webnovel

บทที่ 20 อดีต 5

บทที่ 20

อดีต 5

"หลันเอ๋อร์ดื่มน้ำสักหน่อยสิ เดินทางมาไกลขนาดนี้ ต้องกินต้องดื่มอะไรบ้างนะ เดี่ยวร่างกายจะเหนื่อยล้าได้"เสียงเข้มพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน พร้อมทั้งกำลังเดินมาใกล้ ในมือถือกระบอกน้ำอยู่

"ดื่มน้ำชาดีกว่าหลันเอ๋อร์ ข้าเตรียมขนมที่เจ้าชอบไว้ให้ด้วยนะ"

ไม่ต้องเดาเลยว่าเขาตัดสินใจยังไง แน่นอนเสียงเข้มที่พูดก่อนหน้านี้มาจากร่างสูงใหญ่ที่สุดในกลุ่มก็คือพี่หลงนั้นเอง ซึ่งเวลานี้กำลังยื่นกระบอกน้ำมาให้เขา ตามมาด้วยเสี่ยวหู่ที่เดินเข้ามาขวางร่างพี่หลงพร้อมทั้งฉุดแขนเขาไปนั่งลงผ้ารองนั่งผืนใหญ่ใต้ต้นไม้ที่ตรงกลางมีกาชายอดน้ำค้างและขนมจันทร์สีเหลืองน่าทานวางอยู่ จากนั้นก็รินชาให้เขา ซึ่งตั้งแต่ที่เขาตัดสินใจอนุญาตให้พี่หลงมาติดตามดูแลได้ก็เพราะเห็นว่าพี่หลงน่าจะมีพลังยุทธ์ที่มากพอจะช่วยเขาแก้แค้นพรรคมังกรนิลเพลิงได้ ยิ่งมีคนเยอะโอกาสแก้แค้นชนะก็จะมีมากขึ้น ตอนที่เขาตัดสินใจเดิมทีก็ลังเลอยู่ว่าจะดึงคนไม่เกี่ยวข้องมายุ่งด้วยจะดีหรือไม่ ไม่รู้จะไว้ใจได้แค่ไหน แต่เมื่อได้สบตากับสายตาคู่นั้นที่ส่งมา ราวกับรู้ว่าเขาคิดอะไร พี่หลงส่งสายตาที่มั่นใจว่าจะช่วยเขาได้ทุกอย่างขอแค่เขาไว้ใจเท่านั้นกลับมา เขาจึงอนุญาต แต่ก็ไม่วายโดนเสี่ยวหู่โกรธไปอีก จนต้องคุยในมิติจิตให้เข้าใจเหตุผลว่าทำไมถึงให้พี่หลงมาด้วย เสี่ยวหู่จึงหายโกรธ จากนั้นเขากับเสี่ยวหู่เลยตัดสินใจจะเดินทางมาสืบข่าวคราวของพรรคมังกรนิลเพลิงในแคว้นหนานแล้วจึงบอกพี่หลงว่าจะไปที่ใด พี่หลงจึงเล่าว่าตัวเองเป็นคนแคว้นหนานชำนาญเส้นทางไปที่นั้นมาก พวกเขาจึงให้พี่หลงนำทางมา จากนั้นจึงเหาะตามกันมา ด้วยระยะทางที่ไกลพอควรจึงได้พักกลางป่าสองวัน ตลอดสองวันที่ผ่านมา เขาเหมือนมีตัววุ่นวายเพิ่มขึ้นจากทีแรกมีแค่เสี่ยวหู่ที่ดูแลเขาดี ปรนนิบัติราวกับเขาเป็นองค์หญิง แต่พอมีพี่หลงเพิ่มเข้ามา เขาราวกับเป็นจักรพรรดินีไปเลย แทบจะอุ้มไปแทนการเดิน หนักทั้งคู่ และเหมือนว่าจะแข่งกันดูแลเขาด้วย ทั้งที่เขาดูแลตัวเองได้ จนเขาได้แต่พูดห้ามทั้งคู่ไป แต่ทั้งคู่ก็แค่รับปากไปส่งๆ พฤติกรรมยังเหมือนเดิม และจากที่เขาสังเกตทั้งสองคนดูไม่ค่อยชอบกันเท่าไหร่ เหมือนคนนึงทำอะไรอีกคนก็จะทำดีกว่าอีกฝ่าย เช่นเสี่ยวหู่ปกติจะให้ดอกไม้เขาทุกวันอยู่แล้ววันละดอก แต่พี่หลงก็จะหาดอกไม้แบบเดียวกันมาให้เขาด้วยแต่เพิ่มจากดอกนึงไปเป็นช่อนึงงี้ หรือเสี่ยวหู่ว่าสัตว์มาย่างให้เขากิน พี่หลงจะไปล่าสัตว์ที่ตัวใหญ่กว่ามา ผลไม้ก็เช่นกัน ทำแบบนี้ตลอดสองวันเลย ซึ่งวันนี้เข้าวันที่สามก็เหมือนเดิม เมื่อเช้าก่อนออกเดินทางเสี่ยวหู่ให้ดอกไม้มาช่อนึงแทนการให้เป็นดอก แต่พี่หลงก็ให้เขามาสองช่อกันเลยทีเดียว จนเดินทางมาถึงชายป่าเขตแคว้นหนานนี่ละ ที่ตอนนี้ใกล้ค่ำพวกเขาเลยจะพักที่ชายป่านี่ก่อน พรุ่งนี้ค่อยเข้าไปในตัวเมืองแค้วนหนาน แต่ก็ไม่วายยังจะปวดหัวกับคนทั้งคู่อีก แค่จะดื่มน้ำก็ยังจะเป็นเรื่องที่ต้องแข่งกันอีก พี่หลงที่เดินมาทิ้งตัวนั่งข้างๆเขาก็รินน้ำชาดื่มพร้อมทั้งกินขนมที่เสี่ยวหู่เตรียมให้เขาด้วยเช่นกัน ตอนนี้เราสามคนจึงนั่งพักดื่มชากินขนมกันไป

