webnovel

0905

ตอนที่ 905 'ผมไม่คุ้นชินกับโลกใบนี้!'

ระหว่างออกอากาศ

จางยายิ้ม "อาจารย์จาง ต่อจากนี้พวกเราจะเริ่มคุยกันอย่างเป็นทางการแล้วนะคะ"

จางเย่มองเธอแล้วเอ่ย "งั้นแปลว่าที่เราเพิ่งพูดกันไปนั่นยังไม่เป็นทางการเหรอครับ?"

จางยา "..."

จางเย่กระแอมหนึ่งที "โอเค งั้นเรามาเริ่มคุยกันดีๆ เถอะครับ"

จางยายกสคริปต์คำถามในมือขึ้นมา ยังคงมีรอยยิ้มฝืดเฝื่อน "พอโดนคุณป่วนเข้า ฉันก็เลยไม่รู้ว่าจะสัมภาษณ์หรือถามอะไรดีเลยค่ะ"

จางเย่ที่อยู่เบื้องหน้าเธอนั้นนับว่าเป็นพิธีกรที่โดดเด่นอีกคนหนึ่ง บัดนี้เมื่อพิธีกรสองคนมาพบกัน จึงกลายเป็นว่าไม่รู้ว่าใครเป็นคนถามใครเป็นคนตอบ

"ไม่เป็นไรครับ ถามอะไรมาก็ได้" จางเย่หัวเราะ "คุยกันแบบเพื่อนคุยกันเถอะ ผมเป็นคนพูดเรื่อยเปื่อยอย่างนี้แหละ พอเป็นทางการเกินไปผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพูดอะไร"

จางยาเองก็เอ่ยอย่างผ่อนคลายลง "ได้ค่ะ งั้นพวกเรามาคุยกันแบบเพื่อนคุยกันนะคะ"

จางเย่ตอบ "ครับ"

จางยายิ้ม "เมื่อช่วงเที่ยงเพิ่งมีข่าวประกาศออกมาว่าคุณได้เลื่อนอันดับขึ้นมาเป็นดาราระดับเออย่างเป็นทางการแล้ว ฉันอยากทราบว่า ตอนที่คุณรู้ข่าวนี้คุณมีปฏิกิริยายังไงคะ?"

จางเย่ประสานมือพลางยิ้ม "ปฏิกิริยาแรกของผมคือหันไปมองพระอาทิตย์ข้างนอก"

จางยางุนงง "เพราะมันจะทำให้คุณอบอุ่นขึ้นหรือคะ?"

จางเย่ส่ายหน้า "เปล่าครับ"

จางยาถามอีกครั้ง "เพราะรู้สึกได้ถึงแสงสว่าง?"

จางเย่ส่ายหน้า "ก็เปล่าอีกนั่นแหละ"

จางยาถามอย่างประหลาดใจ "งั้นคุณมองพระอาทิตย์ทำไม?"

จางเย่ตอบ "ผมหันไปดูว่าวันนี้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกหรือเปล่าน่ะครับ"

จางยา "อย่างนี้เองเหรอคะ?"

จางเย่พยักหน้าอย่างจริงจัง "อย่างนี้แหละครับ"

เหล่าผู้ชมต่างขบขัน

"ไม่เชื่อก็บอกว่าไม่เชื่อตรงๆ ไปเลยสิ จะพูดว่าหันไปมองพระอาทิตย์ทำไม!"

"พรืด นิสัยชอบพูดอ้อมโลกของคนปักกิ่งนี่ช่างทำให้คนพูดไม่ออกเกินไปแล้ว!"

"ใช่แล้ว ไม่ยอมพูดดีๆ แต่แรก ต้องอ้อมไปอ้อมมา!"

"การสัมภาษณ์นี้ชักจะออกทะเลแล้วนะ!"

"ฮ่าๆ ไร้สาระสักหน่อยก็ดี ฉันชอบดูจางเย่แกล้งคนอย่างนี้แหละ!"

ในห้องอัดรายการ

จางยาพูดอย่างขบขัน "ดูเหมือนว่าคุณเองก็ประหลาดใจกับข่าวนี้มากนะคะ"

จางเย่ "ใช่ครับ ก่อนนี้ผมเห็นทั้งคอมเมนต์ของเพื่อนๆ บนอินเทอร์เน็ต ทั้งรายงานข่าวบนทีวี ว่ากันตรงๆ พวกคุณอาจจะไม่เชื่อ พวกคุณอาจจะตกใจ? แต่ว่าผมน่ะตกใจยิ่งกว่าพวกคุณเสียอีก ผมมีปัญหากับใครในวงการบ้างคุณก็รู้ แต่กลายเป็นว่าคืนเดียวกลับถูกผลักขึ้นมาอยู่ระดับเอแล้ว? เป็นคุณคุณจะเชื่อลงไหมล่ะ?"

