webnovel

บทที่ 56 : กดดัน

"ผู้อาวุโส ข้าไม่..."

"มหาเทพหงหยางดับขันธ์ไปกว่าแสนปี เสินเดิมไม่ปรากฏต่อสามภพอีกเลย มีเพียงไอวิเศษจากการสร้างภพเท่านั้นที่กระจัดกระจายไปทั่ว แม้มีเทพอัคคีถือกำเนิดใหม่ทดแทน ก็หาได้มีเสินเทพบรรพกาลในพลังวิญญาณไม่ การที่เจ้าครองเสินของมหาเทพหงหยางเช่นนี้ ย่อมมีความหมายเดียว คือองค์เทพจงใจถือกำเนิดใหม่ในกายหยาบมนุษย์ ความทุกข์ยากของเหล่าเซียนคงอยู่ในสายตาขององค์เทพมานาน ข้าเชื่อว่าองค์เทพหวนกลับมาเพื่อยุติปัญหาทุกอย่างเป็นแน่"

เจ้าสำนักซีอู๋ซือกล่าวเสียงหนักแน่นกับผู้เยาว์ ทำเขานิ่งอึ้ง ไม่รู้จะตอบกลับเช่นใด ได้เพียงรั้งกายผู้อาวุโสให้ลุกขึ้นยืนเสียก่อน

"ผู้อาวุโส ท่านอย่ากล่าวเช่นนั้น เรื่องในอดีต ข้าไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่ยามนี้ ข้าเป็นเพียงเซียนเสินคุน หาใช่เทพบรรพกาล มีต้นกำเนิดเป็นมนุษย์ธรรมดา ข้ากราบอาจารย์ของข้า เข้ามาฝึกเซียน มีเจตนาเดียวคืออยากช่วยเหลือผู้เคราะห์ร้ายให้พ้นทุกข์ ไม่มีเจตนาอื่น โปรดอย่าคำนับข้าอีกเลย"

เซี่ยหยางเอ่ยปรามแกมขอร้อง การถูกผู้อาวุโสกว่าเป็นหมื่นปีโค้งคำนับ สำหรับเขาแล้ว ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีสักนิด

"ส่วนปัญหาในแดนบรรพกาล...เกี่ยวกับเหยียนอี...ข้าจนปัญญาจริงๆ แม้ว่าข้าไม่ชอบวิธีฝึกเซียนของเจ้าสำนักใหญ่ที่เข้มงวด โหดร้าย แต่ข้าเป็นเซียนภายใต้การปกครองของผู้นั้น อย่างมากก็แค่เลิกเป็นเซียน ออกจากแดนบรรพกาลเช่นซีหยาง คงไม่อาจทำอย่างที่ท่านหวังไว้ได้"

"เจ้าหมายถึง ชาติก่อนคืออดีต และอดีตย่อมไม่หวนคืน เมื่อละสังขารแล้ว ชีวิตในอดีตย่อมจบสิ้น ไม่อาจฟื้นคืน ข้าเข้าใจ...ช่างน่าเสียดายนัก วันชุมนุมเซียน ข้ามองเห็นกำลังและสติปัญญาของเจ้า เหนือกว่าเหยียนอีอย่างเห็นได้ชัด แต่เอาเถิด เมื่อเจ้าซื่อตรง ข้าจะไม่คาดคั้นอีก"

ซีอู๋ซือเห็นว่าผู้เยาว์ปฏิเสธแน่วแน่ จึงไม่กดดันต่อ ยอมละทิ้งความตั้งใจ เซี่ยหยางจึงประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม

"ผู้น้อยขอบคุณขอรับที่ผู้อาวุโสเข้าใจ" เขายืดตัวตรง ครุ่นคิดอยู่ครู่ จึงกล่าว

"ผู้อาวุโสขอรับ ซีหยางลงจากเขาเซียนเช่นนี้ เห็นทีเหยียนอีคงหาทางบังคับให้ข้าเป็นผู้คุมกฎเซียนแน่ ปัญหาในแดนบรรพกาลที่ท่านกล่าว แม้ผู้น้อยจนใจช่วยเหลือ แต่ท่านโปรดวางใจ ข้าเป็นเซียนเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น เรื่องที่ผิดต่อมนุษยธรรม ข้าไม่ขอยินยอมทำ ไม่ว่าจะถูกบีบคั้นด้วยหนทางใดก็ตาม"

"ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเช่นนั้น"

"ผู้น้อยขอบคุณขอรับ นี่ก็ยามเซินแล้ว ข้ารับปากอาจารย์หญิงว่าจะรีบกลับภายใน 3 ชั่วยาม คงต้องขอลาท่านขอรับ"

"เจ้าไปเถิด ใช้ทางลงเขาฝั่งทิศใต้ ที่แห่งนั้นไม่มีเขตอาคม เจ้าใช้อาคมหายตัวในพริบตาได้"

