ตอนที่ 559 การบุกรุกของต้นกำเนิด
ภายใต้ความมืดมิดยามค่ำคืน
ตลอดทั้งเมืองเงียบสงบ
สองศพกอดกันแน่น
แต่กู่ฉิงซานไม่คิดตรวจสอบศพอีกต่อไป
เขากันลอร่าไว้เบื้องหลัง หยิบดิสก์ค่ายกลออกมา และเริ่มพรมสองมือลงบนมันอย่างรวดเร็ว
ชั้นแสงสวรรค์เรืองรองกระจายเข้าไปในความว่างเปล่า ขณะเดียวกันธาตุสายฟ้าของ กู่ฉิงซานก็ถูกบีบเข้าไปในตัวค่ายกล
เมื่อแสงสวรรค์รอบตัวกู่ฉิงซานกับลอร่าปรากฏขึ้นและจางหายไป มอนสเตอร์ที่น่าสะพรึงก็บุกเข้ามา
กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้น เพ่งสำรวจศีรษะใหญ่โตของมอนสเตอร์อย่างระมัดระวัง ในหัวใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ
“ค่ายกลของผู้ฝึกยุทธที่ผสานไปกับธาตุสายฟ้าของฉัน ไม่สามารถขัดขวางมันได้ … ”
เขาบ่นพึมพำ
ค่ายกลขนาดใหญ่นี้ ประกอบไปด้วยสามสิบหกค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้ายและสามสิบหกศิลาวิญญาณในการขับเคลื่อน ซึ่งอานุภาพของมัน มากพอแล้วที่จะสังหารวิญญาณร้ายระดับสูงสุดในโลกล่องเวหา
แต่ขณะเดียวกัน แม้ค่ายกลนี้จะร้ายกาจมาก แต่มันก็จำเป็นต้องใช้ศิลาวิญญาณปริมาณมากเกินไป ดังนั้นโดยทั่วไปแล้ว ผู้ฝึกยุทธในโลกล่องเวหาจึงไม่เต็มใจที่จะใช้มัน
แต่หากมันถูกเปิดใช้งานแล้วละก็ ไม่ว่าสัตว์ประหลาดผีตนใดคิดย่างกรายเข้ามา มันก็จะถูกทำลาย สลายเป็นควันไปในทันที
ยิ่งไปกว่านั้นค่ายกลดังกล่าวนี้ยังถูกเสริมด้วยสายฟ้าสวรรค์จากทัณฑ์สายฟ้าซึ่งมีเอกลักษณ์ในการกำจัดสิ่งชั่วร้ายโดยเฉพาะ ฉะนั้นแล้วค่ายกลนี้จึงสมควรที่จะรุนแรงขึ้นกว่าเดิมถึงสามเท่า!
กู่ฉิงซานใช้ธาตุสายฟ้าของผู้ฝึกยุทธ ใช้ทัณฑ์ปีศาจของตนเอง ส่งผลให้ค่ายกลที่ว่านี้กลายเป็นค่ายกลที่มีอานุภาพรุนแรงที่สุดในโลกล่องเวหา!
สรุปแล้วค่ายกลที่เขาสร้างขึ้นในครั้งนี้ นับว่าเป็นค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้ายที่ร้ายกาจที่สุดในประวัติศาสตร์!
