webnovel

0111

บทที่ 110 : การแข่งขันกลอนคู่นครหลวงเริ่มต้น!

ช่วงเช้า

จางเย่กำลังคุยกับเสี่ยวหลวี่เรื่องการอัดรายการที่กำลังใกล้เข้ามา ทันใดนั้น คนจากแผนกโฆษณาหลายคนก็เข้ามาหา

“อาจารย์จาง” ชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวทักอย่างสุภาพ

“อ้อ อาจารย์หลิวนี่เอง” จางเย่เดินเข้าไปหา เขาเคยเห็นหน้าคนที่เข้ามาทุกคน เพราะได้ทำโฆษณาเพื่อสังคมด้วยกันเมื่อวานนี้

“อย่าเลย เหอะๆ อย่าเรียกผมว่าอาจารย์เลยนะ ถึงผมจะแก่กว่าคุณสามปี แต่ต่อหน้าคุณผมไม่กล้าถูกเรียกว่าอาจารย์แน่ นี่แน่ะ ผลลัพธ์ของโฆษณาออกมาแล้วนะ ผลตอบรับต้องบอกว่าดีถึงขีดสุด ผมคิดว่าคุณน่าจะได้ยินแล้วล่ะ นี่พวกเรามาก็เพื่อขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือทุกอย่าง” ชายหนุ่มกล่าวอย่างเป็นมิตร

จางเย่ยิ้ม “ไม่เป็นไรๆ ด้วยความยินดีครับ”

หญิงสาวอีกคนกล่าวบ้าง “ถ้าครั้งต่อไปเราเผชิญปัญหาหนัก อาจจะต้องมาปรึกษาคุณอีก ถึงตอนนั้นอย่าได้งกความรู้และช่วยแนะนำเราด้วยนะคะ”

จางเย่ตอบกลับอย่างช่วยไม่ได้ “แหม ผมไม่ใช่มืออาชีพนะ จะกล้าให้คำแนะนำคุณได้ยังไงล่ะ?”

ชายหนุ่มคนที่สามยิ้มเจื่อน “ถ้าอย่างคุณไม่ใช่มืออาชีพ งั้นในประเทศนี้ก็ไม่มีคนเป็นมืออาชีพสักคนแล้วล่ะ ผมเห็นสโลแกนรณรงค์ไม่ให้คนเหยียบหญ้าบนเวยป๋อคุณแล้วด้วย ถึงมันจะไม่สามารถนำมาใช้ได้จริง แต่คุณเขียนได้ดีมาก อีกอย่างความคิดสร้างสรรค์จากโฆษณาประหยัดไฟตัวนั้น ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างเลย ผมคิดว่าต่อไปมันจะต้องถูกบรรจุลงในหนังสือเรียนแน่ๆ คุณได้เปิดประตูใหม่ทางความคิดสร้างสรรค์ให้กับวงการนี้ สิ่งที่คุณทำมันสร้างประโยชน์อย่างมากมายเชียวล่ะ”

จางเย่โบกมือ “พวกคุณยอจนผมลอยหมดล่ะเนี่ย กล่าวเกินไปแล้วๆ”

หลังจากคนของแผนกโฆษณากล่าวขอบคุณเสร็จ ทุกคนก็กลับออกไป

เสี่ยวหลวี่ยกนิ้วโป้งให้จางเย่ “อาจารย์จางช่างสมเป็นอาจารย์จางโดยแท้ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเคยเห็นคนจากแผนกโฆษณามาขอคำแนะนำจากทีมจัดรายการเลยนะเนี่ย”

“เลิกแซวผมได้แล้วน่า” จางเย่กลับไปนั่งที่ของตน

“เฮ้ย พวกนายดูที่เวยป๋อสิ!” โหวเกอพลันตะโกนขึ้นเสียงดัง ทุกคนต่างตกใจจนสะดุ้งโหยง

“เวยป๋อ?”

“ให้ตายสิ นายทำฉันตกใจแทบแย่”

“มีอะไรบนเวยป๋อเหรอโหวเกอ?”