ฟังวาจาผู้อาวุโสกว่าจบ เซี่ยหยางก็ประสานมือคารวะรับวาจา เจ้าสำนักซีซานจึงโบกฝ่ามือเปิดประตูและหน้าต่างตำหนักกลางซีซาน เปิดเผยแสงอาทิตย์ยามบ่ายคล้อยอีกครั้ง เซียนหนุ่มกลับหลังหัน มุ่งไปยังทิศทางที่ผู้อาวุโสชี้แนะ

เมื่อคล้อยหลังแล้ว เจ้าสำนักซีซานก็โบกฝ่ามือร่ายอาคมพาโต๊ะรับรองน้ำชาหายไป แล้วจึงปรายตามองด้านบัลลังก์เจ้าสำนัก

"หวังว่าท่านจะพอใจกับบทละครนี้ เจ้าสำนักใหญ่"

น้ำเสียงขรึมกล่าว เพียงแค่เผลอกระพริบตา เก้าอี้บนบัลลังก์ก็ปรากฏบุรุษผู้ครองอาภรณ์คอตั้ง สีดำเป็นพื้น สีทองเป็นภายนอก นั่งเท้าแขนกับพนักพิง มองเบื้องหลังเซียนอาวุโสกว่าสองหมื่นปีอย่างพอใจ

"แน่นอน ข้าพอใจ"

เหยียนอีกล่าว แล้วจึงลุกขึ้นจากบัลลังก์ ก้าวเข้าหาซีอู๋ซืออย่างเชื่องช้า เจ้าสำนักซีซานกลับหลังหันมอง แม้ท่าทีขึงขัง แต่ก็โค้งตัวลงเล็กน้อย ด้วยหวั่นเกรงต่ออำนาจของเทพสวรรค์ผู้ครองแดนบรรพกาลเบื้องหน้า

"หงหยางเที่ยงธรรม ยึดสัจจะวาจา ซื่อตรง เซี่ยหยางจะมีนิสัยเช่นนั้น หาใช่เรื่องแปลก เกรงแค่เพียงวันหนึ่ง เมื่อมีอำนาจมากพอจะโค่นล้มข้าได้แล้ว เซียนผู้นั้นคงไม่ลังเล ด้วยเหตุผลนั้น ข้าจึงต้องหาวิธีควบคุมเขา"

"ศิษย์ย่อมเป็นเช่นเดียวกับอาจารย์ เจ้าสำนักใหญ่ ข้าเตือนด้วยความหวังดี ท่านควบคุมตงจิ้นทงไม่ได้เช่นใด ก็ควบคุมเซี่ยหยางไม่ได้เช่นนั้น"

คำกล่าวของซีอู๋ซือหยุดเหยียนอีนิ่งเงียบอยู่ครู่

"ไว้ให้เรื่องนั้นเป็นธุระของข้า...จริงสิ...นิทานเรื่องไป๋อวิ๋นของเจ้า น่าสนุกเสียจริง นางส่งกระแสจิตทัดทานไม่ให้เจ้ารับเป็นศิษย์ ข้าไม่เคยได้ยินเจ้าแจ้งมาก่อน"

น้ำเสียงและแววตาของเหยียนอีนิ่งเฉยจนน่าขนลุก พาให้ซีอู๋ซือกลืนน้ำลายอึกใหญ่ แต่ก็ทำใจดีสู้เสือ กล่าวตอบออกไป

"ข้าก็แค่แต่งเรื่องเติมไปบ้างว่าได้รับกระแสจิตขององค์เทพ แต่ความจริงนั้น ข้าไม่รู้มาก่อน นางยามนั้นไร้จิตเทพ ไร้พรสวรรค์ฝึกเซียน พลังชีวิตอ่อน ยังไม่ทันได้ฝึกอาคมคงสิ้นใจเสียก่อน เหตุนั้นจึงปฏิเสธตงอี้ซวินไป อย่างที่กล่าวกับท่าน เจ้าสำนัก ท่านอย่าไร้เดียงสาไปหน่อยเลย หากข้ารู้ มีหรือจะปล่อยให้เป่ยหรงรับนางเป็นศิษย์"

ท่าทางของเจ้าสำนักซีอู๋ซือไม่มีการปิดบัง เหยียนอีจึงเหยียดยิ้มมุมปากตอบกลับ

"ข้าลืมไป ความภักดีของเจ้าต่อข้า มีมากถึงขั้นยอมขายศิษย์พี่ของตัวเอง ให้กับข้า แลกกับตำแหน่งเจ้าสำนัก ความฉ้อฉลยามนั้น ข้าซึ้งใจนักเชียว"

