ยามเว่ยของวันต่อมา หลงอี้หลิงก็ได้มารับฟ่งหลันหลั่นจากเรือนหลงหลิงและพานางเดินทางเข้าวังหลวงด้วยกัน
ในขณะที่ทั้งสองนั่งอยู่บนรถม้า สตรีน้อยกลับเอาแต่ทำหน้าเซ็ง ดูหมดอารมณ์ไปตลอดเส้นทาง
หลงอี้หลิงมองหน้าสาวใช้อยู่นาน ซึ่งเจ้าตัวกำลังนั่งหันข้างให้ เขาจึงถามนางขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
"มีใครทำอะไรขัดใจมางั้นหรือ เจ้าถึงได้นั่งทำหน้าตาไร้อารมณ์ตั้งแต่ขึ้นรถม้าแล้ว แถมเบ้าตาก็คล้ำดำเหมือนคนอดหลับอดนอนมาค่อนข้ามคืน"
ฟ่งหลันหลั่นไม่ตอบ นางคงทำหน้าบูดบึ้งไม่สบอารมณ์เช่นเดิม แถมยังสะบัดหน้าเบือนหนีไปทางด้านข้างอย่างขุ่นเคือง นางได้พ่นลมออกมาทางปลายจมูกเล็กน้อย และบ่นพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
"ฮึ! ยังจะมีหน้ามาถามข้าอีก ก็ใครกันล่ะที่ส่งลูกน้องคนสนิทของตัวเอง มานั่งเฝ้าอยู่ข้างกำแพงด้านนอกของเรือนสกุลหลงตลอดทั้งคืนจนถึงเช้า จนพานทำให้แผนของข้าพังไม่เป็นท่า"
และในหัวของนางพลางคิดถึงเรื่องเมื่อคืนที่ผ่านมา
แป๊ก! แป๊ก!
"ยามจื่อแล้ว[1]...ห้ามผู้ใดออกนอกเรือน ก่อนเข้านอนระวังฟืนไฟ"
เสียงเคาะไม้สองทีดังขึ้นและตามมาด้วยเสียงร้องบอกเวลาของบุรุษผู้ที่กำลังทำหน้าที่ของเขาได้ดังขึ้นไปทั่วท้องถนนไม่แรงมากนัก แต่ด้วยเพราะความเงียบสงัดของค่ำคืนทำให้เสียงก้องได้ยินไปหลายหลังคาเรือน
ฟ่งหลันหลั่นผู้ที่เตรียมการและนั่งรอเวลาอยู่ในเรือนพักของตัวเองนานแล้ว พอได้ยินเสียงคนร้องเดินบอกเวลาดังลอดเข้ามา นางก็ลุกขึ้นยืนอย่าง ขึงขังเพื่อจะแอบหนีออกไปข้างนอกเรือนสกุลหลง ตามที่ได้ตั้งใจไว้ตั้งแต่เมื่อตอนกลางวัน
แต่จังหวะที่สตรีน้อยกำลังจะกระโดดลงจากหลังกำแพงไปอีกฝั่งทางถนนด้านข้างของเรือนสกุลหลง นางก็แทบจะชะงักร่างกายของเองไว้แทบไม่ทัน
เมื่อพบว่านายกองร่างท้วมยืนกอดดาบประจำตัวของเขาและเอาแผ่นหลังหนาพิงเข้ากับกำแพงของเรือนสกุลหลง เหมือนกำลังดักรอใครบางคนอยู่ตรงนั้น
[1] ยามจื่อ (子:zǐ) คือ 23.00 - 24.59 น.
