webnovel

ครุฑาจอมราชันย์

ครุฑาจอมราชันย์เป็นนวนิยายแนวกำลังภายในแฟนตาซีอิงประวัติศาสตร์ไทยในช่วง พ.ศ.2470 คาบเกี่ยวไปถึงห้วงเวลาของสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเนื้อเรื่องจะเล่าถึงตัวเอกที่มีชื่อว่าธีรพล ชายชาวไทยเชื้อสายจีนผู้ได้รับอัตลักษณ์พลังสถิตรูปพญาครุฑนามว่าสุบรรณมาตั้งแต่กำเนิด ในวัยเด็กนั้นเขาได้ถูกไล่ล่าโดยกลุ่มองค์กรลึกลับซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็คือ พรรคภูติราชันย์ ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นพรรคผู้ร่วมก่อตั้งของภาคีซันเหอหรือที่ชาวไทยรู้จักกันในนามว่าอั้งยี่ที่ดำรงอยู่คู่กับสังคมไทยมากว่าหนึ่งร้อยสิบแปดปี แต่ด้วยความคิดจะตั้งตนเป็นเจ้าในแผ่นดินสยามจึงได้ถูกพรรคบัวมารมรกต หรืออีกหนึ่งพรรคก่อตั้งตลบหลังให้ความร่วมมืออย่างลับๆกับทางการ จนเป็นผลให้พรรคภูติราชันย์ถูกกวาดล้างไปจากแผ่นดินสยามในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 แต่ในเวลาต่อมา แม้ทางภาคีซันเหอจะคาดคิดว่าพรรคภูติราชันย์ได้หายสาบสูญไปสิ้นแล้วก็ตาม แต่เมฆผู้เป็นบิดาของธีรพลก็ได้ไปค้นพบหลักฐานของการดำรงอยู่ของพรรคภูติราชันย์เข้า จนส่งผลให้ทั้งตัวเขารวมไปถึงลี่ผู้เป็นภรรยาและธีรพลในวัยสี่ขวบถูกติดตามฆ่า จนในที่สุดเมฆและลี่ก็ถูกหนึ่งในขุนพลของอีกฝ่ายสังหารลง แต่สำหรับธีรพลที่ได้รับความช่วยเหลือจากทองใบเกลอคนสนิทของเมฆไว้นั้นก็สามารถหลบหนีมาใช้ชีวิตอย่างสงบได้ที่เวียงพิงค์ อีกกว่าสิบห้าปีถัดมา ธีรพลในวัยฉกรรจ์ที่ได้รับการฝึกฝนมวยไทยอย่างหนักจากทองใบก็ต้องพบกับเรื่องราวที่ทำให้เขาได้รู้จักกับพลังงานชีวิต พลังงานธาตุ และอัตลักษณ์พลัง จนนำไปสู่การค้นพบสุบรรณในที่สุดซึ่งก็ทำให้เขาได้พัฒนาฝีมือขึ้นตามลำดับขั้น ด้วยโชคชะตาที่ทำให้ชีวิตเขาต้องเข้าไปผัวพันกับภาคีซันเหอ องค์กรใต้ดินที่มีอิทธิพลสูงสุดในสยามประเทศ ธีรพลก็จึงได้เข้าไปอยู่ท่ามกลางการแข่งขันทางการค้าที่ผิดกฎหมาย และต้องต่อสู้กรุยทางเพื่อสร้างพรรคของตนให้มีอิทธิพลอำนาจสูงขึ้นในภาคีและตามล่าหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์การสังหารครอบครัวของเขา ในขณะเดียวกันเขาก็ได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับชะตากรรมของชีวิตผู้คนในพิภพสหัสดาราที่ซึ่งเป็นโลกคู่ขนานต่างมิติกับโลกมนุษย์ ที่ความโกลาหลได้บังเกิดขึ้นทั่วทุกแห่งหนอันสืบเนื่องมาจากพระราชาองค์ปัจจุบันได้สิ้นพระชนม์ลง จึงทำให้บรรดาเผ่ามนุษย์ที่เคยสมัครสมานสามัคคีกันได้แปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นแสวงหาอำนาจต้องการตั้งตนเป็นใหญ่ และที่สำคัญที่สุดเผ่าพันธุ์อสูรที่เคยถูกสยบอยู่กว่าสองพันปีก็ได้โอกาสอันดีเริ่มเคลื่อนไหวรุกรานอาณาจักรต่างๆอีกครึ่ง แต่ด้วยความช่วยเหลือจากผู้ที่ยังจงรักภักดีต่อราชวงศ์ทิตยะ ก็ทำให้ธีรพลได้พบกับแม่ทัพใหญ่อัศวเมธ ซึ่งในเวลาต่อมาก็ได้อ้อนวอนขอให้เขาช่วยเหลือตามหาองค์ชายราวินทร์ที่หายสาบสูญไปจากพิภพสหัสดารา ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วหลังจากธีรพลออกค้นหาอยู่ภายในโลกมนุษย์ได้สักระยะหนึ่งก็ได้พบกับองค์ชายราวินทร์และช่วยกันกำจัดพรรคภูติล้างวิญญาณซึ่งมีตัวการใหญ่ก็คือจอมเวทย์บุศัยยะ ผู้ที่แฝงตัวเข้ามายังโลกมนุษย์เพื่อเก็บเกี่ยวพลังงานธาตุจากอัตลักษณ์พลัง และที่สำคัญก็คือจอมเวทย์ผู้นี้เองเป็นผู้ที่สั่งการฆ่าครอบครัวของเขา เมื่อไม่มีจอมเวทย์บุศัยยะคอยบงการ พรรคภูติราชันย์จากที่จะสามารถล้มล้างภาคีซันเหอซึ่งเป็นศัตรูสำคัญลงได้และกำลังจะดำเนินแผนการยึดครองสยามประเทศ ก็ได้ถูกธีรพลซึ่งในขณะนั้นได้ขึ้นเป็นผู้นำภาคีพลิกสถานการณ์เข้าจัดการจนสามารถล้มจอมราชันย์ของพรรคลงได้ และทำลายแผนการอันชั่วร้ายของพรรคภูติราชันย์ทั้งหมด จากนั้นธีรพลก็ได้กลับไปยังพิภพสหัสดาราเพื่อช่วยเหลือองค์ชายราวินทร์ รวบรวมคนจากเผ่ามนุษย์ เผ่าปักษา เผ่านาคาและเผ่าสัตว์เทพเข้าต่อกรกับเผ่าอสูรที่จอมเวทย์บุศัยยะบงการอยู่ เพื่อขัดขวางการปลุกชีพจอมมารรามสูรที่เคยอาละวาดเมื่อราวสองพันปีก่อนลง ซึ่งด้วยพันธมิตรที่แข็งแกร่งและความเก่งกาจของธีรพลที่มีอัตลักษณ์พลังสถิตอยู่ด้วยกันถึงห้าตน ก็ทำให้เขาสามารถสังหารจอมเวทย์บุศัยยะผู้เป็นตัวการพรากชีวิตของบิดามารดาเขาลงได้และสามารถช่วยเหลือพิภพสหัสดาราไว้ได้ในที่สุด