กล่าวจบ เหยียนอีก็หายตัวไป ปล่อยให้เจ้าสำนักซีซานยืนนิ่งเงียบเพียงลำพัง

---------------------------------

ถึงแม้ว่าเจ้าสำนักซีซานชี้แนะเส้นทางที่ใช้อาคมหายตัวในพริบตาได้ เซี่ยหยางกลับเลือกเดินเท้าลงจากเขา เลาะมาตามเส้นทางที่มีกลิ่นอายทะเลชี้นำ ผ่านความซับซ้อนของผืนป่า ในที่สุด เซียนหนุ่มก็ปรากฏเบื้องหน้าชายหาดสีขาว และทะเลสีคราม ขนานกับท้องฟ้าทอแสงระเรื่อส้มทองด้านบน เขาเงยหน้าขึ้น สูดไอทะเลให้เต็มปอด สองมือกางออก ทำท่าราวกับโอบกอดสายลมไว้ ทะเลซีไห่ มีกลิ่นอายต่างจากตงไห่เล็กน้อย กระแสลมก็แรงกว่า

รู้ตัวอีกที เขาก็เอนกายลงนอนบนหาดทรายนุ่ม อุ่นเล็กน้อยจากไอแดด สองแขนยังคงกางออก โอบกอดกระแสลมไว้ เฝ้ามองผืนฟ้ายามบ่ายแก่อยู่ครู่ ก็ปิดดวงตาลง ทั้งที่อยากพักให้ใจสงบ ความคิดของเขากลับวนเวียนอยู่เพียงชาติกำเนิดของไป๋อวิ๋น และภาพในความฝัน ใบหน้างดงาม น้ำตานองหน้า กอดเขาเอาไว้ไม่ห่าง แต่ในฝันเขาไม่มีเรี่ยวแรงพอจะโอบกอดปลอบนางได้ หากย้อนเวลาไปช่วงนั้นอีกครั้ง เขาอยากกอดนางไว้ให้แน่นที่สุดเสียจริง

"ถ้าหากข้าเป็นหงหยางยามนั้น ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้ท่านอยู่กับความรู้สึกผิดนานเป็นแสนปีแน่ ไป๋อวิ๋น...ที่ท่านคอยช่วยข้ามาตลอด เพราะคิดว่าข้าคือหงหยางเท่านั้นหรือ...."

เซียนหนุ่มเพ้ออกไป ไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกเช่นใด จึงปล่อยความคิดไหลไปเรื่อยๆอย่างไรจุดหมาย แต่แล้ว...สัมผัสนุ่มคล้ายกับริมฝีปากก็ประกบชิดริมฝีปากของเขาเสียก่อน

"!..."

เซี่ยหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย ใจอยากลืมตา แต่ก็กลัวว่าสัมผัสจะหายไป จึงหลับตาไว้ ขณะเดียวกัน ก็ขยับริมฝีปากจูบตอบรับ รสสัมผัสของจุมพิตช่างหวานละมุน นุ่มนวล อีกทั้งกลิ่นของนางยังหอมหวน คุ้นจมูก ความโหยหาที่ซุกซ่อนไว้ ถูกสัมผัสปริศนาปลดออกหมดสิ้น ใจของเขาเต้นแรงแทบทะลุจากอก ทั้งเบาหวิว วูบวาบแปลกประหลาด

"ไป๋อวิ๋น..."

รู้ตัวอีกที สองแขนเขาก็รวบร่างกายอรชร อ่อนนุ่ม ประดับอาภรณ์นุ่มลื่นราวกับถักทอจากไอหมอก พลิกลงสู่ใต้ร่าง เขาใช้ฝ่ามือรองท้ายทอยของนางไว้ ไม่ให้กระทบถูกพื้นทราย เมื่อลืมตามองรูปโฉมเจ้าของจุมพิต หัวใจก็แทบหยุดเต้น เขาเห็นใบหน้างดงาม ประดับอักขระสายลมของนาง กำลังแดงระเรื่อ แต่แววตาดื้อรั้น ฉุนเฉียวเล็กน้อย เขินอายอีกกว่าครึ่ง ทุกอย่างล้วนน่ามองไปหมด เซี่ยหยางไม่อาจหักห้ามใจ คราวนี้เป็นฝ่ายก้มลงจุมพิตนางเสียเอง

เซียนหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่า หากแม้เป็นเพียงภาพนิมิต เขาก็ขอทำอย่างใจปรารถนา อยู่ๆหัวใจของเขาเจ็บปวดขึ้นมา เมื่อหวนคิดว่าไม่อาจเอื้อมถึง ในทางกลับกัน ก็เป็นสุขและตื้นตันใจ เมื่อรู้ว่านางคอยช่วยเหลือเขาตลอดมา ช่างสับสนเสียจนใจว้าวุ่นไปหมด

"เซี่ยหยาง..."