อย่างไรก็ตาม ค่ายกลที่ว่ามานี้ มันกลับไม่สามารถต้านทานสัตว์ประหลาดผีตรงหน้าได้เลย
มองไปยังท่าทีที่ปรากฏของมัน เจ้าผีร้ายดูจะเกลียดชังสามสิบหกค่ายกลนี้เป็นอย่างมาก เมื่อถูกขัดขวางชั้นแล้วชั้นเล่า มันก็เริ่มคลุ้มคลั่งยิ่งกว่าเดิม
ในแต่ละการฉีกกัดของมัน ค่ายกลย่อยค่อยๆ ถูกทำลายลงเรื่อยๆ
คาดว่าอีกไม่นานสามสิบหกค่ายกลคงจะสิ้นฤทธิ์ลงในที่สุด
“พวกเจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่าสัตว์ประหลาดผีตนนี้มันคืออะไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
สามดาบปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขา
“ฮึมฮัม?” ดายเช่าหยินตอบกลับมาว่าไม่รู้
“มันดูเหมือนบรรดาแปดร้อยแปดผีนักรบ แต่พอได้ลองเพ่งมองอย่างใกล้ชิดดูแล้ว พวกผีนักรบไม่มีตนใดเติบใหญ่ขึ้นมาในลักษณะนี้เลย” ฉานนู่จ้องมองสัตว์ประหลาดผี ส่ายหัวและกล่าว
แต่ดูเหมือนว่าดาบพิภพจะสามารถให้คำตอบแก่เขาได้ “มันคือผีแห่งความอลหม่าน”
“ผีแห่งความอลหม่านคืออะไรกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามทันที
“เรารู้นะ ..” ลอร่ากล่าวด้วยสีหน้าซีดเซียว “มันคืออสุรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหลที่หาได้ยากยิ่ง ความแข็งแกร่งของมันไม่มากเท่าไหร่ แต่มันกลับครอบครองอำนาจที่สามารถเจาะทะลวงได้ทุกสิ่งตั้งแต่ถือกำเนิด ชนิดที่ว่ากระทั่งกำแพงอุปสรรคของเหล่าทวยเทพในสมัยโบราณก็มิอาจขัดขวางมันได้”
“ผีแห่งความอลหม่านก็ดั่งชื่อของมัน มันคือความสับสนวุ่นวาย เป็นตัวตนที่สิ่งมีชีวิตอื่นไม่อาจรับรู้ถึงมันได้ ในกรณีที่มันปรากฏตัวขึ้น ก็ตัดสินได้เลยว่าผลลัพธ์ของสงครามจะจบลงเช่นไร”
“พวกเราไม่สามารถกำจัดมันได้เลยหรือ?” กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว
“จัดการมันไม่ได้ เพราะไม่ว่าสรรพาวุธหรือการโจมตีใดๆ มันล้วนสามารถทะลุผ่านได้ ดังนั้นแม้ว่าตัวมันจะไม่แข็งแกร่งอะไรหากเทียบกับปฐมบทแห่งความโกลาหลตนอื่นๆ แต่มันคือสิ่งที่แทบจะไม่สามารถเอาชนะได้ เป็นตัวตนที่เกือบจะอยู่ยงคงกระพัน!”
ถ้ามันสามารถทะลุผ่านการโจมตีทั้งหมดได้...
ถ้าหากราชามารวิญญาณมรณะกับผีแห่งความอลหม่านต่อสู้กัน ผีแห่งความอลหม่านก็จะเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดน่ะสิใช่ไหม?
เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็รู้สึกด้านชา ราวกับถูกถังน้ำแข็งเย็นๆ ราดใส่
มีอสุรกายที่พิเศษแบบนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไรกัน!
ลอร่ากล่าวโล่งอก “แต่โชคยังดีที่เจ้ามีค่ายกลจากอารยธรรมของผู้ฝึกยุทธอยู่ ทำให้อย่างน้อยก็ยังสามารถขัดขวางมันเอาไว้ได้ชั่วคราว”
ขณะกล่าว เธอก็คว้าจับกระเป๋าใบเล็กๆ ของตัวเอง และล้วงมือเข้าไปค้นข้างใน
ระหว่างนั้นกู่ฉิงซานก็คอยสำรวจค่ายกลไปพลางๆ
และพบว่ามันไม่สามารถต้านทานได้เลย!
ค่ายกลกำลังถูกฉีกทำลายอย่างรุนแรง
ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มตระหนักชัด
หากไม่ใช่เพราะว่าค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้ายได้ผสานธาตุสายฟ้าของเขา ทัณฑ์ปีศาจเข้าไปด้วยแล้วล่ะก็ ผีแห่งความอลหม่านคงจะสามารถเจาะทะลุค่ายกลทั้งหมดเข้ามาได้โดยตรงตั้งนานแล้ว!
