะทางสังคม อิสรภาพ ทรัพย์สิน และบุตรชายสุดที่รัก เธอจะสามารถเอาชนะสามีโฉด และทวงคืนชีวิตของเธอมาจากคนเจ้าเล่ห์เช่นเขาได้อย่างไร นวนิยายรักดราม่า โรแมนติก ฆาตกรรม หักเหลี่ยม เฉือนคมที่ชวนลุ้นตั้งแต่ต้นจนจบ

ANNIEmalista · perkotaan
Peringkat tidak cukup
16 Chs

บทที่ 7 เบื้องหลังของนิคกี้

by Harmonica

อนาสเตเซียออกจากห้องอาหารเช้าหรือที่เรียกว่ามอร์นิ่งรูม

หญิงสาวสั่งกาแฟจากพ่อบ้านให้ไปเสริฟให้ยังห้องนั่งเล่นส่วนตัวของเธอซึ่งอยู่ชั้นล่างของบ้าน ห้องนั้นอยู่ด้านข้างของตัวบ้านติดกับสระว่ายน้ำ แลเลยไปเป็นสวนดอกไม้สวยงามและป่าร่มครึ้มที่เจ้าของเดิมลงทุนถมดินอย่างหนักเพื่อลงต้นไม้ใหญ่ บำรุงรักษา ปลูกสร้างขึ้นมาเองจนสมบูรณ์คล้ายป่าจริงขนาดย่อม

"ขออนุญาตครับคิเรียอัณญ่า" อีเนียสเคาะประตูเบา ๆ พลางยกถาดกาแฟเข้ามาตั้งยังโต๊ะเล็กในห้อง

"ขอบใจจ้ะ อีเนียส" หญิงสาวกล่าวกับพ่อบ้านวัยสี่สิบปีซึ่งรับใช้ครอบครัวเธอมานานตั้งแต่ยังเด็ก เขาแก่กว่าเธอสิบสามปี และเป็นลูกชายของอาคิลพ่อบ้านของบิดาเธอซึ่งยังอยู่ที่บ้านของคิโรสบนเกาะแอนติปาโรส

"คิเรียอัณญ่าครับ" อีเนียสกล่าวพลางเดินไปมองที่โถงทางเดิน เมื่อเห็นไม่มีใครก็ปิดประตูและเดินกลับเข้ามา

อนาสเตเซียมองอากัปกิริยาแปลก ๆ ของพ่อบ้านแล้วเลิกคิ้วอย่างสงสัย

"มีอะไรหรืออีเนียส"

"พ่อโทรมาครับ" อีเนียสเริ่ม "บอกว่าถ้าคิเรียอัณญ่าว่าง ท่านอยากขอพบคิเรียอัณญ่า"

"ได้สิ" อนาสเตเซียรับ "พรุ่งนี้ฉันก็จะเจอกับอาคิลอยู่แล้ว ตอนไปฟังการอ่านพินัยกรรม"

แม้สารวัตรลาซารอสจะยังสืบสวนเกี่ยวกับคดีของคิโรส คิริยาคอสต่อ สืบเนื่องจากการหายตัวของลีย่าก็ตาม แต่เนื่องจากทางการได้สรุปมรณกรรมของคิโรสไปแล้วว่าเป็นอุบัติเหตุ สเตฟานอส ลูคัส ทนายความของคิโรสจึงเห็นควรที่จะเปิดพินัยกรรมของคิโรสได้ เขาได้โทรศัพท์นัดทุกคนที่มีชื่ออยู่ในพินัยกรรมและผู้ที่เกี่ยวข้อง ให้มาฟังการอ่านพินัยกรรมที่สำนักงานกฎหมายของเขายังเกาะซีโรสตอนสิบโมงเช้าพรุ่งนี้ โดยไม่รอจนกว่าจะหาตัวลีย่า ซิออนดิส คิริยาคอส ภรรยาใหม่ของคิโรสให้พบ

และในรายชื่อผู้เข้าร่วมฟังนั้นมีชื่อของอาคิล บิดาของอีเนียสอยู่ด้วย

"ไม่สะดวกหรอกครับคิเรีย" อีเนียสแย้ง "พ่อขอพบคิเรียอัณญ่าตามลำพัง"