รู้ตัวอีกที จุมพิตของเขาก็หนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ จนนางเป็นฝ่ายหันหน้าหนี และเอ่ยปราม หากแต่เสียงหวานใสดั่งกระดิ่งลมที่เขาเฝ้านึกถึง กลับยิ่งปั่นป่วนความรู้สึกให้อยากรังแกนางมากกว่าเดิม ปลายจมูกโด่งของเขา แตะสัมผัสปลายจมูกสวยน่ารักของนาง ส่งสายตาออดอ้อนระคนเจ้าเล่ห์ มองประสานดวงตาสีเทาหมอก ซึ่งคอยแต่จะหรุบหนี ซุกซ่อนความหวั่นไหว

"...ท่านเป็นภาพความฝันของข้า...ข้าไม่ปล่อยท่านไปหรอก..."

เขากระซิบแผ่วเบาพลางแนบจุมพิตนุ่มนวล ชักชวนออดอ้อนให้นางตอบรับ แล้วก็แทบกลั้นยิ้มไม่อยู่เมื่อนางยอมตอบสนอง ตามใจเขา เซียนหนุ่มเปิดเผยความรู้สึกส่วนลึกผ่านจุมพิตรสหวานฉ่ำ เขาได้ยินเสียงหวานใสร้องอยู่ในคอ เบาหวิวและไพเราะ สองแขนเรียวเล็กโอบรัดร่างกายเขาไว้ ไม่ยินยอมให้ผละหนี เขาจึงปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามแรงปรารถนาต่อกัน ไม่หักห้ามใจ

"!!!?"

แต่ทว่า เกิดสายลมกรรโชกดั่งพายุลูกย่อม พัดพาเอาฝุ่นละอองทรายมหาศาลปะทะร่างกายจนแสบคันไปหมด เซี่ยหยางหยุดชะงัก สองแขนรีบโอบรั้งไป๋อวิ๋นลุกขึ้นนั่งเสียก่อน เขากดศีรษะนางซุกแผ่นอกไว้ ไม่ให้ถูกผงทรายเข้าตา พลางยกแขนบังหน้าตัวเอง เพียงครู่ ทุกอย่างก็หยุดลง

"แม่นางไป๋.....?!..."

เซี่ยหยางร้องเรียกนางในอ้อมแขน หากแต่สิ่งที่ปรากฏ กลายเป็นใบมะพร้าวแทน เซียนจวินเบิกตาตระหนกน้อยๆ ก่อนจะถอนหายใจยาว โยนใบมะพร้าวยาวเท่ารูปร่างมนุษย์ทิ้งบนทราย

"ถ้าพ่อแม่รู้ว่าข้าเพ้อเห็นใบมะพร้าวเป็นสตรี คงหัวเราะใส่ข้าข้ามวันข้ามคืนแน่ เซี่ยหยาง! เจ้าเซียนมากตัณหา!"

เซียนหนุ่มเขกหน้าผากตัวเอง เมื่อไม่เห็นหนทางรั้งอยู่ต่อ เขาจึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มองผืนมหาสมุทรซีไห่อยู่ครู่

"ผู้อาวุโสบอกว่าเป็นผืนเดียวกับตงไห่ ไหนๆก็มาแล้ว ขอข้าสำรวจก่อนแล้วกัน"

กล่าวจบ เซียนหนุ่มก็เหาะทะยานกายไปเบื้องหน้า มุ่งสู่เหนือผืนน้ำสีน้ำเงินสดใส ไม่เหลียวหลังมองใบมะพร้าวด้านหลังอีกเลย

--------------------------

เซี่ยหยางใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วยาม เหาะข้ามทะเลซีไห่กลับมาถึงสำนักตงซาน นับว่ามหาสมุทรผืนนี้กว้างใหญ่ไพศาลกว่าที่เขาคิดไว้มากเชียว เซียนหนุ่มร้อนรนรีบกลับตำหนักกลางเพื่อไปรายงานตัวกับเจ้าสำนัก หนำซ้ำ เขายังกลับไม่ตรงเวลากับที่รับปากนางไว้ ต้องโดนลงโทษแน่ ว่าแล้วก็รีบเหาะเข้าไปภายในตำหนัก

หากแต่เซียนหนุ่มมีอันตัวชาวาบ เมื่อผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์เจ้าสำนัก ไม่ใช่ตงอี้ซวิน แต่เป็นเหยียนอี ขณะที่อาจารย์หญิงของเขา ยืนอยู่บนแท่นผู้อาวุโสสำนักแทน พร้อมด้วยตงเฉิงหยวน ผู้ซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า เซี่ยหยางหยุดยืนเบื้องหลังศิษย์พี่ของตัวเอง ส่งสายตาไม่เป็นมิตรให้ผู้มาเยือน

"เหยียนอี"

'เพี้ยะ'

"!!"