Thanakorn_Pinchai · Fantasi
Peringkat tidak cukup
23 Chs

ตอนที่ 10 : พลังงานชีวิต

สำหรับในขั้นแรก "ว่างเปล่า" เป็นขั้นเริ่มต้นที่ดูเหมือนง่ายแต่แท้จริงแล้วเป็นกระบวนการที่ยากที่สุด เพราะผู้ฝึกจำเป็นที่จะต้องปล่อยวางจิตให้เข้าสู่สภาวะว่างเปล่าไม่ฟุ้งซ่านอย่างแท้จริง จนสามารถรับรู้ได้ถึงการไหลเวียนของพลังงานชีวิตภายในกายและพลังงานฟ้าดินที่หมุนเวียนอยู่โดยรอบ ซึ่งถ้าหากตั้งใจเกินไปจากแทนที่จะผ่อนคลายก็จะกลายเป็นฟุ้งซ่านจนสูญเสียสภาวะ แต่หากย่อหย่อนเกินไปจิตก็จะไม่ตั้งมั่นจนสูญเสียการรับรู้ในกระแสพลัง ดังนั้นผู้ฝึกจำเป็นที่จะต้องค้นหาจุดสมดุลทางจิตของตนให้ได้เสียก่อน การฝึกจึงจะก้าวข้ามพัฒนาสู่ระดับต่อไปได้