"เย็นนี้หลันเอ๋อร์อยากกินอะไรดี"เสี่ยวหู่ถามขึ้นหลังจากที่เราดื่มชากันไปสักพัก

"อะไรก็ได้ทั้งนั้นนะ แล้วแต่หู่เอ๋อร์เลย"เขาตอบตามปกติ เขากินได้ทกอย่างอยู่แล้ว

"งั้นกินปลาย่างดีมั้ยหลันเอ๋อร์ พี่ได้ยินเสียงน้ำตกใกล้ๆเรา น่าจะมีปลาอยู่ละ"พี่หลงที่นั่งฟังเงียบๆจึงพูดแทรกขึ้นมา เดี่ยวนี้พี่หลงเรียกเขาแบบที่เสี่ยวหู่เรียก ด้วยเหตุผลจะได้สนิทใจกันเร็วๆ แต่ก็เรียกเสี่ยวหู่ว่าเจ้า พอๆกับเสี่ยวหู่ที่ไม่เรียกพี่หลงว่าพี่ แต่เรียกชื่อไปเลย

"นี่เจ้าจะเอ่ยแทรกข้ากับหลันเอ๋อร์ทำไมชิงหลง ข้ากำลังจะบอกหลันเอ๋อร์แบบนั้นพอดี"

"เจ้าช้าเองทำไมละ และข้าก็ไม่รู้ด้วยว่าเจ้าจะพูดอะไรต่อ และที่สำคญเจ้าไม่บอกเองนิว่าจะทำอะไรให้หลันเอ๋อร์กิน ข้าก็เสนอสิ่งที่ข้าคิดอกสิ"ทั้งสองกำลังเถียงกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกแล้ว เฮ้อออ