เพียงแค่เซียนหนุ่มเผลอเอ่ยปากเรียกนาม เจ้าสำนักตงซานก็สะบัดแส้หางม้าในมือเหยียดยาวออก ฟาดเข้ากลางอกศิษย์เต็มแรง ผลักเขาลอยละลิ่วถอยหลังไปเกือบ 10 ก้าว สร้างความเจ็บจุกแทบสิ้นสติ กระนั้น เซี่ยหยางก็รีบคุกเข่านั่ง แม้ขัดใจ ก็จำต้องประสานมือคารวะ ด้วยล่วงรู้ว่าตนถูกฟาดเพราะเหตุใด

"...ศิษย์ตงซาน...คารวะเจ้าสำนักใหญ่...อาจารย์หญิง...ผู้น้อยผิดไปแล้วที่บังอาจเรียกชื่อของท่านขอรับ...เจ้าสำนักใหญ่"

"กลับกลอกได้ไวเช่นนี้ สมแล้วที่เจ้าเป็นศิษย์ของตงจิ้นทง"

เมื่อเหยียนอีเห็นกริยา ก็คลี่ยิ้มพึงพอใจ และยกมือปรามให้ตงอี้ซวินถอยหลังไป เซียนจวินวัยฉกรรจ์ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ผ่านตงเฉิงหยวน เข้าหาเซี่ยหยาง ผู้ซึ่งก้มหน้านิ่ง ไม่เงยมองตอบ ยังคงประสานมือคารวะค้างเช่นนั้น เขาไม่รู้ว่าเหยียนอีจะมาไม้ไหนกันแน่

"ตงอี้ซวินชิงตัดหน้าลงโทษศิษย์เช่นเจ้าก่อน เพื่อห้ามไม่ให้ข้าทำเสียเอง รู้เช่นนี้แล้ว อย่าได้ขุ่นเคืองนาง...เงยหน้าขึ้นได้แล้ว"

ได้ยินน้ำเสียงเยือกเย็นสั่ง เซี่ยหยางจึงเงยหน้าขึ้น ลดมือไว้ข้างกาย หากแต่สายตาของเขายังคงแข็งข้อต่ออีกฝ่าย

"หึ..."

เหยียนอียิ้มมุมปาก ไม่ปรากฏชัดเจนว่าขุ่นเคืองหรือพอใจ แต่เป็นยิ้มประหลาดสำหรับเซี่ยหยางนัก

"ดูเหมือนว่าอักขระบนหน้าผากของเจ้าจะเติบโตขึ้นเล็กน้อย ตามพลังต้นจิต อีกไม่นาน ผู้ที่หลบซ่อนในวิญญาณของเจ้า คงสะสมพลังได้สมบูรณ์ ก่อนถึงยามนั้น จงยั้งใจอยากแก้แค้นไว้ แล้วฝึกกับข้าให้ดี เมื่อเจ้ากลายเป็นเทพสวรรค์แล้ว ค่อยแก้แค้นข้า ยังไม่สาย"

"ข้าไม่มีความแค้นต่อท่าน"

เซี่ยหยางกล่าวตอบทันที สายตาของเขายังคงแข็งข้อ เขาเห็นสายตาห้ามปรามของตงอี้ซวินให้สงบวาจา

"เซี่ยหยาง เจ้าสำนักใหญ่ยังไม่ถาม เจ้าห้ามตอบ"

"ไม่เป็นไร อี้ซวิน ข้าไม่ถือสา เซียนผู้นี้กล้าหาญแทงกระบี่ใส่ข้ากลางงานชุมนุมเซียน ข้ายังไม่อาจถือสาได้ นับประสาอะไรกับวาจาเพียงไม่กี่คำ"

เหยียนอีกล่าวตอบ สายตาของผู้อาวุโสกว่าเต็มไปด้วยคำถามต่อเขา

"สายตาของเจ้าบอกถึงความเกลียดชังต่อข้าชัดเจน ไยจึงกล่าวว่าไม่มีความแค้น"

เจ้าสำนักเทียนซานถาม ศิษย์ตงซานกลับนิ่งเงียบ สายตาของคู่สนทนาจึงดุดันขึ้นเล็กน้อย

"ข้าถาม จงตอบ"

"...หากคำตอบของข้า หยามเกียรติของท่าน เทพซ่างเสินเช่นท่านฟังได้หรือ"

คำตอบกวนโทสะของเซียนหนุ่ม เรียกสายตาตงเฉิงหยวนและตงอี้ซวินเบิกตาตระหนกมอง แต่เขากลับนิ่งไม่หวั่นไหว เขารู้ว่าเหยียนอีกำลังหยั่งเชิง ดูว่าเขาจะยอมได้ถึงเพียงไหน และจริงดังคาด แววตาที่เคยนิ่งเฉยจนน่าขนลุก กลับลุกวาบขึ้นเหมือนมีโทสะอยู่ไม่น้อย แต่แค่ครู่ก็สงบลงอย่างน่าอัศจรรย์ กริยาเหล่านั้นชวนขนลุกเป็นที่สุด

"ข้ารู้สึกเช่นใด ไม่ใช่เรื่องของเจ้า หน้าที่ของเจ้า คือตอบในสิ่งที่ข้าถาม กล่าวมา"