จางยาหัวเราะ "เป็นฉันฉันก็ไม่เชื่อค่ะ"

"เห็นไหมล่ะ" จางเย่กล่าว "ตอนนี้อารมณ์ผมก็เป็นแบบนี้แหละครับ เพราะงั้นผมถึงอยากถามเรื่องหนึ่ง นี่พวกคุณไม่ได้จัดอันดับผิดแน่นะ?"

จางยาหัวเราะคิก "พวกเราแน่ใจค่ะ"

จางเย่จึงนั่งยืดตัวตรง ก่อนยิ้มกล่าว "งั้นก็ดีแล้วครับ ในที่สุดผมก็ยืดได้สักที เมื่อกี้ตอนเข้ามาในห้องส่งผมยังไม่กล้านั่งตัวตรงเลย ไม่มั่นใจเลยจริงๆ กลัวว่าถ่ายไปถ่ายมาจะมีคนมาบอกให้ผมลงมาก่อน มีข้อผิดพลาดในการจัดอันดับ"

จางยาหัวเราะคิกอยู่นานอีกครั้ง

หนึ่งคำถาม

สองคำถาม

สามคำถาม

จางยาถาม จางเย่ตอบ ต่างฝ่ายต่างแลกเปลี่ยนคำถามคำตอบ

เพียงพริบตา ช่วงเวลาสัมภาษณ์สิบนาทีก็ใกล้หมดลงแล้ว

จางยาได้ยินรายงานเวลาที่เหลือผ่านหูฟัง ก็เอ่ย "ตั้งแต่คุณเข้ามาในวงการนี้ ก็ดูจะเข้ากับคนในวงการและเพื่อนร่วมงานได้ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก แต่บัดนี้ คุณได้ฝ่าฟันข้อเคลือบแคลงกังขาทั้งหลาย แล้วขึ้นมายืนหยัดอยู่บนเวทีระดับเอแล้ว สองขาของคุณย่ำก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ในใจฉันยอมรับนับถือคุณจริงๆ ค่ะ" เว้นช่วงไปชั่วขณะ ก่อนที่เธอจะกล่าวต่อ "เอาล่ะค่ะ มาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว คุณมีอะไรที่อยากพูดกับผู้ชมบ้างไหมคะ หรือว่าอยากจะแสดงความเห็นอะไรบ้าง? ฉันขอมอบช่วงเวลาสุดท้ายนี้ให้คุณค่ะ"

คำพูดทิ้งท้าย?

จะพูดอะไรดีนะ?

จะแสดงความเห็นอะไรดี?

แล้วทันใดนั้น จางเย่ก็พลันนึกถึงตอนที่เขามาถึงโลกใบนี้ใหม่ๆ นึกถึงตอนที่ตัวเองเลือกฝ่าดงภูเขาดาบทะเลเพลิงเหล่านั้น และเขาก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงเร่งเรียบเรียงคำพูดในสมองของตนเอง ทั้งชีวิต ทั้งเหตุการณ์ทั้งหมดที่เคยพานพบ มาจนถึงโลกใบนี้ เขาผ่านมาหมดแล้วทั้งความสงบสุข ความลำบาก ความผิดหวัง ความห่างเหิน ความดื้อรั้น ความโกรธเคือง ได้เย้ยฟ้า ได้ท้าดิน รบรากับผู้คน เผชิญประสบการณ์ต่างๆ มามากมาย

ณ เวลานี้ เขาคิดออกแล้วว่าควรพูดอะไร

จางเย่หันไปทางกล้อง 'ดู' หน้าของเหล่าผู้ชมที่อยู่หน้าจอโทรทัศน์ แล้วกล่าวอย่างแผ่วเบา

"ผมไม่คุ้นชินกับโลกใบนี้"

"แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ผมเงียบงัน"

"ผมยังคงมีคำถามมากมายดังเช่นที่เคยเป็นมา"

"ถึงทางใต้ ถึงบ้านเก่า ถึงความหวัง ถึงหนทาง"

จางยาชะงักทันที!