"หลันเอ๋อร์ถอดหายใจทำไม เดินทางมาไกลคงจะเหนื่อยใช่มั้ย งั้นให้เป็นหน้าที่ข้าไปหาปลาคนเดียวละกัน ส่วนเจ้าชิงหลง ไปหาฟืนมาก่อไฟ แล้วก็เตรียมที่หลับที่นอนด้วย"เสี่ยวหู่จึงแบ่งหน้าที่กันไปทำ

"แล้วทำไมข้าต้องทำตามที่เจ้าบอกด้วย ข้าจะไปหาอาหารเอง ส่วนเจ้าหาฟืนและจัดที่นอน"

"พอ หยุดเถียงกันแล้วแยกย้ายไปทำหน้าที่ตัวเองไป เสี่ยวหู่หาอาหาร พี่หลงหาฟืน ไป"ยัง ยังเถียงกันไม่เลิกอีก เขาลำคาญมากเลย เหมือนเด็กสองคนเถียงกัน เขาต้องคอยห้ามแล้วก็ไล่ให้ไปกันคนละทาง เพราะเคยไปทางเดียวกันในวันแรกที่ให้ไปหาอาหารด้วยกัน เถียงกันจนป่าแตก สัตว์น้อยใหญ่หายไปหมด จนต้องให้แยกกันไปคนละทาง เกือบไม่ได้กินอะไรกันแล้วมั้ยละ และที่พวกเขาทำตัวเป็นชาวยุทธ์ทั่วไปแบบนี้เพื่อไม่อยากให้พี่หลงรู้ว่าเขาเป็นปรมาจารย์เวทย์ เพราะปรมาจารย์เวทย์มีไม่มากนัก คนรู้น้อยเท่าไหร่เป็นดี หากมีคนรู้ว่าเขาเป็นทั้งปรมาจารย์เวทย์และเทพเซียนยุทธ์ ทุกคนต้องพุ่งเป้ามาที่เขาแน่ เพื่อกำจัดคู่แข่ง และเรื่องนี้อาจจะทำให้พรรคมังกรนิลเพลิงสงสัยได้ว่าเขาจะเป็นเด็กคนนั้นที่พวกเขาตามหา เอาง่ายๆก็คือยังไม่ไว้ใจพี่หลงหมดใจ ต่อให้ตลอดเวลาสามวันที่ผ่านมาพี่หลงจะให้ความรู้สึกน่าไว้ใจแค่ไหนก็เถอะ แต่ก็ต้องเผื่อใจกันไว้ด้วยความหายนะจะได้ไม่ตามมา เขาและเสี่ยวหู่จึงไม่ได้ใช้เวทย์อะไรมากเลย นอกจากแหวนมิติแค่นั้น นอกนั้นก็ใช้วิธีแบบชาวยุทธ์ทั่วไป ไม่ร่ายเวทย์เสกอาหาร ที่พัก และกางอาณาเขตขึ้นมาเพียงเท่านี้ก็ไม่น่าสงสัยอะไรแล้วละ มั้งนะ แถมประกายเทพเซียนพวกเขาสามคนก็กดข่มไม่ให้ใครมองเห็นรัศมีได้ ก็น่าจะเหมือนชาวยุทธ์ที่มาหาประสบการณ์ในป่าอาถรรพ์ทั่วไปแล้วละ แถมตั้งแต่เสี่ยวหู่มีร่างเทพเซียน ดวงตาแดงกล่ำนั้นก็มีสีน้ำตาลเข้มที่เข้ากับวงหน้าอีก ไม่ต่างอะไรกับคุณชายเจ้าสำราญในหัวเมืองเลยด้วยซ้ำ ดูยังไงก็มนุษย์ชัดๆไม่น่าจะมีคนรู้หรอกว่าเสี่ยวหู่เป็นสัตว์เวทย์ในตำนาน แม้แต่พี่หลงเองก็ไม่น่าจะทราบได้ ฉะนั้นพวกเขาไม่มีอะไรต้องกังวล หากจะมีชาวยุทธ์ผ่านทางไปมาแถวนี้