อีเนียสหยุดนิดหนึ่งเหลือบมองไปทางประตูอีกครั้งอย่างระวัง "โดยไม่ให้ใครรู้"

"มีเรื่องอะไรหรือ" อนาสเตเซียแปลกใจ

"ท่านไม่ได้บอกผมไว้ แต่สั่งให้บอกคิเรียอัณญ่าว่าอย่าบอกใคร" เขากล่าวเสียงเบาอย่างระวัง ในขณะที่ยังคงรักษากิริยาสุภาพเรียบร้อยและเคร่งครัดเยี่ยงพ่อบ้านประสิทธิภาพสูงในบ้านผู้ดีมีเงินแถบยุโรป

"ท่านขอให้คิเรียไปพบที่ร้านกาแฟในฮอร่า*ครับ" อีเนียสเอ่ยชื่อร้านกาเฟนิโอแบบดั้งเดิมของกรีกออกมา ก่อนกล่าวต่อไป "คิเรียอัณญ่าอย่าให้ใครทราบนะครับ แม้แต่คิริโยสจูเลี่ยนก็ตาม"

อนาสเตเซียพยักหน้ารับคำอย่างแปลกใจ อีเนียสบอกวันเวลาที่นัดหมายเสร็จก็เดินอย่างระวังไปเปิดประตูห้องนั่งเล่นและเดินจากไปทำงานตามกิจวัตรของตน

เสียงโทรศัพท์หัวเตียงดังขึ้นปลุกกฤชให้ตื่น

ชายหนุ่มคว้านาฬิกาข้อมือมาดูเวลาก็ตกใจเมื่อพบว่าเป็นเวลาเกือบเที่ยง เขาเอื้อมมือออกไปรับโทรศัพท์

"ฮัลโหล" กฤชกรอกเสียงลงไปอย่างงัวเงีย

"เฮ้ย คริส ยังไม่ตื่นอีกหรือ" เสียงเจอโรมดังมาตามสาย

"เออ โทษว่ะ นี่นายอยู่ไหน" กฤชขอโทษพร้อมกับถามกลับไป

"อยู่บ้าน เพิ่งตื่นเหมือนกัน" เจอโรมสารภาพด้วยเสียงหัวเราะดังลั่น

"เวร แล้วมาหลอกให้ฉันขอโทษนี่นะ" กฤชว่าเข้าให้

"เอาน่า นายลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเร็ว ฉันจะพาญาติไปเบรกฟาสต์กับนายที่โรงแรม"

"ญาติไหนวะ จู่ ๆ จะพามาไม่มีปี่มีขลุ่ย" กฤชย้อนถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

"แกจำเธนอสได้รึเปล่า" เจอโรมไม่ตอบแต่ถามกลับ "เธนอส อพอสโธลอส เป็นลูกพี่ลูกน้องฉัน เคยเรียนกับเราอยู่ห้าปี ตอนหลังมันย้ายตามพ่อมันไปอยู่อัลบาเนียไง"

กฤชนิ่งคิด แต่ด้วยความที่ยังง่วงอยู่จึงนึกไม่ออก

"เออ ๆ เอาไงก็เอา ให้ฉันมาคิดตอนนี้ปวดหัว จำไม่ได้หรอก เพิ่งนอนไปเมื่อตอนเช้านี่เอง นายจะมาก็รีบมา ฉันจะไปอาบน้ำ แล้วคงต้องหากาแฟกินสักถ้วยด้วย"

"โอเค ไว้เจอกัน" เสียงเจอโรมพูดแล้ววางสายไป

กฤชวางสายทางฝั่งตัวแล้วบิดขี้เกียจก่อนลุกจากที่นอน พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เดินลงไปนั่งดื่มกาแฟดำคอยเจอโรมกับญาติที่ห้องอาหารของรีสอร์ท

วันนี้ชายหนุ่มแต่งตัวง่าย ๆ ด้วยกางเกงยีนส์สีซีดเนื้อดีราคาแพง กับเสื้อยืดคอกลมสีขาว แขนสั้น อวดรูปร่างที่แม้จะดูผอมเพรียว แต่มีกล้ามเนื้อสวยงามมีเสน่ห์แบบผู้ชาย