สตรีน้อยจึงจำต้องถอยร่นกลับห้องพักของตนไปก่อน และชั่วยามต่อมา นางก็ได้พยายามอีกครั้ง แต่ก็ยังพบว่าเข่อลั่ว นายกองหนุ่มร่างท้วมยังคงยืนอยู่ในท่าเดิม
และแม้ว่าเขาจะเผลองีบหลับไปบ้าง แต่สตรีน้อยก็ไม่อยากเสี่ยงหนีออกไปเยี่ยงนี้ เพราะขืนหากโดนแม่ทัพหนุ่มจับได้ ไม่รู้ว่านางจะถูกเขาลงโทษอย่างไรอีก
สุดท้ายแล้ว คนที่คิดจะแอบหนีออกไปนอกเรือนในยามวิกาลก็ต้องถอดใจอย่างไม่มีทางเลี่ยง
ด้านหลงอี้หลิงซึ่งนั่งมองดวงหน้างามไม่ละสายตา เขาก็สังเกตเห็นอากัปกิริยาของสาวใช้คนโปรดปราน แทนที่เจ้าตัวจะเคืองโกรธ แต่กลับเผยยิ้มอ่อนขึ้นมาบนใบหน้าอันหล่อเหลาอย่างพึงพอใจ เหมือนจะเดาออกว่า เหตุใดนางถึงได้แสดงท่าทีกระฟัดกระเฟียดไม่พอใจใส่ตน
ไม่นานรถม้าของแม่ทัพหนุ่มก็วิ่งผ่านประตูใหญ่และเคลื่อนตัวเข้ามาสู่เขตพระราชฐานชั้นในของวังหลวง โดยตลอดเส้นทางมีกำแพงสูงหลายสิบจั้งหรือเป็นร้อยจั้ง[1] ตั้งตระหง่านดำถมึงทึงขนาบทั้งสองข้าง และไม่อาจจะประมาณความสูงของกำแพงนี้ด้วยสายตาได้เลย
[1] 1 ลี้ (里) = 150 จั้ง (丈) = 500 เมตร (米)
เวลาผ่านไปราวเกือบสองเค่อ รถม้าของแม่ทัพหนุ่มก็มาหยุดอยู่ตรงบริเวณหน้าประตูใหญ่อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งอาณาเขตนี้น่าจะเป็นส่วนของพระราชฐานเขตใน เพราะสังเกตได้จากมีทหารองครักษ์และทหารมหาดเล็ก ยืนคุ้มกันอยู่ตรงหน้าประตูอย่างหนาแน่น
ในขณะที่แม่ทัพหนุ่มลุกขึ้นจากที่เบาะนั่งและเดินนำหน้าลงจากรถม้าไป โดยมีฟ่งหลันหลั่นเดินตามหลังเขามาติด ๆ แต่แล้วจู่ ๆ นางก็มีอาการผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้น
ร่างอรชรเดินเซไปทางด้านข้างเล็กน้อยจนเกือบจะตกลงมาจากรถม้า ลักษณะของนางดูคล้ายกับคนที่มีอาการหน้ามืดหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ
แม่ทัพหนุ่มซึ่งยืนรออยู่ด้านล่างเห็นเช่นนั้นก็รีบโผเข้าไปประคองสตรีน้อยและเอ่ยถามขึ้นอย่างห่วงใย
"เป็นอะไรไป หรือว่าเจ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหน"
ฟ่งหลันหลั่นยกมือข้างหนึ่งขึ้นมากุมขมับของตัวเอง แข้งขาก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรงเอาดื้อ ๆ จนตัวเซไปซบลงบนหน้าอกกำยำแข็งแรงของแม่ทัพหนุ่ม
"ข้ารู้สึกหน้ามืดขึ้นมากะทันหัน แข้งขาก็ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเอาเสียเลย สงสัยว่าข้าคงจะติดตามท่านเข้าไปด้านในไม่ได้เสียแล้ว" น้ำเสียงหวานดังขึ้นลอย ๆ ถ้อยคำฟังดูไม่ค่อยหนักแน่นเหมือนคนไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงจริง ๆ