เปรี้ยงงงง เปรี้ยงงง!!!! เสียงพลังปราณประทะกันทางฝั่งที่เสี่ยวหู่ไปหาอาหารดังขึ้น ทำให้เขาที่นั่งคิดอะไรเพลินๆอยู่ที่เดิมต้องหลุดออกจากภวังค์ แล้วรีบเดินทางไปทิศนั้นด้วยความรวดเร็ว แต่สิ่งที่เห็นทำให้เขาตกใจมากเช่นกัน ตัวอะไรกัน ทำไมตัวใหญ่ขนาดนั้น ใหญ่กว่าตัวเสี่ยวหู่ในร่างพยัคฆ์ทมิฬถึงสองเท่าซะอีก แถมยังมีท่าทางดุร้ายพยายามเข้าไปทำร้ายเสี่ยวหู่ที่ตอนนี้ยังอยู่ในร่างมนุษย์อยู่ เมื่อยิ่งเทียบกับสัตว์ตัวใหญ่ที่มีขนหัวเป็นแผงรุงรัง มีเขี้ยวยาวที่ดูคมมาก มีเขาที่แหลมคม และมีขนยาวสีน้ำตาลปกคลุมทั่วทั้งตัว เสี่ยวหู่ยิ่งเหมือนสู้กับยักษ์อยู่ แต่เขาที่สังเกตสถานการณ์อยู่ภายนอกเห็นแล้วว่าดาบคู่อาวุธของเสี่ยวหู่ ทำอะไรมันไม่ได้แถมยังกระตุ้นให้มันมีพลังทำร้ายมากขึ้นไปอีก ตอนนี้ก้อนหินรอบๆน้ำตกแตกละเอียดตามการเหยียบย่างไปมาหวังเหยียบเสี่ยวหู่แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถลดความดุดันของมันลงได้

"นั้นมันปีศาจเหนียนนิ มันกลัวสีแดงและเสียงที่ดังมากๆ สงสัยเห็นเสี่ยวหู่ใส่ชุดแดงวนเวียนอยู่บนน้ำตก มันเลยตกใจ เลยขึ้นมาจากก้นน้ำตกละมั้ง เพราะปกติตามวิสัยมันชอบอยู่ที่ใต้ทะเลลึก ท่าทางน้ำตกนี่ก้นบ่อจะต่อถึงทะเล เพราะแคว้นหนานตามทีก็เป็นแคว้นติดทะเลอยู่แล้ว แถมขึ้นชื่อว่าเมืองท่าที่เจริญที่สุดด้วยนะ"เขาที่พยายามคิดและหาวิธีจะจัดการมันอยู่ก็ได้ยินเสียงเข้มขึ้นข้างหู จึงหันไปเห็นพี่หลงยืนอยู่ แถมยังพูดอธิบายถึงสัตว์ตัวใหญ่นี่อย่างสบายๆ ไม่กลัวและกังวลอย่างเขาเลย

"กลัวเสียงดังและสีแดงงั้นรึพี่หลง แต่เสี่ยวหู่ก็ใส่ชุดสีแดงนิ ทำไมมันไม่เห็นกลัวแล้วหนีไปเลยละ"

"มันคงกลัวจนคุ้มคลั่งมากกว่านะ เลยพยายามทำร้ายเสี่ยวหู่"พี่หลงอธิบายสิ่งที่เขาสงสัยให้ฟัง

"แล้วเราจะจัดการมันได้ยังไง อาวุธอะไรก็ทำร้ายมันไม่ได้ แล้วจะหาเสียงอะไรที่ดังมากๆจนมันจะกลัวได้ละ"เขาถามอย่างกระวนกระวายเมื่อเห็นเสี่ยวหู่วิ่งโดดไปมา เริ่มเหนื่อยท่าทางไม่สนุกเหมือนตอนแรกๆแล้ว