กฤชเป็นคนร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้าง ผิดกับคนไทยทั่วไป เขาไม่รู้จักพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของตัวเองเนื่องจากเป็นเด็กกำพร้า ทราบเพียงว่าเขาเกิดจากแม่วัยรุ่นคนไทยที่อายุยังน้อยมากและไม่พร้อมมีครอบครัว ส่วนบิดาคาดเดาว่าเป็นชาวตะวันตก เนื่องจากผิวพรรณ รูปร่างและหน้าตาของกฤชเองที่ดูผิดไปจากคนไทยทั่วไป และดูเป็นชาวตะวันตกอย่างเด่นชัด

กฤชเคยคิดถึงบุพการีตามเชื้อสายจริงในบางครั้ง เคยสงสัยบ้างว่าพวกเขาเป็นใคร มีรูปร่างหน้าตาแบบไหน และคิดว่าทั้งบิดาและมารดาของเขาน่าจะเป็นคนรูปร่างสูงพอควร จึงทำให้ตัวเขาเองมีรูปร่างสูงกว่าชาวตะวันตกหลายคน อาหารที่เขารับประทานและกีฬาที่ชอบเล่นอยู่เป็นประจำตั้งแต่เด็ก ก็มีส่วนช่วยอย่างมากเช่นกัน

เขานั่งจิบกาแฟคอยล่วงหน้าไปได้เกือบสองถ้วยเจอโรมก็มาถึงพร้อมกับญาติ

เจอโรมใส่เสื้อแขนสั้นคอฮาวายสีขาวกับกางเกงขาสั้นเหนือเข่าสีขาว ส่วนญาติของเขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงผอมดูเก้งก้างผิวขาวเหมือนไม่เคยถูกแดด ผมของเขาเป็นสีน้ำตาลเข้มเหมือนเจอโรมและดวงตาสีเขียว ญาติของเจอโรมแต่งตัวคล้ายกฤชคือสวมกางเกงยีนส์ กับเสื้อยืดคอกลมแบบง่าย ๆ ไม่ดูสำรวยเป็นคุณชายอย่างเจอโรม

เมื่อทั้งคู่เดินเข้ามาใกล้กฤชก็ลุกขึ้นยืนต้อนรับ เขาตรงเข้ากอดไหล่เจอโรมและหันมาจับมือทักทายกับญาติของเจอโรมที่ชื่อเธนอส

"สวัสดีครับ เห็นเจอฯ บอกว่าเราเคยเรียนหนังสือด้วยกันตอนเด็กงั้นหรือ" กฤชถาม

"นายจำฉันไม่ได้หรือคริส" ชายผมสีน้ำตาลตาสีเขียวผู้นั้นถามด้วยท่าทางชอบใจ "เมื่อก่อนฉันใส่แว่นหนาเตอะ ชอบอ่านหนังสือเชอร์ล็อค โฮล์มไงล่ะ"

กฤชยืนคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เริ่มนึกเห็นภาพเด็กชายเธนอส เพื่อนจอมเพี้ยนฉายาหนอนหนังสือซึ่งเคยเรียนชั้นเดียวกันในสมัยเป็นนักเรียนประจำ

"ที่ชอบเล่นเป็นนักสืบน่ะหรือ นึกออกแล้ว แล้วนี่เลิกเล่นเป็นเชอร์ล็อค โฮล์มแล้วยัง"

เธนอสยิ้มดวงตาพราวด้วยประกายขบขันกับการจุดไต้ตำตอของกฤช ขณะที่เจอโรมหัวเราะเสียงดัง

"เปล่าเพื่อน เธนอสมันไม่ได้เล่นเป็นนักสืบแล้ว แต่มันเป็นนักสืบจริง ๆ นักสืบเอกชนอย่างเป็นทางการ มีใบอนุญาตพร้อม แถมมีสำนักงานของตัวเองในเอเธนส์ด้วยนะ"

เจอโรมเป็นฝ่ายตอบแทนในขณะที่เธนอสยืนยิ้มแบบมีภูมิและเขินนิด ๆ กับคำโฆษณาของญาติ

"ยินดีด้วยนะเธนอส ฉันดีใจด้วยที่นายทำตามความฝันของตัวเองจนสำเร็จ" กฤชแสดงความยินดี