"ผมไม่คุ้นชินกับโลกใบนี้"

"แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ผมสิ้นหวัง"

"ผมยังมีความกระตือรือร้นดังเช่นที่เคยเป็นมา"

"แด่การจากลา แด่ความตาย แด่วันวาน แด่ความโดดเดี่ยว"

นี่...

ฟังมาถึงตรงนี้ เหล่าผู้ชมหน้าจอโทรทัศน์ก็ชะงักไปเช่นกัน!

จางเย่ยิ้มน้อยๆ

"ผมไม่คุ้นชินกับโลกใบนี้"

"แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ผมปลิ้นปล้อน"

"ผมยังมีความจริงใจดังเช่นที่เคยเป็นมา"

"ไม่ยอมจาก ไม่ยอมวาง ไม่ยอมตาย ไม่ทิ้งรัก"

จางเย่ค่อยๆ คลี่รอยยิ้ม น้ำเสียงของเขาแผ่วเบา

"ผมไม่คุ้นชินกับโลกใบนี้"

"แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ผมเดียวดาย"

"ผมยังมีความต้องการดังเช่นที่เคยเป็นมา"

"การปลอบประโลม การแบ่งปัน ความขุ่นเคือง บอกต่อคุณ"

……

ที่บ้าน

พ่อกับแม่นิ่งอึ้งขณะจ้องจอโทรทัศน์

เฉินเฉินที่เอาแต่เล่นมือถือ ก็ถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นเป็นครั้งแรก

น้ำเสียงแผ่วเบาของจางเย่ ฟังราวกับอยู่ห่างไกลจนสุดเอื้อม แต่ก็ราวกับอยู่ใกล้เพียงข้างตัว

"ผมไม่คุ้นชินกับโลกใบนี้"

"แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ผมเย็นชา"

"ผมยังคงมีความรู้สึกดังเช่นที่เคยเป็นมา"

"ต่อกาลเวลา ต่อเมฆขาว ต่อค่ำคืน ต่อลิขิตฟ้า"

……

ที่บ้านหลังหนึ่ง

ครอบครัวของเฉินกวง

"ผมไม่คุ้นชินกับโลกใบนี้"

"แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ผมหลบลี้"

"ผมยังคงมองหาดังเช่นที่เคยเป็นมา"

"ต่อความใฝ่ฝัน ต่อความทรงจำ ต่อความพ่ายแพ้ ต่อความมุ่งหมาย"

เฉินกวงกับฟ่านเหวินลี่หันมองหน้ากัน เมื่อฟังถ้อยคำของจางเย่ ไม่ทราบด้วยเหตุใด ในใจพลันเกิดความรู้สึกหวั่นไหวชนิดหนึ่ง เป็นความรู้สึกยอมรับนับถือชนิดหนึ่ง!

ดีจริงๆ

กลอนบทนี้ ช่างเป็นกลอนที่ดีจริงๆ

……

คฤหาสน์ในเมืองหลวง

ที่บ้านของจางหย่วนฉี

จางหย่วนฉีกับเอเยนต์ของเธอฟางเว่ยหงกำลังดูจางเย่บนจอโทรทัศน์ คุยกันไปพลางแทะเมล็ดแตงโมกันไปพลาง แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใด ทั้งสองกลับพลันเงียบเสียงลง

"ผมไม่คุ้นชินกับโลกใบนี้"

"แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ผมต่ำช้า"

"ผมยังคงอาจหาญดังเช่นที่เคยเป็นมา"

"ไม่เชื่อความพ่ายแพ้ ไม่ศรัทธาเทพเซียน ไม่ยอมสยบต่อผืนฟ้า ไม่ยอมคารวะต่อแผ่นดิน"

ไม่ยอมสยบต่อผืนฟ้า?

ไม่ยอมคารวะต่อแผ่นดิน?