"ประทัด หรือไม่ก็พลุ ดอกไม้ไฟ และคงดนตรีที่เสียงกังวาลมากๆละมั้ง คงจะได้อยู่"พี่หลงบอกวิธีที่จะจัดการปีศาจเหนียนได้ ซึ่งสามอย่างแรกเขาและเสี่ยวหู่สามารถร่ายเวทย์ได้เพียงแค่เสี้ยววินาที แต่นั้นก็จะเป็นการเปิดเผยตัวว่าเป็นผู้ใช้เวทย์นะสิ เหลือเพียงอย่างสุดท้าย คิดได้ดังนั้นเขาจึงเรียกผีผาจันทราเหมันต์ออกมา ซึ่งมันเป็นอาวุธประจำตัวในการฝึกยุทธ์ของเขา ฉะนั้นการใช้มันจึงเหมาะสมที่สุดแล้ว จากนั้นเขาจึงโดดมาขวางหน้าเสี่ยวหู่ที่ตอนนี้กำลังโดนต้อนจะตกน้ำอยู่แล้ว บนหินก้อนใหญ่สุดท้ายริมแม่น้ำ จากนั้นจึงกรีดนิ้วไปบนผีผาส่งเสียงแหลมระรัวออกไปเบื้องหน้ายังปีศาจเหนียน ที่ตอนนี้ชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงแหลมดังแสบแก้วหูนั้น เขาจึงบรรเลงท่วงทำนองกรีดใจให้สัตว์ตรงกลัวแล้วทรมานที่ได้ยินเสียงผีผานี้ บทเพลงกรีดใจนี้นอกจากบีบใจผู้ฟังแลัวยังทำให้ดวงใจที่เต้นในอก เต้นเร็วมากขึ้นตามทำนองเพลง แต่ด้วยพลังเหมันต์ที่แผ่ขยายออกมาตามทำนองทำให้พลังปราณที่จะเข้าสู้แก่นพลังถูกแช่แข็ง เมื่อหัวใจเต้นเร็วขึ้นแต่พลังปราณไม่สามารถใช้ได้เพื่อควบคุมร่างกาย หัวใจก็จะค่อยๆเต้นเร็วขึ้นจนร่างกายควบคุมไม่ได้ จากนั้นเลือดจะออกทั้งเจ็ดทวารขาดใจตายอย่างทรมาน เมื่อปีศาจเหนียนได้ยินเสียงผีผาที่เขาเล่นมันก็เริ่มมีท่าทางกระสับกระสายแล้วมันก็โดดลงไปในน้ำลึกแบบไม่เห็นเงาอีกเลย เขาจึงผ่อนจังหวะแล้วหยุดมือเก็บผีผาเข้าไปแล้วหันมาหาเสี่ยวหู่ที่ตอนนี้คลายเวทย์ป้องกันรอบตัวออกแล้ว เมื่อเห็นเขาหยุดเล่นผีผา

"เป็นยังไงบ้างเสี่ยวหู่ ไม่บาดเจ็บตรงไหนนะ"เขาถามอย่างห่วงใยคนที่เห็นว่าเป็นน้องชาย

"ข้าไม่เป็นไร แค่เล่นสนุกแล้วไม่สนุกแค่นั้นเอง"เสี่ยวหู่พูดติดตลกออกมา

"เล่นสนุกอะไรกัน เห็นชัดๆว่าเกือบโดนเหยียบเกือบแบนแล้ว"

"หือออ ไอ้ตัวนั้นทำอันตรายข้าไม่ได้หรอกนะ แค่ที่หลันเอ๋อร์เห็น มันก็แค่ข้าเล่นสนุกต่างหาก ไอ้ตัวที่ไม่มีพลังปราณทำลายล้างอะไรเลยนั้นนะ ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก สบายใจได้หลันเอ๋อร์"เสี่ยวหู่ยังคงทำเสียงทะเล้นส่งมาให้เขา ถึงแม้ปีศาจเหนียนจะพยายามใช้เขี้ยวกัดและเขาขวิคเสี่ยวหู่ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรเสี่ยวหู่ได้ จนทำได้แค่ไล่เหยียบก็เถอะ แต่หัวใจคนเป็นพี่ก็เป็นห่วงน้องอยู่ดี