"ขอบใจคริส" เธนอสตอบ

"ว่าง ๆ นายจะลองใช้บริการมันก็ได้นะ มันดังพอตัวเชียวล่ะ หลายครั้งทางกรมตำรวจในอัลบาเนียก็เรียกใช้บริการมันด้วย ตอนหลังมันย้ายมากรีซ ยังไม่ได้รับงานของทางราชการเท่าไหร่ แต่แค่งานเอกชนนี่มันก็มีงานตลอดแล้ว นี่มาที่ปาโรสนี่ก็มาสืบคดีด้วย ฉันถึงได้เจอมันเลยพามาเจอกับแกไง"

เจอโรมขยายต่อ

"งั้นเชียว คดีอะไรน่ะ ลับหรือเปล่า" กฤชถามพร้อมผายมือเรียกให้เพื่อนลงนั่งที่เก้าอี้ และโบกมือเรียกบริกร

ทั้งสามคุยกันอย่างสนิทสนมได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากเคยรู้จักและเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่สมัยเด็กโดยมีเจอโรมเป็นตัวเชื่อม

"ไม่หรอก แค่มาสืบคดียักยอกเงินเท่านั้น แต่จริง ๆ ก่อนหน้าคดีนี้ มีอีกคดีแปลก ๆ ตลก ๆ เข้ามานะ" เธนอสเล่า

"ตลกยังไงหรือ" เจอโรมถาม

เธนอสยิ้มขำนิดหนึ่งก่อนเล่า "ก็มีเจ้าทุกข์กลุ่มหนึ่ง เป็นคนสูงอายุทั้งหมด แล้วมาลงขันกันจ้างนักสืบให้สืบหาคนคู่หนึ่ง ที่เคยไปต้มพวกเขาไว้ตั้งแต่สมัยเมื่อประมาณยี่สิบสองปีก่อน"

เธนอสแจกแจงพลางชี้นิ้วไปบนเมนูอาหารเช้าให้บริกรดูว่าต้องการสั่งอะไร

"แต่นักสืบที่เขาจ้างสืบเนี่ย ยังสืบหาตัวไม่เจอ จนพวกคนในกลุ่มที่ลงขันกันล้มหายตายจากกันไปเกือบหมด ก็ไม่รู้นะว่าเจ้านักสืบคนแรกนี่จะแก่ตายตามไปด้วยหรือเปล่า เอาเป็นว่าเงินลงขันนี่ก็เลยกลายเป็นเหมือนเงินกองทุน ที่คนกลุ่มนี้เขาลงกันไว้ทุกปี ใครที่สืบเรื่องนี้รู้และจัดการสองคนนั่นได้ ก็จะเป็นคนได้เงินนี้ไป โดยที่นักสืบจะได้เงินสามสิบเปอร์เซนต์จากเงินกองทุนนั่น"

"แล้วมันเท่าไหร่หรือ เงินที่ว่านี่" เจอโรมซักต่อ

"ถ้าให้เปรียบเป็นเหรียญยูเอสตอนนี้ บวกดอกเบี้ยเบ็ดเสร็จก็อยู่ที่ประมาณหกเจ็ดแสนดอลลาร์ได้"

"งั้นแกก็จะได้ค่าเหนื่อยตั้งหลักแสนเลยหรือวะ" เจอโรมทึ่ง

"ใช่ คุ้มเหนื่อยเลยล่ะ" เธนอสยิ้ม

"งั้นทำไมไม่รับทำล่ะ" กฤชสงสัย

"มันประหลาดไปน่ะ ผ่านมายี่สิบสองปี จะไปหาตัวเจอได้ยังไง ชื่อเสียงก็ไม่รู้จัก หลักฐานอะไรก็ไม่มี เจ้าทุกข์ก็ตายไปกันหมดแล้ว จะเอาหลักฐานพยานอะไรไปแจ้งตำรวจจับล่ะ"