แต่ก็เพราะความแตกต่างที่คั้นแบ่งไว้ด้วยเส้นบางๆระหว่างมีกับไม่มีนี้เอง ก็ทำให้ธีรพลต้องฝึกฝนขั้นแรกนี้อยู่กว่าเป็นสัปดาห์ จึงพอที่จะสามารถค้นพบจุดสมดุลที่ทำให้เขาสามารถรับรู้ถึงกระแสพลังงานได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่สภาวะดังกล่าวก็ยังอยู่ในขอบเขตจำกัดได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น

ด้านทองใบที่รู้อยู่แล้วว่าในขั้นตอนการฝึกนี้ไม่อาจตะบี้ตะบันฝึกฝนจนมากไป เพราะรังแต่จะเป็นผลเสียทำให้จิตตึงเครียดสะสม จนทำให้อาจถึงขั้นถอดใจล้มเลิกความคิดฝึกฝนเลยก็เป็นได้ ดังนั้นเขาจึงบอกให้ธีรพลหยุดการฝึกจิตไว้ชั่วคราวแล้วหันมาฝึกฝนกระบวนท่าที่เขาตั้งใจจะถ่ายทอดให้

สำหรับเรื่องเชิงหมัดเชิงมวย เนื่องด้วยธีรพลฝึกฝนพื้นฐานมาตั้งแต่เด็กจึงทำให้การเรียนรู้กระบวนท่าใหม่เป็นไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งพรสวรรค์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดก็มีมิใช่น้อย เมื่อผ่านการแนะแนวชี้นำจากทองใบเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้ธีรพลสามารถเกาะกุมเคล็ดลับ เหลี่ยมมุมที่จะทำให้ใช้ท่ารุกทั้งสามออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

เนื่องจากธีรพลเผลอไผลจิตใจมุ่งมั่นอยู่แต่มรรคาวิชาบู๊ จนทำให้เกือบลืมเลือนวันเวลานัดที่ให้ไว้กับนวลว่าจะไปไหว้พระเนื่องในวันมาฆบูชา กันที่วัดพระธาตุดอยสุเทพด้วยกัน พอเมื่อตอนคิดขึ้นได้นั้นก็จึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้านุ่งชุดขาวและบังคับเกวียนเข้าเมืองไปในทันที

วัดพระธาตุดอยสุเทพ เป็นวัดเก่าแก่ของนครเวียงพิงค์ มีอายุราวห้าร้อยกว่าปี ตัววัดตั้งอยู่บนยอดเขาสุเทพ หนึ่งในภูเขาสูงสลับซับซ้อนในแนวเทือกเขาถนนธงชัยที่ทอดเป็นแนวยาวจากเหนือลงใต้ทางฝั่งตะวันตกของภูมิภาค โดยวัดถูกสร้างขึ้นในสมัยพญากือนาหรือพญาธรรมิกราช กษัตริย์ผู้ปกครองอาณาจักรล้านนา องค์ที่หก ซึ่งใต้ฐานเจดีย์สีเหลืองทองอร่ามทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสสูงสิบสองวาองค์นี้ เป็นที่ประดิษฐานไว้ซึ่งพระบรมสารีริกธาตุ สิ่งศักดิ์สิทธิคู่บ้านคู่เมืองที่ชาวเวียงพิงค์ให้ความเคารพสักการะมาอย่างช้านาน

หลังจากไหว้พระธาตุของพรกันแล้วเสร็จ ธีรพลและนวลก็พากันเดินออกมายังระเบียงฝั่งทิศใต้เพื่อชื่นชมทัศนียภาพอันเขียวชอุ่มกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาด้วยกัน และทางเบื้องขวาที่ไม่ไกลไปนัก ยังมีแม่น้ำปิงที่ยาวขดเขี้ยวดั่งงูยักษ์ไหลผ่านตัวเมืองอันเจริญรุ่งเรือง และกำแพงเวียงอารยธรรมโบราณที่สืบทอดมาจากอาณาจักรล้านนาให้เห็นอยู่รำไร

"งดงามจริงๆ" ธีรพลรำพันขึ้น

"ใช่ งดงามมาก" นวลตอบรับพร้อมกับสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด

"หมายถึงนวลนะ" ธีรพลกระเซ้าอย่างซุกซน

"คนบ้า"

นวลในยามปกติว่างดงามแล้ว แต่ในยามที่ขวยเขินเอียงอายกลับงดงามผุดผาดเสียยิ่งกว่า ยิ่งในตอนที่แย้มยิ้มชม้ายชายตามองแต่พองามก็ยิ่งทำให้ใจชายที่ได้พบเห็นพลันใจสั่นระรัวหลงใหลในเสน่ห์ที่ยากเกินจะทอดถอนใจ ซึ่งหากจะเปรียบให้เป็นเทพธิดาในแดนดินก็ไม่ผิดเพี้ยนแต่อย่างใด