"ยังมีหน้ามาพูดอย่างนี้อีกนะ มัวแต่เล่นสนุกไปได้ เจ้าจะเห็นทุกเรื่องเป็นเรื่องเล่นๆไม่ได้นะ"

"หึหึหึ ข้าล้อเล่น ไม่อยากเห็นเจ้าทำหน้าจริงจังนี่น่า ข้าแค่กำลังคิดจะจัดการมันยังไงต่างหาก จะใช้ร่างพยัคฆ์ทมิฬจัดการก็กลัวเจ้าชิงหลงนั้นจะรู้นะสิ ถึงได้คิดหาวิธีแล้วโดดไปมาอย่างนี้ กะว่าจะใช้เวทย์สักนิดเพื่อให้มันหายไป แต่เจ้าชิงหลงนั้นก็ดันมายืนอยู่ข้างๆหลันเอ๋อร์ก่อน ข้าจึงต้องหาทางอื่น เพิ่งรู้ว่ามันคือปีศาจเหนียนก็ตอนที่มันเหยียบหินก้อนใหญ่แตกเมื่อกี้และก็สะดุ้งตกใจเองหรอก แล้วหลันเอ๋อร์ก็มาขวางหน้าจัดการมันก่อนข้า ไม่อย่างนั้นมันจะโดนข้าใช้วิชาพยัคฆ์คำรามใส่ให้นะสิ"เสี่ยวหู่อธิบายให้เขาฟังว่าทำไมถึงวิ่งไล่จับไปมากับปีศาจเหนียน แถมยังทำท่าราวกับจะจัดการปีศาจเหนียนเองได้โดยที่เขาไม่ต้องเข้ามาช่วย ซึ่งความเป็นห่วงคงบังตาเขาเอง เขาลืมไปได้ยังไงกันว่าเสี่ยวหู่สามารถใช้วิชาพยัคฆ์คำรามที่ผู้ฝึกยุทธ์เลียนแบบการคำรามของเสือ แต่ต่างกันตรงที่เสือคำรามเสียงเพื่อขู่ แต่ผู้ฝึกยุทธ์คำรามออกมาเป็นพลังปราณที่นอกจากเสียงจะดังแล้วยังทำร้ายฝ่ายตรงข้ามได้อีก ซึ่งพอเสี่ยวหู่ฝึกวิชานี้ยิ่งทำให้วิชานี้ทรงพลังมากขึ้น เพราะพยัคฆ์คำรามเองของแท้แน่จริง รู้อย่างนี้เขาตะโกนบอกดีกว่าว่ามันกลัวเสียงดังแล้วให้เสี่ยวหู่จัดการ

"เก่งนักนะพ่อน้องชาย รู้อย่างนี้ข้าไม่มาช่วยก็ดีหรอก"เขาจึงตัดพ้อไปเล็กๆ

"ใครว่า หลันเอ๋อร์มาช่วยข้าเพราะเป็นห่วงอย่างนี้ ข้าดีใจมากต่างหากละ"

"เมื่อกี้ยังบอกว่าช่วยตัวเองได้อยู่เลย"

"บ้า ข้าอ่อนแอต้องการมีคนปกป้องอย่างนี้จะดูแลตัวเองได้ยังไง มีเจ้าดูแลอย่างนี้ดีที่สุดแล้ว"

"ชิ เชื่อได้เหรอ"

"หึหึหึหึ เชื่อเถอะ ทั้งชีวิตข้าอยู่ในมือเจ้า จะปกป้องหรือทอดทิ้งข้าล้วนยินดี ไม่โกรธเคืองเจ้าเลย"