"ว่าแต่ ที่ว่าโดนต้มนี่ ต้มอะไร ยังไง" สองหนุ่มถามพร้อมกันอย่างใคร่รู้

"มุกเก่าน่ะยี่สิบสองปีก่อน ก็จะมุกไม่ค่อยเด็ดเท่าไหร่" เธนอสว่า

"ก็ที่ว่าไม่เด็ดน่ะ เป็นไงล่ะ" เจอโรมยืนกรานอยากรู้

"ก็ประมาณว่าเด็กสาววัยรุ่นทำเป็นถูกแฟนเก่า ตามรังควาญ ทุบตี น่าสงสาร แล้วก็ซมซานมาเปิดโอกาสให้ชายสูงวัยขาดความอบอุ่น ที่เริ่มรู้สึกตัวเองไม่ค่อยมีค่า ลูกโตจนไม่สนใจพ่อ เมียก็เบื่อเอาแต่ยุ่งเรื่องไกลตัว ได้เป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยให้หนีจากแฟนมือเท้าหนัก เข้าใจว่าพวกนี้จะเลือกเหยื่อแต่เฉพาะรุ่นลุง ประมาณห้าหกสิบอยู่กับเมียมีลูกจนเซ็ง ๆ กันแล้ว อยากเป็นฮีโร่ในชีวิตสาวสวยแปลกหน้า วัยละอ่อน หวังได้แอ้มประมาณนั้น" เธนอสเล่า

"แล้วได้แอ้มรึเปล่าล่ะ" กฤชสงสัย

"แล้วแต่ ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ร้อยทั้งร้อยจะบอกว่าได้ กลัวเสียฟอร์ม" เธนอสเล่าพร้อมยิ้มขำ

"แต่ที่ได้แน่ ๆ คือได้ถ่ายรูป อัดวีดีโอ ภาพอนาจารทั้งหลาย เก็บไว้ แบล็คเมล" เธนอสเฉลย "พวกนี้โดนเรียกกันไปเป็นแสน ขู่ว่าจะเอารูปเอาวีดีโอไปเผยแพร่บ้าง ส่งไปให้ลูกเมียดูบ้าง ต้องเอาเงินมาจ่ายถึงจะได้ฟิล์มต้นฉบับคืน"

เธนอสหยุดพักจิบกาแฟ ก่อนจะเล่าต่อ

"ไม่ใช่แค่เหยื่อเป็นผู้ชายนะ ผู้หญิงก็มี ก็ไอ้ผู้ชายที่แสดงบทเป็นแฟนเก่านั่นล่ะ มันรูปหล่อ แถมอายุน้อย แกล้งทำเป็นเด็กหนุ่มซื่อ ๆ ทำทีมาเอาอกเอาใจพวกผู้หญิงสูงอายุ ที่ถูกสามีหมางเมินเหมือนกัน พอใกล้ชิดมาก ๆ ก็ตามกันไปบ้าน แอบใส่ยาบ้าง ไม่ต้องใส่บ้าง วันรุ่งขึ้นก็มีภาพถ่ายส่งมาให้ถึงบ้าน เรียกร้องค่าไถ่ฟิล์มกับวีดีโอ"

"เฮ่ย! อุบาทว์จะตาย ขำตรงไหนวะ" เจอโรมถามขึ้นอีก

"มันขำตรงที่ ไอ้เรื่องโดนต้มเนี่ยมันตั้งแต่เมื่อยี่สิบสองปีก่อน แล้วพวกคนที่เป็นเหยื่อก็ตายกันไปหมดแล้ว เหลือคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งก็เท่ากับเป็นคนได้เงินกองทุนนี่ไปจัดการดูแลภารกิจตามล่านี่ต่อ ตาแก่คนที่เหลืออยู่แกคงยังไม่หายแค้น เหมือนว่านอนตายตาไม่หลับ พอภารกิจไม่ลุล่วง คือมีเค้าได้ตายก่อนแน่ เลยทำพินัยกรรมไว้ ให้ลูกสืบหาต่อ ใครหาเจอ จับคนคู่นี้ส่งตำรวจ หรือเอาคืนได้ ก็จะได้เงินกองทุนนี้ไป"