แม่ทัพหนุ่มได้ฟังเช่นนั้น ก็นึกถึงรายงานที่ได้รับจากเข่อลั่วมาเมื่อ ตอนเช้า ว่าในคืนที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นบ้างระหว่างที่ลูกน้องของเขาไปดักเฝ้าไม่ให้สตรีน้อยผู้นี้แอบหนีออกนอกเรือนสกุลหลงในยามวิกาล เขาจึงเชื่อว่านางอาจจะไม่สบายจริง ๆ
"กลางค่ำคืนใครใช้ให้เจ้าไม่ยอมหลับยอมนอนกันเล่า ร่างกายถึงได้หมดเรี่ยวแรงเอาเช่นนี้ไง ช่างเถอะ! เจ้ารอข้าอยู่ที่รถม้านี้ก็แล้วกัน แต่ห้ามเดินเพ่นพ่านไปไหนเด็ดขาด จำไว้ว่าตอนนี้เจ้าเป็นเพียงสาวใช้ของเรือนหลงหลิง มิใช่ผู้ใดที่เจ้าเคยเป็นในครั้งอดีต"
แม่ทัพหนุ่มได้ย้ำคำต่อสตรีน้อยอย่างหนักแน่น แม้เขาจะเชื่อว่านางอาจจะไม่สบายจริง ๆ แต่ก็ยังรู้สึกไม่วางใจทั้งหมดเสียทีเดียว เพราะเด็กคนนี้มีเบื้องหลังและมีอดีตที่ซับซ้อนยากยิ่งจะอธิบายได้ อีกทั้งยังกลัวว่านางจะบุ่มบ่ามทำอะไรไม่ทันยั้งคิด จนความลับที่เก็บซ่อนอยู่อาจถูกเปิดเผยได้นั่นเอง
ฟ่งหลันหลั่นพยักหน้าหงึก ๆ รับคำอย่างว่าง่าย ช่างผิดจากนิสัยปกติของนางยิ่งนัก
"อื้ม! ท่านรีบไปเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้เถิด ไม่ต้องห่วงทางนี้ ข้ารับปากว่าจะนั่งรอท่านนิ่ง ๆ ไม่ไปไหนทั้งนั้น"
รอยยิ้มแยบยลของสตรีน้อยที่เผยขึ้นมาบนดวงหน้างาม มันช่างยากที่จะทำให้แม่ทัพหนุ่มเดินจากไปอย่างไร้กังวลได้เลย
แต่คนที่กำลังรออยู่ในขณะนี้ ก็มิอาจจะปล่อยให้รอนานได้ หลงอี้หลิงจึงจำต้องตัดใจ เขาจึงเดินผ่านทหารองครักษ์และทหารมหาดเล็ก และผ่านประตูใหญ่นั้นเข้าไปโดยทิ้งให้สาวใช้ของตนอยู่รอที่รถม้าตามลำพังกับคนขับรถม้าอย่างไม่มีทางเลือก
ฟ่งหลันหลั่นมองตามหลังของหลงอี้หลิงที่กำลังเดินมุ่งหน้าเข้าสู่เขตพระราชฐานชั้นในจนลับตาแล้ว นางก็หันซ้ายแลขวา เหมือนกำลังมองหาสิ่งใด
และเพลาต่อมา แผนการของสตรีน้อยก็ได้เริ่มต้นขึ้น
สาวใช้ของแม่ทัพหนุ่ม รอจังหวะที่เหล่าทหารตรงด้านหน้าประตูใหญ่เผอเรอ นางก็ได้อาศัยช่วงเวลานี้แอบเดินเลี่ยงออกไปจากจุดตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
พระตำหนักส่วนพระองค์ของฮ่องเต้
อีกฟากฝั่งของประตูบานไม้แกะสลักใหญ่ ภายในพระตำหนักหลังนี้ช่างดูกว้างโถงโอ่อ่า มีเครื่องทองและเครื่องราชบรรณาการมากมาย รวมไปถึงถ้วยโถโอชาและแจกันใบใหญ่ถูกตั้งตกแต่งประดับประดาไว้ในห้อง
ตรงกลางของห้องมีการสร้างแผนภูมิแบบจำลองของเมืองต่าง ๆ รวมไปถึงภูเขาและแม่น้ำ แต่ปกติแล้วแบบจำลองของเมืองเช่นนี้ มักจะตั้งอยู่ในสถานที่ทำงานของกองทัพหรือหน่วยงานฝ่ายวางผังเมืองมากกว่า
"ฝ่าบาท ท่านแม่ทัพหลงมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ" เฉากงกงได้กล่าวถวายรายงานต่อองค์ฮ่องเต้ ถึงการมาเยือนของแม่ทัพหนุ่ม