คนรอบตัวถามขึ้น

โหวเกอชี้ไปที่คอมพิวเตอร์ “ฉันเพิ่งกดติดตามอาจารย์จางน้อยบนเวยป๋อไปเมื่อวานนี้ แล้วก็เห็นแฟนๆ ของอาจารย์ตั้งหลายคน @สมาคมนักเขียนนครหลวง ต้องการช่วยอาจารย์จางน้อยให้ได้เข้าสมาคมนักเขียน แถมยังตั้งคำถามด้วยว่าทำไมสมาคมนักเขียนถึงไม่ยอมรับอาจารย์จางน้อยเข้าสมาคมเสียที กระแสนี้เริ่มคุกรุ่นมาหลายวันแล้วด้วย ดูสิตอนนี้เวยป๋อของสมาคมนักเขียนได้ตอบกลับมาแล้ว บอกว่าได้ส่งคำเชิญเข้าสมาคมให้อาจารย์จางแล้ว และตอนนี้กำลังทำการตรวจสอบรอบสุดท้ายอยู่ แถมสมาคมนักเขียนนครหลวงได้โพสต์คำเชิญไว้บนเวยป๋อด้วย ในคำเชิญมีชื่อกว่าสิบคนแน่ะ ชื่อของอาจารย์จางน้อยอยู่เป็นคนสุดท้ายเลย”

“ได้เข้าสมาคมนักเขียนก็ดีสิ ด้วยความสามารถของอาจารย์จาง น่าจะได้เข้าตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ ยังต้องมาตรวจสอบอะไรกันอีก? ไม่จำเป็นแล้ว ใครที่มีตาก็รู้ดีทั้งนั้นว่างานเขียนของอาจารย์จางสุดยอดแค่ไหน!” เสี่ยวหลวี่กล่าวอย่างไม่พอใจ

ถูกต้องแล้ว ถึงแม้ว่าเกณฑ์ของสมาคมนักเขียนในโลกนี้จะค่อนข้างเข้มงวดกว่าในโลกของจางเย่ มาตรฐานก็สูงกว่าเช่นกัน แต่ด้วยผลงานกลอน บทความ นิยายตลอดไปจนถึงนิทานของจางเย่ เงื่อนไขเหล่านั้นอาจจะยากสำหรับคนอื่นแต่ไม่ใช่กับจางเย่แน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น สมาคมนักเขียนนครหลวงเป็นเพียงสมาคมระดับมณฑล ทว่ากลับถ่วงเวลาเสียเนิ่นนานกว่าจะออกมาพูดว่าตั้งใจจะส่งคำเชิญอยู่แล้ว? ดูเหมือนว่างานนี้จะไม่ได้ตื้นเขินอย่างที่เห็นเสียแล้ว

“คำเชิญเหรอ?” จางเย่เริ่มกังวลกับบางอย่าง

“คำเชิญอะไรน่ะ?” ต้าเฟยถามบ้าง

โหวเกอไม่สามารถอธิบายได้ “ไอ้หยา ลองดูเองเลยสิ”

เมื่อจางเย่และคนอื่นๆ เปิดเวยป๋อถึงได้เข้าใจ!

งานแข่งขันกลอนคู่นครหลวงที่จัดขึ้นปีละครั้งจะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ สถานที่จัดงานคือหอประชุมที่เพิ่งตกแต่งใหม่ของมหาวิทยาลัยนครหลวง นี่เป็นการแข่งขันกลอนคู่ที่ยิ่งใหญ่มาก เป็นการร่วมมือจากหลายฝ่ายเช่น สมาคมกลอนคู่นครหลวง สมาคมนักเขียนนครหลวง และสมาคมอื่นๆ อีกมากมาย ทุกปีเหล่าผู้บริหารของสถานีวิทยุและโทรทัศน์ ผู้แทนจากกระทรวงศึกษาธิการแห่งนครหลวง สมาชิกจากสมาคมกลอนคู่และสมาชิกจากสมาคมนักเขียนจะได้รับเชิญให้มาเข้าร่วมการแข่งขันในฐานะแขกรับเชิญหรือผู้แข่งขันอีกด้วย

กลอนคู่คืออะไร?

เรียกง่ายๆ เลยก็คือการแต่งกลอนให้สองวรรคคู่กันนั่นเอง!

อาจจะเป็นกลอนสามคำ สี่คำ หรือห้าคำ หลากหลายรูปแบบ กฎเกณฑ์บังคับก็มากมาย กฎเหล่านี้ทั้งลึกซึ้งและเข้มงวด นี่เป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมของภาษาจีนโบราณและมีประวัติยาวนานกว่าพันปี