ลอร่าที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเขา ปากเปล่งเสียงกระซิบ “รอก่อนนะ” เรากำลังเร่งหาสิ่งที่สามารถเคลื่อนย้ายไปอีกสถานที่หนึ่งอยู่ จะได้ใช้มันหลบหนีไปจากสถานที่นี้ในทันที”
ทว่าเสียงหนักทึบของดาบพิภพก็ดังขึ้นเสียก่อน “ไม่จำเป็นต้องหนี กู่ฉิงซาน เจ้าสามารถสังหารมันได้โดยใช้ดาบขุนเขาเทวะหกโลกา”
“แล้วเจ้าทราบถึงเรื่องนี้ได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานถาม
“ข้าน่ะหรือ? จะสามารถสังหารมันได้?” ฉานนู่อุทาน
ในน้ำเสียงของดาบพิภพแสดงออกถึงความสุข “ฉานนู่ เจ้าสามารถทำลายตลอดทั้งหมื่นกฎเกณฑ์ได้ ซึ่งนั่นเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ประเภททะลวงที่หาได้ยากยิ่งกว่าผีแห่งความอลหม่านซะอีก ดังนั้นหากอาศัยเจ้า ก็จะสามารถทำลายพลังอันอยู่ยงคงกระพันของมันได้”
“มันเองก็คงจะคาดไม่ถึงเหมือนกัน ว่าท่ามกลางโลกนับล้านล้าน จะดันได้มาเผชิญหน้ากับเจ้าอย่างกะทันหัน”
“ชีวิตอันคงกระพันของสัตว์ประหลาดผีตนนี้ ดูท่าว่าวันนี้จะเป็นวันตายของมันเสียแล้ว”
“งั้นข้าลงมือล่ะนะ” ฉานนู่กล่าว
ว่าจบ ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาก็วาดตนเป็นเส้นโค้งขึ้นไปในอากาศ ก่อนจะร่วงตกลงมาในมือของกู่ฉิงซานพอดิบพอดี
กู่ฉิงซานกุมดาบยาว แล้วชี้ปลายคมกล้าของมันไปทางปากของผีแห่งความอลหม่าน
ขณะเดียวกัน ผีแห่งความอลหม่านก็กัดทำลายค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้ายจนหมดสิ้นพอดี มันกระโจนเข้าหาทั้งสองคนที่ยืนอยู่โดยตรง
รังสีดาบกะพริบไหว
เทคนิคลับแห่งดาบ ฝ่าวารีเชี่ยว!
ซุ่ม ซุ่ม ซุ่ม!
บังเกิดเสียงสะท้านหนักเป็นชุด
รังสีดาบสาดแสงจ้า โถมเข้าใส่ปากที่เต็มไปด้วยคมเขี้ยวแหลมของผีแห่งความอลหม่าน ไหลบ่าเข้าไปในร่างกาย และบดขยี้มันจากภายในจนแหลกเป็นชิ้นๆ!
กู่ฉิงซานเก็บดาบกลับคืน
เขาถอนหายใจและรำพึงออกมา “อสุรกายประเภทนี้ สามารถข้ามผ่านชั้นเปลือกน้ำแข็งของโลกมาได้ หากกองทัพของพวกมันบุกเข้ามา สถานที่แห่งนี้มิแคล้วต้องเผชิญกับหายนะเป็นแน่”
“เรื่องนั้นเจ้าวางใจเถอะ ผีแห่งความอลหม่านน่ะไม่ได้มีจำนวนมากมายขนาดนั้นหรอกนะ” ลอร่ากล่าว
ดาบพิภพเอ่ยเสริม “สมควรจะมีอยู่เพียงน้อยนิด เพราะอย่างที่กล่าวไป มันเป็นอสุรกายที่พบเจอได้ยากเย็นยิ่ง เว้นไว้แต่เพียงในสงครามใหญ่ครั้งสำคัญๆ เท่านั้น มันถึงจะปรากฏตัวออกมา”
“มอนสเตอร์เช่นนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรกัน?” กู่ฉิงซานพึมพำ
“มันคืออสุรกายที่เกิดจากการผสมผสานกันของผีนับไม่ถ้วนในปรภพ และการจะสังเคราะห์มันขึ้นมา มีโอกาสล้มเหลวสูงมากๆ น้อยครั้งนักที่จะประสบความสำเร็จในการสร้างมันแต่ละตัว” ดาบพิภพกล่าว
“ดังนั้นขณะนี้ เราก็สมควรที่จะปลอดภัยชั่วคราว”
“ไม่นะ กระหม่อมไม่คิดเช่นนั้น” กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว
“เพราะมอนสเตอร์ตัวนี้คือกุญแจสำคัญในการทะลวงกำแพงอุปสรรคของเหล่าทวยเทพ …”