"...ข้าไม่มีความแค้นต่อท่าน...แม้วันแรกที่พบกัน ท่านตั้งใจสังหารข้าเพื่อกดดันให้อาจารย์เลือกศิษย์ตามตำราเซียนก็ตาม วิธีเช่นนั้น ไร้หัวใจ"

คำกล่าวตรงไปตรงมาของเซี่ยหยาง เรียกสายตาเหยียนอีจับจ้องนิ่ง เซียนหนุ่มไม่เห็นท่าทีโต้แย้งของอีกฝ่าย จึงกล่าวต่อ

"ข้าเพียงแค่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ท่านทำ หรือเชื่อถือ ท่านรู้แก่ใจว่าอสูรบรรพกาลฤทธิ์มาก ตบะแข็งแกร่ง ขนาดมหาเทพ.....ขนาดเทพสวรรค์ยังไม่อาจปราบได้ผู้เดียว กลับส่งให้ผู้คุมกฎไปปรามตามลำพัง ทำเช่นนั้นเท่ากับส่งพวกเขาไปสู่ความตาย หากไม่เพราะหนานเหอกับแม่นางไป๋อยู่ด้วย พวกเขาคงสิ้นชีพไปหมดแล้ว"

"พวกเขาล้วนมีตบะเป็นพันปี คุ้นเคยกับการต่อสู้ กล่าวเช่นนี้ไม่เท่ากับดูถูกพวกเขาหรือ"

"ข้าหาได้ดูถูกผู้คุมกฎเซียน แต่โจทย์ที่ท่านให้มา พวกเขาไม่อาจรับได้ ขนาดท่านเองยังบาดเจ็บแทบสิ้นชีวิต หากไม่เพราะอาจารย์ของข้าสละตบะบำเพ็ญช่วยเหลือ ท่านจะยืนอยู่ตรงนี้หรือ"

"เซี่ยหยาง"

ตงอี้ซวินรีบเอ่ยปราม เหยียนอีก็ยกมือห้ามไว้ สายตาของเจ้าสำนักใหญ่มองเซียนหนุ่มนิ่งเงียบ ไม่ปรากฏความรู้สึก

"กล่าวต่อไป"

เหยียนอีบอก เซี่ยหยางครุ่คิดอยู่ครู่ เมื่อมองไม่เห็นความรู้สึกแท้จริงของเหยียนอี เขาก็ยอมลดท่าทีลงเล็กน้อย ป้องกันตัวไว้ก่อน

"ความคิดของข้า ไม่ตรงกับท่าน ฉะนั้น ใจของข้าจึงไม่ภักดีต่อท่าน แต่หาได้เคืองแค้นไม่ ที่ข้าอยากกล่าว มีเพียงเท่านี้"

เซี่ยหยางตอบพร้อมกับเตรียมใจไว้ หากเขาต้องถูกริบพลัง ก็จะไม่เสียใจภายหลัง ดีกว่าทำตามวิธีของเซียนใจดำอำมหิตเบื้องหน้า หากแต่เหยียนอีไม่แสดงท่าทีขุ่นเคืองอย่างเขาคิด

"อี้ซวิน"

"เจ้าสำนักใหญ่"

เมื่อถูกเรียก ตงอี้ซวินก็รีบเข้ามายืนข้างเซี่ยหยางรวดเร็ว ชนิดที่เหยียนอียังปรายตามอง นางกลับทำนิ่งเฉย โค้งคารวะรอรับคำสั่ง

"ยาที่ข้านำมา ตงจิ้นทงยอมดื่มหรือไม่"

"ผู้อาวุโสสามดื่มยารักษาภายในเรียบร้อย ยามนี้กำลังพักผ่อนที่อาศรมเจ้าค่ะ"

"ข้าบอกเจ้าหรือว่าเป็นยารักษาภายใน"

"??!"

คำกล่าวของเหยียนอีเรียกสายตาศิษย์และเจ้าสำนักตงซานตื่นตระหนกขึ้นมาทันใด เหยียนอียิ้มมุมปาก มองตอบเซี่ยหยาง

"นั่นเป็นยาสวรรค์นิรันดร์ เมื่อดื่มแล้ว จะหลับใหลไปตลอดชั่วอายุขัยสวรรค์ มีไว้สำหรับลงทัณฑ์นักโทษสวรรค์ ข้าใช้เส้นสายนิดหน่อย จึงได้มา"

"เจ้า!!!"