"พูดอะไรของเจ้านะหู่เอ๋อร์ เจ้าเป็นน้องคนเดียวของข้านะ ข้าจะทิ้งเจ้าได้ยังไงกัน"เขาพูดอย่างใจคอไม่ดีที่ได้ยินเสี่ยวหู่พูดแบบนั้น ถึงเสี่ยวหู่จะชอบพูดว่าชีวิตตนเป็นของเขา แต่ก็จะมีคำว่าจะอยู่ด้วยกันไม่ทอดทิ้งกันตลอดไป แต่ครั้งนี้ดันบอกว่าเขาจะทิ้งอีกคนก็ไม่เป็นไร อย่างนี้จะสบายใจได้ยังไงกัน

"ข้าว่าเรากลับที่พักกันเถอะ นี้ก็ใกล้มืดค่ำเต็มทีแล้ว"เสียงที่ดังขึ้นไม่ใช่เสียงของเสี่ยวหู่ แต่เป็นเสียงพี่หลงที่เดินขึ้นมาเรียกเมื่อเห็นทั้งสองคนจัดการปีศาจเหนียนแล้วยังไม่ลงจากก้อนหินใหญ่นี้สักที ทำให้เขากับเสี่ยวหู่ผละห่างออกจากกันแล้วเดินลงจากก้อนหิน เขาจึงเดินกลับไปทางที่พักโดยที่ยังไม่ได้รับการอธิบายจากเสี่ยวหู่ ส่วนเสี่ยวหู่ก็เดินไปหยิบปลาที่หาได้สี่ตัว จากนั้นจึงเดินรั้งท้ายตามกลับมา คืนนั้นนอกจากแบ่งปลาย่างกินกันแล้วแยกย้ายกันนอน พวกเราก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันเพิ่มเติม โดยเขานอนมุนใต้ต้นไม้พอดี ส่วนอีกสองคนนอนห่างออกไปช่วงตัวนึงทางซ้ายและขวาพอดี คืนนั้นเขาจึงพยายามข่มตาให้หลับไม่คิดอะไรมาก โดยก็ไม่รู้ข้างกายตนทั้งซ้ายขวาต่างนอนไม่หลับ ในสิ่งที่เห็นและเกิดในวันนี้

"เดี่ยววันนี้เราเข้าตัวเมืองแล้วซื้อจวนขนาดกลางสักจวน แล้วอาศัยอยู่ที่นั้นสักระยะแล้วกัน ข้ามีธุระที่ต้องทำหลายวัน หากเช่าโรงเตี้ยมจะเสียตำลึงโดยเปล่าประโยชน์ สู้ซื้อจวนสักจวนเราจะอยู่นานแค่ไหนก็ได้ดีกว่า พวกเจ้าสองคนคิดเห็นยังไงกับความคิดนี้"เขาถามเสี่ยวหู่และพี่หลงที่ตั้งใจฟังเขาอยู่

"ข้าเห็นด้วยกับหลันเอ๋อร์นะ นอกจากจะสะดวกแล้ว ยังเป็นส่วนตัว แถมเรายังคงความปลอดภัยได้ด้วยจากการที่เราช่วยกันจัดเวรยามดีๆ"พี่หลงสนับสนุนความคิดเขาพร้อมทั้งวางแผนเพิ่มเติมอีก