“ขณะที่ต้นกำเนิดไม่มีวิธีอื่นใดที่จะสามารถเข้ามาที่นี่ได้นอกจากพึ่งพาอสุรกายชนิดพิเศษตนนี้เท่านั้น”
กู่ฉิงซานพึมพำ และพิจารณาต่อไป “แถมตอนนี้เจ้าต้นกำเนิดมันกำลังกระหายบางสิ่งอย่างบ้าคลั่ง และหากเจ้าสิ่งที่ว่านั่นมันอยู่ในโลกนี้แล้วล่ะก็… บางทีต้นกำเนิดมันอาจจะ”
ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็ชะงักไปอย่างกะทันหัน
เขากับลอร่าแหงนหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้าพร้อมกัน
เห็นแค่เพียงเหนือขึ้นไปบนท้องฟ้า จุดแสงสีทองเรืองรองกำลังเกิดการระเบิดขึ้น
แสงเรืองรองสีทองขยายตัวอย่างรวดเร็ว ปรากฏภาษาเขียนที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน สร้างรูปแบบการป้องกัน แต่ละวง แต่ละวงขึ้นมา
ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างไปกระตุ้นกำแพงอุปสรรคของเทพบรรพกาลเข้า
ภายในรูปแบบป้องกันที่ใหญ่ที่สุด หัวของสัตว์ประหลาดผีค่อยๆ ผุดเข้ามาภายใน
มันกำลังพยายามที่จะทะลวงผ่านกำแพงอุปสรรคของเทพบรรพกาล!
มันต้องการที่จะลงมาสู่โลกเบื้องล่างนี้!
ในแต่ละวงป้องกัน หัวของสัตว์ประหลาดผีค่อยๆ ทยอยกันผุดออกมา
“พวกนั้นมันผีแห่งความอลหม่าน! นี่ไม่ถูกต้อง เหตุใดถึงได้มีผีแห่งความอลหม่านมากมายขนาดนี้!” ลอร่าสูญเสียเสียงของเธอ
“ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างที่คิดจริงๆ”
ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็สั่งการนึกคิดในจิตใจ
ฟิ้ว!
ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาที่มีรูปลักษณ์ดั่งหยาดน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วงได้บินออกไป
ในพริบตา ดาบยาวก็เจาะขึ้นไปบนชั้นฟ้า ทะยานตนสูงขึ้น
กู่ฉิงซานที่อยู่เบื้องล่างเหยียดมือของเขา และจีบออกด้วยเทคนิคดาบอย่างแผ่วเบา
เทคนิคลับแห่งดาบ ประทับดารา!
เห็นแค่เพียงเส้นไหมห้าแฉกปรากฏขึ้นท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน
นี่คือเส้นไหมที่เกิดจากการควบแน่นกันของรังสีดาบ มันพุ่งผ่านชั้นอากาศ เฉกเช่นเดียวกันกับดาวตกที่ตัดผ่านผืนฟ้า
กู่ฉิงซานจ้องมองไปที่ประทับดาราเหล่านั้น มือของเขาเริ่มวูบไหวอีกครั้ง
เทคนิคลับแห่งดาบ ประทับดารา!
เทคนิคลับแห่งดาบ ประทับดารา!
เทคนิคลับแห่งดาบ ประทับดารา!
เขายังคงจีบออกด้วยเทคนิคลับแห่งดาบอย่างต่อเนื่อง ต่อเนื่องไปไม่รู้จบ
ด้วยสภาพกายที่พรั่งพร้อมที่สุดในขอบเขตประทับเทพขั้นปลาย ที่สามารถยกระดับขึ้นไปสู่พื้นฐานวรยุทธในขอบเขตร่างเทวะเมื่อใดก็ได้ ฉะนั้นแน่นอนว่าเขาจึงสามารถใช้เทคนิคลับแห่งดาบนี้ได้อย่างไม่จำเป็นต้องคิดอะไรให้มากความ
ไม่ว่าดาบบินจะโฉบไปในทิศทางใด ทิศทางนั้นก็จะปรากฏเส้นไหมสาดแสงเรืองรอง ทิ้งร่องรอยเอาไว้เป็นทางยาว
และเส้นไหมที่ควบแน่นไปด้วยรังสีดาบเหล่านี้ก็ตัดผ่านท้องฟ้า โฉบข้าไปตัดสะบั้นหัวของเหล่าผีแห่งความอลหม่านที่มุดหัวเข้ามาทีละตน ทีละตน
ก๊าซ!