เซี่ยหยางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ตั้งท่าจะพุ่งเข้าใส่ ตงอี้ซวินก็รีบสกัดจุดไว้ให้ยืนนิ่ง สีหน้าของนางตื่นตระหนกไม่แพ้กัน

"เจ้าสำนักใหญ่ ผู้อาวุโสสามไว้ใจท่านมาก ไยท่านจึงทำเช่นนี้"

"เจ้าเป็นเซียนมา 3 พันกว่าปี ยังดูตงจิ้ทงไม่ออกอีกหรือ ทั้งหมดเป็นเดิมพันระหว่างข้ากับเจ้าเฒ่าจิ้งจอกนั่น หากตงจิ้นทงไม่ดื่ม ข้าจะริบตบะบำเพ็ญของเซี่ยหยาง และตงเฉิงหยวน และหากศิษย์ของเจ้าทั้งสองเล่นแง่ ไม่ผ่านการคัดเลือกเป็นเซียนเทียนซาน ตงจิ้นทงจะหลับไปตลอดกาล ถ้าพวกเจ้าอยากให้อาจารย์สามสุดที่รักฟื้นคืนขึ้น ก็ต้องตั้งใจสู้ในด่านคัดเซียน"

"จิตใจของเจ้าทำด้วยอะไร! ใช้วิธีนี้ ช่างเหี้ยมโหด! เสียแรงเป็นถึงเทพสวรรค์ จิตใจกลับอำมหิตนัก!!"

เซี่ยหยางไม่อาจข่มโทสะได้อีกต่อไป เขาตวาดใส่ดังลั่น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนลุกวาบดั่งมีเปลวเพลิงโชติช่วงอยู่ภายใน ร่างกายแผ่ไอร้อนมหาศาลไปสุดรอบเขาตงซาน ตงอี้ซวินใจหาย รีบส่งสายตาห้ามปราม หากแต่เหยียนอีกลับนิ่งเฉย ไม่ตระหนกนัก

"ต่อให้เจ้าเผาแดนบรรพกาลมอดไหม้สิ้น ตงจิ้นทงก็ไม่อาจฟื้นคืน ช่างเปลืองพละกำลัง ไร้สติ สิ้นคิด"

เจ้าสำนักเทียนซานเอ่ยดุ เซี่ยหยางก็จ้องเขม็ง หากไม่ถูกสกัดจุดไว้ เขาคงได้แลกชีวิตกับเหยียนอีอีกครั้งแน่!

"มหาเทพหงหยางหนักแน่นในสัจจะวาจา ข้าจะให้สัจจะแก่เจ้า หากเจ้าผ่านด่านคัดเซียน เป็นผู้คุมกฎ และกราบข้าเป็นอาจารย์ ยาถอนพิษจะส่งถึงสำนักตงซานภายใน 1 ชั่วยาม แต่ถ้าไม่...ก็เชิญเจ้าเซ่นไหว้ร่างอาจารย์สามของเจ้าไปตลอดกาลเถิด"

"เหยียนอี!!!!"

'ครึน...'

เซี่ยหยางลุแก่โทสะ ตะคอกใส่เหยียนอีดังลั่น พลันท้องฟ้าเกิดแปรปรวน ส่งเสียงกัมปนาทของสายฟ้าฟาดไม่หยุดหย่อน ฉับพลัน รอบตำหนักกลางตงซานกลับลุกโชนด้วยเปลวเพลิง โอบล้อมพวกเขาเอาไว้ ความร้อนของเพลิง พาให้ตงเฉิงหยวนและตงอี้ซวินต่างถูกลดทอนพลังวิญญาณจนหมอบฟุบลงกับพื้น มีเพียงเหยียนอีที่ยืนเอามือไพล่หลัง มองสบสายตาดุกร้าวของเซียนหนุ่ม

ความทรมานของอาจารย์หญิงและศิษย์พี่ ทำให้เซี่ยหยางจำต้องข่มอารมณ์อย่างยากลำบาก ครู่หนึ่ง ไฟแห่งโทสะจึงมอดดับลง เซียนหนุ่มทรุดลงคุกเข่า หอบหายใจตัวโยน กำหมัดแน่น ยิ่งเห็นชายอาภรณ์สีดำของเหยียนอีอยู่เบื้องหน้า ใจของเขายิ่งเดือดดาล แต่ไม่อาจทำสิ่งใดได้

"จิตใจที่อ่อนโยน มีแต่จะนำภัยมาสู่ตัวเอง แดนเซียนหาใช่สนามเด็กเล่นของเจ้า เมื่อมีพละกำลัง ต้องรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ หาไม่แล้ว ไฟของเจ้า ก็แค่ละครปาหี่ไว้เรียกเสียงปรบมือ เซี่ยหยาง"

กล่าวจบ เหยียนอีก็เดินเฉียดไหล่เซี่ยหยาง พาชายอาภรณ์ละไปตามช่วงแขนถึงบ่า ยั่วโทสะเซียนหนุ่มให้เดือดจนอึดอัดไปทั้งอก สุดท้าย ก็ทำได้เพียงกำหมัดทุบลงบนพื้นระบายอารมณ์เท่านั้น

'ปึง'

หินเบื้องหน้าแตกกระจายลึกถึงข้อมือ โทสะกลับไม่เลือนหายไปแม้แต่น้อย มือของเขาชุ่มด้วยโลหิต สั่นเทิ้ม ใจอยากให้หมัดนี้พุ่งใส่หน้าเซียนอำมหิตบ้าอำนาจผู้นั้นนัก!