"อืม แผนนี้ใช้ได้ไม่เลว แต่เราคงต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ให้ดูหรูหราน้อยกว่านี้หน่อย ไม่เช่นนั้นจะเป็นที่สะดุดตามากเกินไป จะซื้อจ่ายสิ่งใด เดี่ยวจะได้ราคาที่แพงหูฉีกกว่าปกติเป็นแน่"เสี่ยวหู่ที่เสนอความคิดเพิ่ม ทำให้แผนนี้รัดกุมมากขึ้น จากนั้นเขาจึงร่ายเวทย์เปลี่ยนชุดให้ทุกคน โดยเขาบอกพี่หลงว่าเคยเรียนเวทย์บทง่ายๆเพื่อใช้ชีวิตให้ง่ายขึ้นเรียนมาบทสองบทเท่านั้น และหนึ่งในเวทย์ที่เรียนคือการเปลี่ยนชุด เพราะเคยเปลี่ยนให้พี่หลงตั้งแต่อยู่ในถ้ำแล้วพี่หลงจึงพยักเข้าใจไม่ได้สงสัยอะไรต่ออีก จากนั้นพวกเขาจึงเดินเท้าเข้าไปหน้าด่านตรงจุดตรวจคนเข้าเมืองที่มีชาวบ้านต่อแถวอยู่ พวกเขาจึงมาต่อท้ายแถวด้วยหน้าตาอย่างเดียวก็ทำให้พวกเขาสามคนเป็นที่จับตามองได้ไม่ยากนัก พี่ลงที่เห็นคนมองเขาจึงใช้ผ้าสีดำผืนบางมาปิดใบหน้าครึ่งล่างให้ โดยผูกปมที่ด้านหลังให้จากนั้นจึงเสี่ยวหู่ผูกและตนเองก็ผูกตาม ทำให้ตอนนี้ชาวบ้านที่มาใหม่มองมาทางนี้หนักกว่าเดิม เพราะความลึกลับของพวกเขา พวกถึงจุดตรวจพวกเขาก็ตอบคำถามที่ทหารถามตามที่เตรียมกันมา แล้วตรวจค้นร่างกายไม่มีอาวุธ จึงผ่านเข้ามาอย่างง่ายดาย จากนั้นพวกเขาจึงมาหยุดที่หน้าจวนใหญ่ของเจ้าเมืองที่เป็นคนดูแลพื้นที่หัวเมืองนี้ จะทำการซื้อขายจวนหรือกิจการต้องมาทำที่นี่ เพราะฉะนั้นพวกเขามาถูกที่แล้ว ด้วยความที่เจ้าเมืองมีความเป็นธรรมในการทำงานมาก พวกเขาจึงได้จวนขนาดกลางราคาสมเหตุสมผล พอมาดูจวนที่จะซื้อก็ตกลงทำสัญญาทันที เพราะจวนนี้อยู่กึ่งกลางระหว่างทางไปตลาดและท่าเรือ หลังจวนติดชายป่าที่พวกเขาสามารถเข้าออกไปในป่าได้ เรียกได้ว่ามีทางหนีทีไล่นั้นแหละ ถือว่าทำเลดีต่อการสืบหาข่าวมาก เขาจึงตกลงซื้อทันที โดยไม่ถามใคร เมื่อซื้อเสร็จแล้วก็แบ่งเรือนกัน โดยจวนขนาดกลางนี้มีเรือนใหญ่ไว้รับรองแขกหนึ่งหลังหน้าสุด ส่วนภายในเข้ามาจะเจอสวนดอกไม้ที่มีดอกไม้ไม่กี่ชนิดอยู่ตรงกลางแล้วมีเรืองเล็กประดับซ้ายขวา และเรือนที่ไม่ใหญ่มากตรงกลาง ซึ่งทุกเรือนยังไม่ได้ทำความสะอาดเขาจึงให้เสี่ยวหู่พาพี่หลงออกไปซื้อของมาทำอาหาร ส่วนตัวเขาก็ร่ายเวทย์ทำความสะอาดจวนทุกหลังแล้วร่ายเวทย์จัดสวนและครัวใหม่ให้ทุกอย่างพร้อมใช้งาน เมื่อคนทั้งคู่ไปซื้อของกลับมาเขาจึงเข้าครัวแล้วร่ายเวทย์เสกอาหารขึ้นมาตามวัตถุดิบที่มี แล้วนำออกมาที่โต๊ะกินข้าว หลังจากกินข้าวเสร็จพวกเขาก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนตามเรือนส่วนตัวของตัวเอง ซึ่งเขาก็อยู่กึ่งกลางเหมือนเดิม

ของขวัญจากผู้อ่านคือกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงาน ช่วยส่งกำลังใจให้ไรต์หน่อยนะ!

mmmintmintcreators' thoughts