เสียงกรีดร้องด้วยความโกรธดังสะท้านไปตลอดทั้งสวรรค์และโลก
ผีแห่งความอลหม่านเหล่านั้นช่างโชคร้ายยิ่งนัก ชัดเจนว่ามันคืออสุรกายที่แสนหายาก กว่าจะสังเคราะห์ขึ้นมาสักตัวช่างยากสุดแสน เป็นอสุรกายที่กระทั่งกำแพงอุปสรรคของเหล่าทวยเทพก็มิอาจขวางกั้นมันได้
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้ว ช่วงที่กำลังฝ่ากำแพงอุปสรรคน่ะนับว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด เพราะมันจะไม่สามารถหยุดการเจาะทะลวงของตนเองได้
ดังนั้นพวกมันจึงมิอาจหลบเลี่ยง ต้องทานรับประทับดาราอย่างเดียวเท่านั้น
ขณะที่ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาน่ะสามารถแหกได้ทุกกฎเกณฑ์ กระทั่งความสามารถพิเศษที่ติดตัวมาแต่กำเนิดของพวกมันก็ไม่มีละเว้น!
เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้า แสงสีทองบนกำแพงอุปสรรคค่อยๆ จางหายไป
ผีแห่งความอลหม่านทั้งหมดจบชีวิตลงแล้ว
ดาบบินที่อยู่เหนือท้องฟ้าเบื้องบน ตัดผ่านชั้นเมฆลงมาอย่างรวดเร็ว และมาหยุดอยู่ข้างกายของกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ
แววตาของลอร่าเปล่งประกายระยับ เธอมองไปยังดาบขุนเขาเทวะและอดไม่ได้ที่จะเอ่ย “ดาบเล่มนี้ พอจะแลกเปลี่ยนกับเรา...”
กู่ฉิงซานจิกตามองเธอ
ลอร่าจึงจำต้องเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปอีกเรื่องอย่างเชื่อฟัง
“นี่คงจะเป็นการบุกโจมตีที่มันได้จัดเตรียมเอาไว้อย่างพิถีพิถันเป็นแน่ แต่สุดท้ายแล้วที่เตรียมการมาทั้งหมดกลับถูกทำลายลงโดยเจ้า เกรงว่าระบบของราชามารคงจะคลั่งไปแล้วในตอนนี้”
“กระหม่อมคิดว่ามันคงจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น เอาล่ะ ตอนนี้ก็น่าจะได้เวลาแล้วที่พวกเราต้องเริ่มทำการสำรวจโลกใบนี้กันสักที” กู่ฉิงซานกล่าว
ว่าจบค่ายกลก็ถูกเปิดใช้งาน ดาบบินทั้งสามโอบล้อมทั้งสองตลอดเวลา ก่อให้เกิดแรงกดดันอันน่าทึ่ง
ซึ่งฉากนี้มันช่างดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย เพราะหากระมัดระวังตัวถึงขนาดนี้ แล้วมันจะออกไปสำรวจโลกใบนี้อย่างละเอียดได้อย่างไรกัน?
กู่ฉิงซานวางลอร่าลงบนไหล่เขา แล้วเริ่มเดินหน้า ตรงไปยังทิศทางของเมือง
อย่างไรก็ตาม เขาก็จำต้องหยุดลงซะก่อน
เห็นแค่เพียงบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม เส้นแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กกำลังสาดแสงจี้ตาเขาอยู่ตลอดเวลา
“โปรดทราบ”
“คุณได้สังหารอสุรกายพิเศษประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหลไปหลายตน ซึ่งเหตุการณ์นี้นับว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของโลกหกวิถี”
“นอกจากนี้ คุณยังได้สังหารอสุรกายไปสองตนในสายธารแห่งการหลงเลือน”
“ส่งผลให้ภารกิจสมญาพิเศษของคุณ เสร็จสมบูรณ์”
“สมญาพิเศษเทพสงคราม...ได้ถูกปลดล็อคแล้ว!”
…………………………………..........