"แล้วถ้าหาตัวเจอ จะมีหลักฐานอะไรไปจับได้ล่ะ" เจอโรมสงสัย

"ก็นี่ไง ฉันถึงลังเลที่จะทำน่ะ เพราะหลักฐานอะไรก็ไม่มี เหยื่อแต่ละรายก็ทำลายหลักฐานต่าง ๆ ไปหมดแล้ว เพราะอาย"

"ก็เท่ากับเจอไปก็ทำอะไรตามกฏหมายไม่ได้งั้นหรือ" กฤชเป็นฝ่ายถาม

"ทางคนจ้างเขาคิดว่าน่าจะใช้คำให้การที่ตรงกันของเหยื่อซึ่งลงเป็นบันทึกเก็บไว้ได้มั้ง"

"เฮ่ย! แล้วแบบนั้นมันจะใช้ได้จริงหรือ" เจอโรมแย้ง

"ยากว่ะ เจ้าทุกข์ล้มหายตายจากไปหมดแล้วแบบนี้ ถ้าเอาบันทึกมาอ่าน ก็ไม่ใช่บันทึกที่แจ้งความกับตำรวจ มันก็ยังหลวมอยู่ดี ศาลเขาต้องมองว่าใคร ๆ ก็ทำได้ จะพาลกลายเป็นคดีปรักปรำกันไปซะอีก" เธนอสรับ

"แล้วทำอีท่าไหนเหยื่อพวกนี้ถึงมารู้จักกันได้" กฤชถามด้วยรู้สึกว่ามันช่างบังเอิญจนเกินไป

"ก็นี่ไง ฉันก็สงสัยเหมือนนาย เลยถามไปเหมือนกัน" เธนอสตอบ "ปรากฏว่าเหยื่อทั้งหมดเป็นสมาชิกในคลับเดียวกัน ประมาณคลับส่วนตัวพวกไฮโซในรัสเซียนี่ล่ะ ตอนโดนต้ม ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครกล้าบอกใคร เก็บเงียบ เรื่องมาแดงก็ตรงที่มีคนหนึ่ง ไม่ได้รวยจริง คือเคยรวย แต่หมดตัว ล้มละลาย ไม่มีเงินจ่ายตามที่ถูกขู่กรรโชก คิดมากไม่รู้จะทำยังไง เลยตัดสินใจโดดตึกตาย ทิ้งเงินประกันชีวิตให้ลูกให้เมีย"

เธนอสหยุดเล่านิดหนึ่งเพื่อเรียกความสนใจของผู้ฟัง

"ไอ้พวกเลวนี่ยังไม่พอใจ ยังกล้าเอารูปกับเทปไปขู่ลูกเมียเขาต่ออีก ยัยเมียที่เป็นหม้ายไม่รู้จะทำยังไง เลยหันไปปรึกษาเพื่อนสนิทที่อยู่ในคลับนั่น ซึ่งก็บังเอิญเป็นเหยื่อคนหนึ่งเหมือนกัน คุยกันไปคุยกันมา เรื่องเลยแดง"

"แล้วไงต่อ" เจอโรมอยากรู้

"พวกนี้ถึงยอมตกลงมาจับกลุ่มกันแบบเฉพาะกิจ มีเฉพาะพวกที่เคยเป็นเหยื่อขู่กรรโชกเหมือนกัน ตั้งเป็นกองทุนนำจับอย่างที่บอกมานี่ล่ะ"

"เรื่องนี้เกิดในรัสเซียหรือ" เจอโรมถามอีก

"ก็รัสเซียแล้วก็พวกประเทศที่เคยเป็นประเทศสหภาพโซเวียต แต่ปัจจุบันแตกแยกออกมาเป็นประเทศเล็ก ๆ แล้วนั่นล่ะ เขาจะมีกลุ่มคนมีเงินส่วนน้อยของประเทศ ก็ยังคงมีชมรมส่วนตัว สำเริงสำราญกันแต่เฉพาะวงของตัว พวกนี้มีหน้ามีตาในสังคม แต่ละคนเลยอายไม่มีใครกล้าปริปากตอนแรก ถึงตอนหลังคุยกันก็คุยกันเอง เป็นความลับเฉพาะกลุ่ม"