งานประพันธ์ของจีนแบบเก่าที่สืบทอดกันมาในโลกนี้ อาจจะด้อยกว่าพวกรายการบันเทิงต่างๆ ในด้านของความนิยม แต่หากเทียบกับโลกของจางเย่แล้วถือว่าเป็นที่นิยมกว่ามาก บทประพันธ์จีนยังได้รับความสนใจไม่น้อยทีเดียว ในโลกเก่าของจางเย่ ถึงแม้ว่าจะมีงานชุมนุมกวีหรือการแข่งกลอนคู่อยู่บ่อยครั้ง บางครั้งก็เป็นการแข่งระดับชาติที่จัดระหว่างหลายมณฑล แต่ขนาดของงานกลับเล็กมาก มันถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย บางครั้งจัดในห้องเรียนเก่าๆ ที่มีคนร่วมงานประมาณยี่สิบคนเท่านั้น หรือต่อให้เป็นการแข่งขันต่อกลอนระดับจังหวัดก็ไม่มีใครให้ความสนใจมากอยู่ดี อย่างไรก็ตาม โลกนี้กลับต่างออกไป มีคนให้ความสนใจกับงานนี้ไม่น้อย สถานที่จัดงานก็ใหญ่โตเช่นกัน โดยจัดขึ้นที่หอประชุมของมหาวิทยาลัยนครหลวง มีการถ่ายทอดสดออนไลน์ตลอดการแข่งขัน เรียกได้ว่ามันเป็นงานพบปะครั้งยิ่งใหญ่สำหรับผู้คนในวงการประพันธ์ของนครหลวงก็ว่าได้ อย่างน้อยก็มีเหล่ามืออาชีพมากมายให้ความสนใจกับงานนี้

อัสนีไพศาล?

เจิ้งอันปาง?

จางเย่กวาดสายตาที่เฉียบคมผ่านรายชื่อผู้ที่ได้รับเชิญให้เข้าแข่งขันเกือบร้อยคนก็เห็นชื่อที่คุ้นตาอยู่หลายชื่อ ใช่แล้ว คู่อริเก่าของเขานั่นเอง พวกคนจากสมาคมนักเขียนนครหลวงที่เคยพยายามเล่นงานจางเย่ที่สถานีวิทยุนครหลวง แต่กลับจบด้วยการโดนจางเย่ตอกหน้าไม่เหลือเสียงั้น!

ชายหนุ่มไม่รู้จักผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ที่เหลือเลย

หลายคนมาจากสมาคมกลอนคู่นครหลวง บ้างก็เป็นมือสมัครเล่นที่ได้รับเชิญ

จากนั้นจางเย่จึงเห็นว่าคนสุดท้ายที่ถูกเชิญให้เข้าร่วมงานคือตัวเขาเอง!

“แต่ฉันไม่ได้สมัครไว้นะ! ทำไมถึงถูกเชิญให้เข้าร่วมการแข่งได้ล่ะ?” จางเย่ขมวดคิ้ว คนพวกนี้เห็นฉันเป็นตัวอะไรวะ? ตอนที่พวกนายเมินเฉยฉัน พวกนายก็เลือกที่จะไม่มอง พอตอนนี้พวกนายสนใจฉัน ไม่ถามสักคำก็ใส่ชื่อฉันเข้าแข่งขันตามอำเภอใจ? นี่พวกนายยังรู้จักคำว่าให้เกียรติอยู่ไหม?

เสี่ยวหลวี่กล่าว “จะไปสนใจทำไม? คุณต้องไปนะ”

“ใช่แล้ว ลองไปดูก่อน แล้วค่อยตัดสินใจอีกทีตอนที่เวลามาถึงก็ได้ ว่าจะเข้าร่วมรึเปล่า” โหวเกอสนับสนุนชายหนุ่มเช่นกัน “นี่เป็นงานสำคัญของวงการนักประพันธ์เลยนะ ยิ่งใหญ่กว่างานชุมนุมบทกวีไหว้พระจันทร์ที่คุณเคยเข้าร่วมก่อนหน้านี้มากมาย ไม่ใช่ใครก็มีสิทธิ์ได้เข้าร่วมนะ ขนาดตั๋วเข้างานสำหรับคนดูทั่วไปยังหายากเลย” จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดต่อ “อาจารย์จางน้อย คุณต้องการสร้างชื่อเสียงไม่ใช่หรือ? นี่เป็นโอกาสของคุณเลยนะ งานนี้มีการถ่ายทอดสดทางอินเทอร์เน็ตตลอดงาน ถึงจะไม่มีคนดูมากนัก แต่ก็ไม่น้อยแหละ ถ้าสมมุติว่าคุณได้เข้าถึงรอบสุดท้ายล่ะก็ ชื่อเสียงของคุณต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน และถ้าชื่อเสียงคุณเพิ่มขึ้น มันจะยิ่งดีกับรายการใหม่ของพวกเราด้วยนะ”

พูดอีกก็ถูกอีก

แต่ปัญหาคือ...ตูแม่*ไม่รู้จักกลอนคู่เฟ้ย!

มันไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้เลย เพียงแต่เขารู้จักกลอนคู่จากโลกของเขาเท่านั้น กลอนคู่ของโลกนี้เป็นแบบไหน มีกฎเกณฑ์อะไรบ้าง เขาไม่รู้เลยแม้แต่นิดเดียว!

จางเย่พลันคิดอะไรบางอย่างออก เชี่*! พวกบ้าจากสมาคมนักเขียนนครหลวงนั่นคิดว่าเขาไม่รู้จักกลอนคู่ เลยจงใจใส่ชื่อเขาลงไปในคำเชิญตามใจชอบใช่ไหม? ครั้งที่แล้วในงานชุมนุมบทกวี พวกนั้นแพ้อย่างหมดท่า ทั้งสมาคมแพ้ให้กับจางเย่จนหมด คงจะไม่พอใจเลยอยากจะแก้แค้นสินะ? ตั้งใจจะใช้โอกาสนี้ที่เป็นงานประพันธ์ในสายที่จางเย่ไม่ถนัดมาฉีกหน้าเขาล่ะสิ? อยากให้เขาได้อายเพื่อกู้หน้าของตัวเองกลับคืนมาใช่ไหม?

ยิ่งคิดยิ่งเป็นไปได้แน่!

ด้วยนิสัยของรองประธานสมาคมนักเขียนนครหลวงเมิ่งตงกั๋วแล้ว มีอะไรที่พวกเขาไม่กล้าทำบ้าง!

กริ๊งๆๆ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

จางเย่กดรับสาย “สวัสดีครับ นี่ใครเหรอครับ?”

“อาจารย์จางเย่ใช่ไหมคะ?” เสียงหญิงวัยกลางคนพูด “ดิฉันเป็นเจ้าหน้าที่ของสมาคมกลอนคู่ ต้องการยืนยันเรื่องคำเชิญเข้าร่วมงานแข่งกลอนคู่ในวันพรุ่งนี้ คุณพอจะมีเวลาเข้าร่วมรึเปล่าคะ? ถ้าหากคุณจะเข้าร่วม ดิฉันจะแจ้งให้เพื่อนร่วมงานจากสมาคมนักเขียนนครหลวงพิมพ์บัตรเชิญเข้าร่วมงานสำหรับคุณให้ เพราะพวกเขาเป็นฝ่ายที่เสนอชื่อคุณ วันพรุ่งนี้คุณแค่ไปที่มหาวิทยาลัยนครหลวง แล้วคนจากสมาคมนักเขียนจะจัดการเรื่องทุกอย่างให้เอง”

จางเย่ลังเลสักพักก่อนจะบอกออกไป “ถ้างั้นก็รบกวนด้วยนะครับ”

เข้าร่วมก็เข้าร่วมไปเถอะ ยังไงก็ลองดูสถานการณ์ก่อน ถ้าหากสมาคมนักเขียนจงใจวางกับดัก หรือว่ากลอนคู่ของโลกนี้เป็นอะไรที่จางเย่ไม่รู้จักจริงๆ ถึงตอนนั้นก็แค่ถอนตัวจากการแข่ง ไม่จำเป็นต้องขายขี้หน้าตัวเอง แน่นอนว่าถ้าหากเขามีโอกาสได้อวดฝีมือ จางเย่ย่อมไม่ปล่อยโอกาสไปอย่างแน่นอน เป็นแค่คนดังระดับอียังไม่ทำให้ตัวเขาพอใจหรอกนะ เป้าหมายของเขาทั้งไกลทั้งสูงกว่านั้น ดังนั้นไม่ว่าอะไรที่จะสร้างชื่อเสียงให้เขาได้ เขาจะคว้าไว้ให้มั่น เขียนนิยาย? แต่งกลอน? เล่านิทาน? แต่งเรียงความ? ทำโฆษณา? แข่งกลอนคู่? เขาไม่เคยเลือกกิน! จะเปรี้ยวจะหวานจะฝาดจะเค็ม ตราบใดที่มาถึงปาก เขากล้ากินทั้งหมด!

ด้านนอก

หูเฟยกำลังแบกของเข้ามามากมาย

โหวเกอที่อยู่ใกล้ที่สุดรีบวิ่งเข้ามาช่วย “พี่หูผมช่วยเอง”

“ดีเลย ขอบใจมาก” หูเฟยส่งลังให้กับชายหนุ่ม มันเป็นข้อมูลและเอกสารสำหรับการทำงาน อย่างไรก็ตาม หลังจากที่โหวเกอรับมันไปแล้ว หูเฟยเอื้อมมือลงไปในกล่องและหยิบตั๋วไม่กี่ใบที่วางไว้ด้านบนสุดมาถือไว้ ก่อนพูดกับทุกคน “วันพรุ่งนี้ที่มหาวิทยาลัยนครหลวงจะมีการแข่งขันกลอนคู่ งานใหญ่มากด้วย สมาคมกลอนคู่ได้เชิญสถานีของเราไปลงพื้นที่เช่นกัน นี่เป็นตั๋วของแถวที่นั่งกลางๆ กว่าจะได้มาก็ยากพอตัวเลย ฉันคว้ามาได้ห้าใบ พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ พวกเราไปด้วยกันเถอะ”