ฮ่องเต้ผู้ทรงศักดิ์ในวัยกลางคน กำลังนั่งจับด้ามพู่กันตวัดไปมาเพื่อวาดร่ายตัวอักษรอยู่ตรงโต๊ะทำงานตัวใหญ่
ซึ่งโต๊ะตัวนั้นตั้งเด่นถัดเข้าไปทางด้านในห้องใกล้กับผนังผืนใหญ่ที่มีภาพวาดมังกรสีทองท่วงท่าอหังการตัวใหญ่ผงาดอยู่อย่างสง่างาม
"มาถึงเร็วกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก...ไปพาเขาเข้ามาเถอะ ดูท่าแล้ว เขาคงกำลังร้อนใจมากโขอยู่"
น้ำเสียงเข้มสุขุมทรงพลังและแฝงไว้ซึ่งอำนาจขององค์ฮ่องเต้ดังลอดผ่านประตูออกไปถึงด้านนอกให้ได้ยินเลยทีเดียว
"พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท" เฉากงกงรับคำเสร็จเขาก็เดินกลับออกไป
ครู่ต่อมา เฉากงกงก็เดินนำหน้าแม่ทัพหนุ่มกลับเข้ามาในพระตำหนักอีกครั้งด้วยท่วงท่าสงบ
"ข้าน้อยหลงอี้หลิง...ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ขอทรงมีพระชนม์มายุยืนหมื่นปี หมื่น หมื่นปี" หลงอี้หลิงนั่งคุกเข่าลงบนพื้นเพื่อกล่าวถวายบังคมต่อฮ่องเต้อย่างนอบน้อม
"แม่ทัพหลงลุกขึ้นเถิด ระหว่างพวกเราไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองอะไรให้มากความ อีกอย่างตอนนี้ในใจของท่านคงจะกำลังร้อนรุ่มเกี่ยวกับสารที่ข้าฝากท่านกงกงไปให้เมื่อวานสินะ"
"ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ" แม่ทัพขานรับอย่างนอบน้อมและลุกขึ้นยืนตามรับสั่งขององค์ฮ่องเต้
หลังจากนั้นการสนทนาระหว่างประมุขของประเทศและแม่ทัพผู้เกรียงไกรมากความสามารถของแคว้นก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเคร่งเครียด
สลับกลับมาทางด้านฟ่งหลันหลั่น ตอนนี้นางได้แอบเข้ามาในเขตพระราชฐานชั้นในเรียบร้อยแล้ว โดยอาศัยความทรงจำอันเลือนรางคราวในอดีตในฐานะองค์อวี้หลัน
พระตำหนักเย็น
สตรีน้อยได้มุดออกมาจากช่องลอดเล็ก ๆ ด้านข้างกำแพงของพระตำหนัก ซึ่งดูจากลักษณะแล้วน่าจะเป็นช่องของสุนัขเอาไว้ใช้ผ่านเข้าออก
ตรงด้านหน้ามีโขดหินก้อนใหญ่ตั้งบังอยู่ และบริเวณที่นางโผล่ออกมาคือสวนด้านหลังของพระตำหนักเย็น
สตรีน้อยปัดฝุ่นที่เปื้อนเปรอะออกจากอาภรณ์ของตนเสร็จ นางก็เงยหน้าขึ้นมองดูพระตำหนักตรงหน้า ดวงตากลมโตเกิดมีน้ำตาคลอเบ้าขึ้นมาอย่างทันใด
สภาพของพระตำหนักที่เคยรุ่งโรจน์สวยงาม และเคยเต็มไปด้วยข้าราชบริพารและธารกำนัลมากมายเดินขวักไขว่ไปมา บัดนี้กลายเป็นเพียงพระตำหนักรกร้าง มีต้นหญ้าขึ้นปกคลุมสูงเทียมหัวเข่า
และเมื่อนางมองเข้าไปด้านใน มีเพียงความมืดมิดและเงียบสงัด ขนาดว่าเป็นช่วงเวลากลางวันแท้ ๆ แต่กลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความเปลี่ยววิเวก วังเวงโหวงเหวง ความเจ็บปวดรวดร้าวทรมานใจราวเข็มเล็ก ๆ นับหมื่นเล่มพุ่งทะลุเข้าหาร่างกายอย่างรวดเร็ว