"สรุปแล้วหาตัวเจอก็ทำอะไรตามกฎหมายไม่ได้สักอย่าง หลักฐานไม่มี เจ้าทุกข์ตายไปหมดแล้ว งั้นจะทำยังไงล่ะ" กฤชไม่เข้าใจ

"ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ถึงได้ยังไม่รับปากว่าจะช่วยหาให้น่ะสิ กลัวว่าจะกลายเป็นสืบหาตัวเพื่อฆ่าชำระแค้นหรืออะไรทำนองนั้น คิดงี้เลยไม่อยากยุ่ง ไม่อยากไปพัวพันคดีแปลก ๆ แบบนี้"

"แล้วเงินกองทุนจะทำยังไง ถ้าจัดการไม่ได้ตามที่พินัยกรรมบังคับ" เจอโรมซัก

"เห็นว่าจะถูกโอนเข้ามูลนิธิช่วยเหลืออะไรสักอย่างในประเทศทางแถบนั้นล่ะ" เธนอสบอก

"งั้นก็ดีแล้วนี่ที่นายไม่รับทำ ทายาทนั่นมีเงินอยู่แล้วหรือเปล่า ถ้ามีอยู่แล้วเงินก้อนนี้เอาไปให้คนที่เขาลำบากมันก็สมควรแล้ว" เจอโรมพูดขึ้น

"ก็นั่นน่ะสิ ถึงบอกว่ามันเป็นคดีขำ ๆ น่ะ" เธนอสเออออเห็นด้วย

"แล้วนี่นายจะกลับเอเธนส์เมื่อไหร่" เจอโรมเปลี่ยนเรื่องหันมาถามกฤช

"อีกสองสามวัน ทำไมหรือ"

"ว่าจะชวนไปปีนเขาหน่อย เมาท์ซาส ที่นักซอสน่ะ ไม่ได้ไปนานแล้ว" เจอโรมชวนพลางหันมาพูดกับเธนอส "นายไปด้วยนะเธนอส ไปสูดอากาศ เรียกเหงื่อหน่อย ตัวผอมแห้งผิวซีดแบบนี้ ดูไม่ได้เลยว่ะ"

เธนอสเบะปาก

"ก็อยากไปสำรวจตามเกาะอยู่หรอกนะ ไหน ๆ ก็มาแล้ว เพราะวัน ๆ ฉันได้แต่ทำงานไม่ได้ไปชื่นชมธรรมชาติสักเท่าไหร่" เขาว่า "แต่กลัวว่าพรุ่งนี้เช้าจะลุกไม่ไหวน่ะสิ"

"ทำไมล่ะ" เจอโรมสงสัย

"ก็วันนี้จะเล่นเรือใบกันไม่ใช่หรือ ฉันกลัวจะเหนื่อยเพลีย จนพรุ่งนี้ไม่มีแรงตื่น ลุกไปปีนเขากับนายต่อไม่ไหว" เธนอสอธิบาย

"พวกนายไปกันเถอะ ฉันต้องขอผ่าน พรุ่งนี้ทนายอาคิโรสนัดเปิดพินัยกรรม" กฤชพูดขึ้น

เจอโรมทำหน้างง "พินัยกรรมของคิโรส คิริยาคอสน่ะหรือ ทำไมถึงมีชื่อนายเข้าไปฟังด้วยล่ะ"

"ไม่รู้เหมือนกัน ต้องรอฟังพรุ่งนี้" กฤชว่าพลางหันมาทางเธนอสเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้

"ว่าแต่เธนอส นายมีนามบัตรหรือเปล่า เผื่อฉันมีเรื่องต้องใช้นักสืบจะได้เรียกหาได้"

"มีสิ นึกว่าจะไม่ขอซะแล้ว"

เธนอสพูดพลางล้วงกระเป๋าเพื่อหยิบนามบัตรซึ่งอยู่ในกระเป๋าสตางค์ออกมา อะไรบางอย่างร่วงจากกระเป๋าลงบนพื้น กฤชเห็นว่าใกล้ตัว จึงก้มลงช่วยเก็บ และอดไม่ได้ที่จะพลิกดู

ชายหนุ่มมองภาพที่ถืออยู่อย่างงุนงง เขาเงยหน้าขึ้นมองเธนอสพลางถาม

"นี่รูปใครน่ะ ทำไมนายถึงพกติดกระเป๋า"