“ห้าใบเหรอคะ?” เสียวหลวี่กล่างอย่างฉงน “ก็ขาดไปหนึ่งสิงั้น? พี่หูคะพวกเราทั้งหมดมีกันหกคนนะ”

หูเฟยชี้ไปที่จางเย่ “จางน้อยไม่จำเป็นต้องใช้ไม่ใช่เหรอ? ได้ยินมาว่าสมาคมนักเขียนนครหลวงเสนอชื่อจางน้อยให้เข้าร่วมการแข่ง ผู้เข้าแข่งขันทุกคนมีบัตรผ่านอยู่แล้ว เพราะงั้นไม่จำเป็นต้องใช้ตั๋วหรอก ใช่หรือเปล่าจางน้อย?”

จางเย่ผงกหัวตอบรับ “ใช่ครับ เมื่อกี้เพิ่งมีคนจากสมาคมกลอนคู่โทร. มาหาผมเอง”

เสียวหลวี่ดีใจมาก “อย่างนั้นก็เยี่ยมเลย พรุ่งนี้เราไปดูด้วยกันเถอะ ฉันอยู่บ้านก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว”

โหวตี้ดีดนิ้วก่อนบอก “ใช่แล้ว พรุ่งนี้พวกเราไปเชียร์อาจารย์จางน้อยกัน เราควรจะทำป้ายเชียร์ด้วยไหม? แบบว่า ‘อาจารย์จางเย่ พวกเรารักคุณ’ อะไรประมาณนี้? หรือแกล้งทำเป็นแฟนคลับของเขาดี? จะได้ทำให้อาจารย์จางน้อยดูเหมือนคนดัง มีแฟนเยอะแยะไง!”

ต้าเฟยปาดเหงื่อ “...นายนี่โคตรไร้สาระ”

โหวเกอตบไปที่หลังคอน้องชายเขาเช่นกัน “ระดับอาจารย์จางน้อยยังต้องมาทำเรื่องหลอกๆ แบบนั้นอยู่เหรอ? แฟนๆ เขามีมากมายจะตาย!”

ทุกคนพูดคุยหยอกล้อเล่นกันอย่างมีความสุข นี่เป็นเพราะพวกเขาว่างเกินไปนั่นเอง เริ่มงานใหม่มาได้หลายวันแล้ว แต่รายการยังไม่เริ่มต้นถ่ายทำ แผนรายการก็ยังไม่เสร็จเรียบร้อย ทุกคนต่างไม่มีอะไรให้ทำมากนัก ดังนั้นเมื่อมีอะไรที่น่าสนใจโผล่ขึ้นมา พวกเขาจึงกระตือรือร้นมาก ว่างงานจนอึดอัดวันแล้ววันเล่า มีอะไรให้ทำบ้างย่อมดีกว่าไม่มี!

-----------------------------------------------------------

หมายเหตุผู้แปล:

ในกลอนคู่ของจีนจะมีกฎโดยทั่วไปดังต่อไปนี้ (ข้อมูลจาก https://en.m.wikipedia.org/wiki/Couplet_(Chinese_poetry) )

ทั้งสองประโยคจะต้องมีจำนวนคำเท่ากัน

หมวดหมู่ของคำศัพท์แต่ละลำดับในทั้งสองวรรคจะต้องสอดคล้อง

ลำดับเสียงวรรณยุกต์ในหนึ่งวรรคจะต้องตรงข้ามกับในอีกวรรค โดยทั่วไปหมายถึงหากคำในวรรคหนึ่งเป็นเสียงสามัญ (平) คำที่คู่กันในอีกวรรคหนึ่งจะต้องเป็นเสียงวรรณยุกต์ (仄)

คำสุดท้ายของประโยคแรกควรจะเป็นเสียงวรรณยุกต์ ซึ่งจะบังคับให้คำสุดท้ายของประโยคที่สองเป็นเสียงสามัญ โดยปริยาย

ความหมายของทั้งสองประโยคต้องสัมพันธ์กัน แต่ละคู่ของคำต้องมีความหมายสอดคล้องกันด้วย

คำต้องมีความหมายตรงข้ามกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวคำสุดท้าย

-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*