ความสิ้นหวัง ความเศร้าใจ ประดังประเดถาโถมเข้ามาประดุจหนึ่งพายุคลื่นลูกใหญ่ซัดเข้าหาฝั่ง
"ที่นี่ถูกปล่อยให้รกร้างขนาดนี้เชียวงั้นหรือ...หึ! ใช่สินะ ใครกันจะกล้าย่างกรายเหยียบเท้าเข้ามาในพระตำหนักผีสิงหลังนี้กันเล่า! แต่ก็นับว่าฮ่องเต้องค์นี้ยังทรงมีน้ำพระทัยอยู่ ถึงได้ทรงเก็บที่นี่เอาไว้และไม่ทำลายมันทิ้งไป ทั้ง ๆ ที่เป็นสถานที่อัปมงคลต่อความคิดและสายตาของผู้คนมากมายยิ่งนัก"
ฟ่งหลันหลั่นเปรยขึ้นกับตัวเองด้วยน้ำเสียงรันทด ในชะตากรรมที่พลิกผันอย่างที่สุดของตน เพราะเมื่อกวาดสายตามองไปรอบตัว ภาพความทรงจำครั้งเก่าเมื่อสิบปีก่อนก็ผุดขึ้นมาในหัวทันที
องค์หญิงน้อยพระพักตร์และรูปโฉมงดงามกำลังทรงวิ่งเล่นอยู่ตรงระเบียง หัวเราะเสียงดังอย่างสนุกสนาน โดยมีธารกำนัลวิ่งไล่จับตามหลังพระองค์
ตรงเบื้องหน้าคือพระบิดา ที่ตอนนั้นกำลังดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาท พระองค์ทรงยืนมองธิดาอยู่ด้วยพระพักตร์ที่เต็มไปด้วยความเบิกบานและสำราญพระทัย
องค์หญิงอวี้หลันในวัยบุปผาแรกแย้มยืนมองภาพเหตุการณ์นั้นและกล่าวขึ้นพร้อมกับเสียงสะอึกสะอื้นดังตามมา
"เสด็จพ่อ...ลูกกลับมาแล้วเพคะ"
จากนั้นภาพตรงหน้าก็สลายหายไป เหลือเพียงความมืดมิดและความเงียบสงัด
ฟ่งหลันหลั่นปาดน้ำตาบนใบหน้าออก ตอนนี้นางไม่มีเวลาให้เสียใจ เพราะเหตุผลที่เสี่ยงตายแอบลักลอบเข้ามาในสถานที่ต้องห้ามนี้ ก็เพื่อหาหลักฐานที่อาจจะเชื่อมโยงไปถึงสาเหตุการตายของตัวเองในครั้งอดีต
ถ้าสวรรค์เข้าข้างนางอะนะ
สตรีน้อยหยิบเทียนที่เตรียมมาด้วยออกจากตัวเสื้อด้านในของตนและจุดขึ้น จากนั้นสองเท้าก็เริ่มเดินสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างระแวดระวัง และทุกก้าวย่างของฝีเท้าต้องเบาเสียงให้มากที่สุด
และเมื่อสตรีน้อยได้เดินมาถึงโซนที่เป็นสถานที่อาบน้ำ นางก็ต้องสะดุดและชะงักฝีเท้าทันที
"เป็นไปได้ยังไงกัน! สภาพของทุกอย่างในนี้กลับยังคงเหมือนเมื่อสิบปีก่อน ข้าวของทุกชิ้นยังคงวางอยู่ที่ตำแหน่งเดิมไม่มีผิดเพี้ยน"
ฟ่งหลันหลั่นกล่าวขึ้นอย่างตะลึงงัน และแทบจะไม่อยากเชื่อสายตาของตนเอง
เวลาต่อมานางก็ฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ และรีบเดินปรี่ไปหยุดอยู่ตรงริมขอบสระน้ำ จากนั้นก็นั่งลงและค่อย ๆ ยื่นเทียนเล่มน้อยในมือจ่อลงไปตรงพื้นหินอ่อนเบื้องหน้า
แสงสว่างจากเปลวเทียนเผยให้เห็นคราบเปื้อนเกรอะกรังสีดำแห้งสนิทอยู่ตรงบนพื้นหินอ่อนนั้น