"นี่หรือ" เธนอสยื่นมือจะรับรูปคืนแต่กฤชยังไม่ยอมส่งให้

"ก็รูปที่พวกเหยื่ออาวุโสกลุ่มนั้นช่วยกันบรรยายให้นักวาดภาพอาชญากรที่จ้างมาฟังน่ะ เขาก็วาดภาพออกมาได้ตามนี้ แต่เป็นภาพเมื่อยี่สิบสองปีก่อนโน่นนะ ฉันเห็นมีอยู่เลยให้ผู้ช่วยสแกนใส่คอมพิวเตอร์ ย่อขนาดแล้วพิมพ์ออกมาเป็นภาพเล็กสำหรับพกพาน่ะ"

"อ้าว! ไหนว่าจะไม่ทำคดีนี้แล้วพกรูปไว้ทำไม" เจอโรมถามขึ้นอย่างสงสัย

"ไม่รู้สิ เผื่อ ๆ มั้ง เป็นนิสัยติดตัวของนักสืบน่ะ แก้ไม่หาย ถ้ามีปมก็ต้องเก็บไว้คิดก่อน เผื่อ ๆ " เธนอสตอบง่าย ๆ พลางพูดต่อเมื่อเห็นกฤชยังจ้องภาพนั้นไม่เลิก

"ไม่ได้มีแค่รูปเดียวนะ มีสองรูป ที่นายถืออยู่นั่นรูปผู้ชาย อีกรูปนี่เป็นรูปผู้หญิง"

เธนอสล้วงกระเป๋าหยิบรูปอีกใบยื่นออกมาให้ดู

กฤชตาค้าง รู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก ขณะที่กำลังตะลึงมองเจอโรมก็แย่งคว้ารูปวาดผู้ชายในมือเขาไปพิจารณาดูบ้าง หลังจากที่ดูภาพผู้หญิงผ่าน ๆ ไปแบบไม่ได้สนใจอะไร

"เฮ้ย! คริส" เจอโรมเรียกขึ้นพลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด "หน้าตาแบบนี้นี่คล้ายสามีญาติสุดเลิฟนายหรือเปล่า"

กฤชหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยกับคำแหย่ของเพื่อน เขาแย่งเอาภาพกลับมาถือไว้ พิจารณาคนในภาพนั้นซึ่งเป็นภาพที่วาดขึ้นจากคำบอกเล่าเมื่อยี่สิบสองปีก่อน

เจอโรมมองเห็นเหมือนที่เขาเห็นในครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นรูปหน้า ดวงตา คิ้ว จมูก ริมฝีปากของคนในภาพนั้น คล้ายนิโคลาโยส วาลลาซมาก หากแต่อ่อนวัยกว่า และดูใบหน้าหล่อจนเกือบเป็นสวยมากกว่าตอนปัจจุบัน เนื่องจากผู้ชายในรูปดูเป็นหนุ่มวัยรุ่นอายุน่าจะราวสิบเจ็ดสิบแปดเท่านั้น

เขาวางรูปนั้นลงเลี่ยงไม่ตอบคำถามเจอโรม พลางหยิบภาพผู้หญิงกลับมาพิจารณาดูให้แน่ชัดอีกครั้ง เขาอยากจะคิดว่าเขาตาฝาด หรือเข้าใจอะไรผิดไป ชายหนุ่มตัวชาไปหมด ความงุนงงสงสัยมากมายก่อตัวขึ้นในหัวสมองพร้อมด้วยคำถามอีกร้อยแปด

ภาพที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้าแทบจะไม่ผิดเพี้ยนไปจากลีย่า ซิออนดิส คิริยาคอส เมื่อสมัยยังสาว ซึ่งเขาได้รู้จักหล่อน ตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเพียงลีย่า ซิออนดิส พี่เลี้ยงของอนาสเตเซียเมื่อสิบห้าปีก่อนอย่างไม่ผิดเพี้ยน

*ฮอร่า เป็นคำเรียกเมืองหรือหมู่บ้านหลักและสำคัญของเกาะ คล้ายเมืองหลวงของเกาะ