"ไม่ทราบว่า แม่หญิง มีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร?" เสียงชายผู้หนึ่งพลันเอ่ยสำบัดสำนวนถามอย่างอ่อนหวานขึ้น

และในอีกเพียงชั่วอึดใจให้หลัง ร่างของชายรูปร่างเล็กสวมใส่ชุดสูทในแบบตะวันตกก็ปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับถอดหมวกโค้งคำนับอย่างสุภาพ และยื่นมือออกทำท่าจะดึงมือของนวลข้างหนึ่งขึ้นมาเกาะกุมไว้

เมื่อเห็นดังนั้น ธีรพลก็พลันคว้าหมับเข้าที่ข้อแขนของอีกฝ่ายเพื่อยับยั้งการกระทำที่ไม่สมควรดังกล่าวไว้ เพราะแม้จะเป็นการทักทายที่เหมาะสมตามธรรมเนียมของฝรั่งก็ตาม แต่สำหรับคนไทยแล้วการกระทำแบบนี้ถือว่าไม่ให้เกียรติผู้หญิง

"โอ๊ย! โอ๊ย! โอ๊ย!"

ทั้งๆที่ธีรพลเพียงกำข้อแขนไว้เพียงพอกระชับ ไม่ได้บีบคั้นส่งกำลังออกแต่อย่างใด แต่อีกฝ่ายกลับใจปลาซิวร่ำร้องโหยหวนราวกับโดนมีดทิ่มแทงก็มิปาน

"คุณเล็ก"

พร้อมๆกับเสียงร้องของเจ้านาย องครักษ์ผู้ติดตามทั้งสองเมื่อเห็นผู้เป็นนายหน้าตาเหยเกเจ็บปวดสุดทานทน ก็พลันปรี่เข้าหาธีรพลหมายสยบอีกฝ่ายในทันที

"หยุดเดี๋ยวนี้ ที่นี่เป็นวัด จะมาทำตัวรุ่มร่ามหรือเป็นอันธพาลไม่ได้"

นวลที่ก็โกรธจัดในความประพฤติที่ไม่เหมาะสมของอีกฝ่าย อีกทั้งเห็นสถานการณ์ทางธีรพลที่ดูท่าไม่สู้ดีนัก ด้วยไวพริบจึงชิงกล่าวด้วยเสียงอันดังจนทำให้ทุกคนในบริเวณหันมาให้ความสนใจ

"ทุกท่าน เป็นการเข้าใจผิดกันทั้งสิ้น ไม่มีอะไรทั้งนั้น" ชายที่ลูกน้องเรียกหาว่า "คุณเล็ก" เมื่อเห็นฝ่ายตนเริ่มเป็นฝ่ายเสียเปรียบก็พลันสะบัดมือหลุดพ้นจากพันธนาการของธีรพล พลางเอ่ยแก้ลำโบกไม้โบกมือแสดงสัญลักษณ์ทางกาย แสร้งยิ้มออกอย่างเบิกบาน

"ต้องขออภัยแม่หญิงและน้องท่านนี้ด้วย เราไม่ได้ตั้งใจจริงๆ" เล็กหันมาเอ่ยเสียงเย็นขึ้นอีกครั้ง แต่ลดสุ่มเสียงลงให้ได้ยินเฉพาะในวง

"ในเมื่อเป็นเรื่องเข้าใจผิด ก็แล้วกันไปเถอะ"

แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายเสแสร้งแกล้งดัดขึ้น แต่ภายนอกนวลก็ยังยิ้มรับและชิงดึงตัวธีรพลออกจากจุดเกิดเหตุ จนสามารถหลีกหนีออกไปจนลับตา

"ไม่เคยมีใครทำให้เราเสื่อมเสียหน้าแบบนี้" ราวกับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทันทีที่เล็กหันหลังให้กับทุกคน เขาก็พลันกัดฟันกรอดบ่นพึมพำ ทุบราวระเบียงลงด้วยความโกรธแค้น

"ดูจากการแต่งตัว คงเป็นคุณหนูคุณชายที่มาจากพระนครเป็นแน่" ธีรพลเอ่ยขึ้นในขณะที่บังคับเกวียนลงจากเขานำส่งนวลกลับบ้านไป