สตรีน้อยค้างนิ่งอยู่ในท่านั้นครู่หนึ่ง ทุกอย่างรอบตัวยังคงเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมหายใจและเสียงของสายลมพัดหวีดหวิวเบา ๆ ราวกับเสียงร้องโหยหวนของใครบางคน ฟังแล้วชวนขนลุกยิ่งนัก
เวลาผ่านไปครึ่งจิบน้ำชา ฟ่งหลันหลั่นก็ดึงสติของตัวเองกลับมาได้ นางจึงลุกขึ้นเดินไปยังสระน้ำ พร้อมกับหันไปหยิบขวดแก้วเปล่าเล็ก ๆ ที่นอนกลิ้งอยู่บนพื้นด้านข้างขึ้นมา จากนั้นก็เอื้อมมือลงไปทางด้านหน้าของตน
ทันใดนั้นเอง เจ้าตัวก็ได้ยินเสียงของฝีเท้าคู่หนึ่งกำลังเดินตรงปรี่มายังเรือนอาบน้ำแห่งนี้ นางจึงรีบดับเปลวเทียนในมือและหาที่หลบซ่อนตัวทันที
แต่จังหวะกำลังหาที่หลบซ่อนตัว ฟ่งหลันหลั่นก็ถูกใครบางคนฉุดกระชากลากแขนให้หลบไปยืนอยู่หลังผ้าม่านข้างริมหน้าต่างบานใหญ่ ด้วยความตกใจ อีกทั้งยังกลัวว่าคนผู้นั้นจะเป็นคนร้าย นางจึงออกแรงดิ้นและพยายามจะเอี้ยวตัวเพื่อหันกลับไปมองคนข้างหลัง
และด้วยว่าคืนนี้เป็นคืนเดือนหงายจึงพอมีแสงจันทร์รำไรอยู่บ้าง แม้จะไม่ชัดเจน แต่โครงหน้าและกลิ่นกายที่แสนคุ้นเคยนี้จะเป็นของผู้ใดไปไม่ได้ นอกจากเขาผู้นั้น
หลงอี้หลิง!
ดวงตากลมโตเบิกโพลงขึ้นอย่างฉงนใจ แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยคำใด คนตรงหน้าก็ยกมือขึ้นมาปิดปากของนางเอาไว้เสียก่อน
ทันใดนั้นเองบุคคลปริศนาเจ้าของฝีเท้าที่ฟ่งหลันหลั่นได้ยินก่อนหน้านี้ ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นตรงขอบสระน้ำ แสงจันทร์จากด้านนอกสาดส่องเข้ามากระทบกับใบหน้าด้านข้างของคนผู้นั้นพอดี จึงทำให้คนที่กำลังหลบซ่อนตัวอยู่ ได้เห็นถึงใบหน้าของเขา
'เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน'
ทั้งฟ่งหลันหลั่นและบุรุษที่กำลังยืนแนบชิดอยู่ทางด้านหลังของนาง ต่างก็ประหลาดใจและเกิดคำถามขึ้นมาในหัวเกี่ยวกับคนตรงหน้าขอบสระ
แต่ยังไม่ทันที่จะได้คำตอบ ความสงสัยเคลือบแคลงใจในตัวเขาก็เพิ่มขึ้นมาอีกทันที เพราะการปรากฏตัวของใครอีกคน ที่พวกเขาแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
ซ่งเฉาเกา คนสนิทของเยี่ยอ๋องได้เดินทะลุผ่านความมืดมาหยุดยืนอยู่ด้านหลังของบุรุษคนแรก
ฟ่งหลันหลั่นจ้องมองบุรุษทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างขอบสระน้ำอย่างตาเขม็ง และเกิดคำถามขึ้นในใจเกี่ยวกับบุรุษอีกคน ซึ่งนับได้ว่าเขาเคยเป็นสหายที่ดีของนางมาโดยตลอด
แต่การปรากฏตัวของเขาในสถานที่ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการตายของตนคราวในอดีต และยังมีซ่งเฉาเกาอีกคน ทำให้นางไม่รู้เสียแล้วว่าควรจะไว้ใจบุรุษรูปงามผู้นี้ได้ต่อไปได้อีกหรือไม่
'หยวนจูวเย่! ท่านเป็นมิตรหรือว่าศัตรูของข้ากันแน่'
.....
เซียงไค 盛開