"เซี่ยหยาง" ตงเฉิงหยวนรีบรุดมาห้ามไว้

"ยังพอมีทางออก ขอเพียงแค่เจ้ายอมอ่อนข้อ จะช่วยอาจารย์สามได้"

"เพราะเซียนผู้นั้นรู้ว่าข้ายอมถูกริบตบะมากกว่ายอมเชื่อฟัง จึงใช้ชีวิตของคนที่ข้ารักเป็นเดิมพัน...ไร้หัวใจ ไร้เมตตาปรานี เช่นนี้แล้ว ยังกล้าเรียกตัวเองเป็นเทพสวรรค์อีกหรือ!!"

อักขระไฟบนหน้าผากของเซี่ยหยางสว่างวาบ ร่างกายแผ่ไอร้อนออกมาอีกครั้ง ตงอี้ซวินคิดอยู่ครู่ จึงกล่าว

"เช่นนั้นก็อย่าไหลตามเจตนาของเจ้าสำนักใหญ่"

คำกล่าวของอาจารย์หญิง เรียกสายตาเซียนหนุ่มทั้งสองหันมอง

"เจ้าสำนักใหญ่จงใจยั่วโมโหเจ้า ถ้าหากเจ้าต่อต้าน คิดสู้กับเขาจนแหลกไปข้างหนึ่ง นอกจากช่วยตงจิ้นทงไม่ได้ ยังประกาศตัวเป็นศิษย์ทรยศ ไม่อาจอยู่แดนเซียนได้อีก เจ้าจะยอมให้เป็นเช่นนั้นเพราะอารมณ์นำพาหรือ"

ได้ฟัง เซี่ยหยางก็นิ่งเงียบ แต่ยังไม่ลดท่าทีลง ตงอี้ซวินจึงตัดสินใจกล่าวไม้สุดท้ายออกมา

"เจ้าคิดว่ามหาเทพไป๋อวิ๋นผนึกพลังตัวเองมานานถึง 350 ปี เพื่อสิ่งใดกัน นางต้องถูกศิษย์ซีซานปรามาสต่างๆนานา มีต้นจิตเป็นสายลม แต่ถูกสำนักปฏิเสธ อยู่เป่ยซานก็ฝึกอาคมดินไม่ได้ ยามนั้นหากไร้ซึ่งพิณคงโหว ก็มีเพียงกระบวนท่าของเป่ยซานป้องกันตัวเท่านั้น นางอดทนอดกลั้นเพื่อจุดมุ่งหมายของนาง แล้วเจ้าเล่า เซี่ยหยาง การเป็นเซียนของเจ้า แท้จริงแล้ว มีจุดหมายเพื่อสิ่งใด"

คำกล่าวของอาจารย์หญิง ทำให้เซี่ยหยางยอมสงบท่าทีลง ประสานมือขอขมาอย่างยอมจำนน

"ศิษย์ผิดไปแล้วขอรับ"

"พวกเจ้ากลับไปเตรียมตัวที่หอนอนเถิด ก่อนจะถึงวันคัดเซียนเทียนซาน พวกเจ้าต้องฝึกอยู่ด้วยกัน ตงชิงเหอรอพวกเจ้าอยู่ที่หอนอน"

"ตงชิงเหอ?"

ตงเฉิงหยยวนทวนคำแปลกใจ ตงอี้ซวินก็ลุกขึ้นยืน พลางกล่าว

"ตงชิงเหอบรรลุขั้นเซียนฮว๋าเสิน จึงมีสิทธิ์เข้ารับการคัดเลือกด้วย พวกเจ้าดูแลกันให้ดี"

"ฮว๋าเสิน? เป็นไปได้อย่างไรกัน เมื่อไม่กี่วันก่อน ยังเป็นเซียนเจ๋อจื้ออยู่ไม่ใช่หรือ!!"

ตงเฉิงหยวนกล่าวตื่นตระหนก เซี่ยหยางเองก็รู้สึกถึงความผิดปกติเช่นกัน ตงอี้ซวินส่ายหน้าตอบ

"ข้าไม่รู้ เมื่อมีกฎให้สำนักส่งเซียนฮว๋าเสินเข้าคัดเซียนเทียนซาน เจ้าสำนักเซียนย่อมต้องทำตามกฎ พวกเจ้าสนใจเพียงหน้าที่ของตัวเองก็พอ"

สิ้นวาจา เจ้าสำนักหญิงก็หายตัวในพริบตาไปกลางอากาศ ปล่อยให้เซี่ยหยางมองหน้ากับตงเฉิงหยวน สีหน้าของศิษย์น้องไม่สู้ดีนัก ศิษย์พี่จึงตบบ่าปลอบใจ

"ไปหาอาจารย์สามกันก่อนเถิด"