"คงจะไม่ผิด ไม่รู้ว่าหญิงสาวในพระนครเมื่อแรกพบก็ยินยอมให้จับมือถือแขนกันหรือไร เหตุใดทั้งที่ยังไม่เคยรู้จักหน้าคร่าตากัน กลับถึงขั้นกล้ามาแตะเนื้อต้องตัว" นวลบ่นอุบ

สำหรับปัญหาในหัวข้อนี้ ธีรพลซึ่งไม่เคยได้สัมผัสชีวิตในเมืองหลวงมาก่อน ก็จึงหมดปัญญาที่จะให้ความกระจ่าง ดังนั้นจึงทำได้แต่พยักหน้ารับ เป็นผู้ฟังที่ดี แล้วจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไป

"ดีที่นวลช่วยแก้ไขเหตุการณ์ไว้ได้ทัน เพราะดูชายลูกน้องทั้งสองคนนั้นน่าจะมีฝีมือไม่เบา หากเกิดต่อยตีกันขึ้นมา เดาไม่ออกเลยว่าใครจะอยู่ใครจะไป" ธีรพลเอ่ยขึ้นพร้อมกับจมอยู่ในภวังค์นึกคิดวิเคราะห์ระดับฝีมือของอีกฝ่ายจากความทรงจำ

โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อน ธีรพลในตอนนี้หลังจากผ่านการฝึกฝนพื้นฐานการตระหนักรู้ถึงพลังงานรอบกายมาแล้ว ทำให้เขามีสัมผัสที่ว่องไวขึ้นในเรื่องการจับกระแสการเปลี่ยนแปลงของระดับพลังงานภายนอก หากจะพูดง่ายๆก็คือแม้จะยังไม่ถึงขั้นสามารถควบคุมพลังงานชีวิตได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่เมื่อพบเข้ากับสถานการณ์คับขันดั่งเช่นเมื่อครู่นี้ เขาก็จะสามารถรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในขอบเขตอย่างละเอียด อีกทั้งยังมีปฏิกิริยาที่ว่องไวเพียงพอกับการรับเหตุเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันได้อีกด้วย

บรื้น!

เสียงเครื่องยนต์คำรามดังกระหึ่มปลุกธีรพลให้ตื่นขึ้นจากห้วงความคิด ตามติดกันนั้น รถยุโรปคันโตหลังจากปรากฏกายขึ้นได้ไม่นานก็พลันไล่จี้เกวียนของธีรพลเข้ามาในระยะสองวา

แต่ขณะที่ธีรพลจะบังคับเกวียนเบี่ยงซ้ายหลบเข้าข้างทางตามสัญชาตญาณ รถยุโรปคนดังกล่าวก็กลับเร่งเครื่องเบียดเสียดเข้ามาทางฝั่งซ้ายของเกวียน ก่อนจะบีบแตรเสียงดัง จนทำให้วัวคู่ใจที่อยู่ข้างดังกล่าวตกใจพลันแล่นกระชากเกวียนจนแทนที่จะเข้าซ้ายกลายเป็นพุ่งลากออกขวาตรงเข้าหาไหล่เขาสูงอย่างรวดเร็ว

"ไอ้ฆ้อง หยุด!"

เสียงธีรพลร้องตวาดสุดเสียงเรียกสติวัวคู่ใจให้หยุดวิ่งกระโจนอย่างเสียสติ รับฟังคำสั่งจากเขาผู้เป็นนาย

แม้วัวพาหนะจะปฏิบัติตามคำสั่งของธีรพลอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องด้วยหนทางอยู่ระหว่างทางลงเขาลาดชัน การหยุดยั้งสภาวะของเกวียนไม้ที่มีน้ำหนักมากจึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ขาวัวทั้งสี่ข้างจึงทำได้เพียงครูดดินลากไถลไปพร้อมกับเกวียน หมดปัญญาจะควบคุมบังคับได้ดั่งใจ

เกวียนลื่นไถลไปบนพื้นถนนจนเหลืออีกเพียงวาเศษเท่านั้นก็จะตกเขา แน่นอนว่าหากเคลื่อนต่อไปในลักษณะนี้ เกวียนทั้งคันจะต้องหลุดถนนล่วงหล่นไปยังเบื้องล่าง โอกาสรอดชีวิตทั้งขบวนแทบเป็นไปไม่ได้