……

ที่บ้านของอู๋เจ๋อชิง

ในบ้านมีเพียงเสียงของจางเย่ที่ดังก้อง

"ผมไม่คุ้นชินกับโลกใบนี้"

"แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ผมแพ้พ่าย"

"ผมยังคงเบิกบานเช่นที่เคยเป็นมา"

"ดำรงอยู่ มีคุณค่า มีเอกลักษณ์ มีความหมาย"

……

ที่ CCTV ช่อง 14

ในออฟฟิศ ฮาฉีฉี จางจั่ว เลขาฯ ของเหยียนเทียนเฟยและพวก ไม่มีใครพูดอะไร สายตาของพวกเขาล้วนจับจ้องที่เงาร่างบนจอโทรทัศน์

"ผมไม่คุ้นชินกับโลกใบนี้"

"แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ผมเหินห่าง"

"ผมยังคงมองหาช่องทางดังเช่นที่เคยเป็นมา"

"ก้าวไปข้างหน้า หันมองข้างหลัง สามารถก้าวกระโดด สามารถหยุดชะงัก"

……

ณ บัดนี้ ผู้ชมนับพันนับหมื่นต่างกำลังจ้องมองจอโทรทัศน์ นิ่งเงียบฟังเรื่องราวชีวิตของจางเย่

"ผมไม่คุ้นชินกับโลกใบนี้"

"แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ผมฉีกขาด"

"ผมยังคงสมบูรณ์ดังเช่นที่เคยเป็นมา"

"อย่างน้อย ตัวผมยังคงอยู่ครบบริบูรณ์"

เมื่อมาถึงท่อนสุดท้าย จางเย่ก็แย้มยิ้มอีกครั้ง

"ผมไม่คุ้นชินกับโลกใบนี้"

"แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ผมเลือกที่จะอยู่หรือตาย"

"ผมยังคงเลือกได้ดังเช่นที่เคยเป็นมา"

“จะอยู่หรือตาย ล้วนไม่ใช่ทางเลือกทั้งสิ้น”

เขาพูดจบแล้ว

จางยาคล้ายจมลงในถ้อยคำเหล่านั้นจนรู้สึกงมงาย

สุดท้ายจางเย่หันมายิ้มให้กับกล้องและพิธีกร "ที่ผมอยากพูดก็มีเพียงเท่านี้ ขอบคุณครับ"

เวลาหมดลงพอดี

สัญญาณถ่ายทอดสดถูกตัดลงแล้ว

จางเย่ลุกขึ้น ก้าวเดิน และในทันใดนั้น เสียงปรบมือก็พลันดังกึกก้อง!

จางยาลุกขึ้นยืน ค่อยๆ ปรบมือให้เขา

เหล่าทีมงานถ่ายทอดสดก็คล้ายหวนคืนสติ ล้วนยกแขนปรบมือให้กับจางเย่!

ทุกคนต่างนิ่งฟังจนตะลึงลาน!

พวกเขาถึงกับเชื่อตรงกันว่า คำพูดเหล่านี้ จางเย่ไม่ได้คิดเตรียมการมาก่อน!

ดังนั้นพวกเขาจึงฟังจนตะลึงลาน! ดังนั้นพวกเขาจึงปรบมือกันอย่างสุดแรง ถึงขั้นหลงลืมความขัดแย้งระหว่างอีกฝ่ายกับ CCTV ไปชั่วขณะ!

จางเย่หัวเราะ "ขอบคุณมากครับ"

จางยาประทับใจอย่างยิ่ง ทั้งยังรู้สึกเศร้าเสียดายอย่างยิ่ง "อาจารย์จางคะ ฉันพบคนมามากมาย เจอดารามาก็ไม่น้อย ล้วนเคยฟังเรื่องราวชีวิตของพวกเขา แต่ฉันกลับรู้สึกว่า คุณคือคนที่มหัศจรรย์ที่สุด"

มหัศจรรย์ที่สุด?

ก็อาจจะเป็นอย่างนั้นกระมัง

จางเย่เพียงยิ้มกลับไป ไม่ตอบอะไร เพราะเขาไม่ทราบว่าควรตอบกลับไปอย่างไรดี มีถ้อยคำมากมายที่เขาไม่อาจเอ่ยปาก กระทั่งกับคนในบ้าน ก็ไม่อาจบอกเล่าได้ทุกประการ เพราะความจริงแล้วในโลกใบนี้ มีเพียงจางเย่คนเดียวเท่านั้นที่ทราบว่าตัวเขากับโลกโลกนี้...ไม่คุ้นชินกันอย่างแท้จริง! ตัวเขาไม่ใช่คนของที่นี่!

แต่ว่าเขาไม่เคยสั่นคลอน!

เขายังคงเดินมุ่งตรงไป ก้าวตรงไปอย่างไม่หยุดยั้ง จนกว่าจะได้ยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดของโลกที่ไม่คุ้นชินใบนี้!