ยามขับคันจวนเจียน จิตใจที่ควรร้อนรุ่มกลับเยือกเย็นจนผิดธรรมดา ธีรพลเมื่อทราบว่าวัวคู่ใจไม่สามารถตั้งตัวเบี่ยงเลี้ยวให้รอดพ้นวิกฤตได้ ตัวเขาจึงผละจากสายจูง กระโดดลงจากเกวียนและเหนี่ยวรั้งกระชากเชือกล่ามคอไอ้ฆ้องที่ติดไว้กับแอกอย่างแรง

สำหรับสายตาคนนอกหากอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ การกระทำที่ธีรพลทำอยู่นั้นไม่ต่างอะไรจากการรนหาที่ตาย การตัดใจละทิ้งเกวียนรักษาชีวิตต่างหากที่เป็นหนทางที่ประเสริฐสุด แต่สำหรับธีรพลกลับมีความรู้สึกมั่นใจอยู่ลึกๆว่าเขาสามารถกระทำได้ ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ทราบว่าไปได้ความมั่นใจนี้มาจากที่ใด

ทันทีที่ออกแรงดึงภายในกายเขาก็เริ่มรู้สึกปั่นป่วนขึ้นมา คลื่นความร้อนจากท้องน้อยพลันแผ่กระจายออกราวน้ำป่าไหลหลากผ่านเส้นลมปราณภายในร่าง หมุนเวียนวนทั่วร่างเร็วรี่ ทำให้จากวัวและเกวียนที่เคยหนักอึ้งราวหินก้อนยักษ์กลับเบาลงอย่างน่าอัศจรรย์

ครืด!

ราวกับมีมืออันทรงพลังตบเกวียนให้เคลื่อนกลับเข้าสู่ถนน ธีรพลน้าวดึงวัวและเกวียนที่อยู่ติดกันจนสามารถเคลื่อนเบี่ยงหลบรอดจากการตกเขามาได้อย่างปาฏิหาริย์

ฟู่ว!

ธีรพลผ่อนลมหายใจห้วงใหญ่อย่างโล่งอก ก่อนจะหันไปดูรถคันต้นเหตุที่กำลังเคลื่อนตัวออก หลังจอดติดตามดูผลงานอย่างเลือดเย็น

"ถึงขั้นจะฆ่ากันเชียวหรือ" ธีรพลส่ายหน้าบ่นพึมพำอย่างโกรธแค้น พลางจดจำรูปลักษณ์ของรถคันดังกล่าวไว้ ก่อนจะหันมาตรวจดูสวัสดิภาพของนวลที่ยังคงนั่งยึดเกวียนไว้แน่นด้วยความตกใจ

"นวลปลอดภัยดีใช่หรือไหม?"

ธีรพลกระโดดขึ้นเกวียนรีบเข้าไปมองซ้ายดูขวาตรวจสอบอาการบาดเจ็บของนวลดูอย่างละเอียด

"ไม่ ไม่เป็นไร" นวลที่ยังคงอยู่ในอาการตกใจ ตอบกลับอย่างตะกุกตะกัก

แม้ฝ่ายหญิงจะไม่ได้บาดเจ็บรุนแรงอะไร แต่เหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างบาดแผลแห่งความหวาดกลัวไว้ภายในจิตใจเธอมิใช่น้อย ดังนั้นธีรพลจึงนั่งปลอบใจเธออยู่ครู่ใหญ่จนสามารถคืนสติตั้งมั่นดีแล้ว จึงบังคับเกวียนนำพาเธอกลับบ้าน

หลังการเดินทางที่ราบเรียบเงียบสงบ ในที่สุดธีรพลก็นำนวลกลับมาส่งบ้านโดยไม่มีเหตุแทรกซ้อนใดๆเข้ารบกวนอีก และแน่นอนว่ารถยุโรปคันโตนั้นก็หายจากไปอย่างไร้ร่องรอยด้วยเช่นกัน แม้จะเจ็บใจที่ไม่สามารถเห็นถนัดชัดตาว่าใครที่อยู่เบื้องหลัง แต่เขาก็มั่นใจว่าหากพบเห็นอีกรอบต้องจดจำได้ในทันที อีกทั้งรถยุโรปที่วิ่งบนท้องถนนก็มีนับคันได้ จึงไม่น่ายากที่จะพบพาน