ตอนที่ 486 เรื่องของเขาก็คือเรื่องของฉัน
รูปปั้นทองคำสูงตระหง่าน แท้จริงแล้วเป็นรูปสลักของชายเผ่ามนุษย์ผู้หนึ่ง
เห็นแค่เพียงบุหรี่ที่คาบอยู่ในปาก มือซ้ายถือขวดเหล้า ขณะที่กำลังจับหมวกปีกกว้างบนหัวด้วยมือข้างขวา
ดวงตาของชายในรูปปั้นหรี่แคบ คล้ายกำลังเผยถึงความเหยียดหยัน
กู่ฉิงซานเฝ้าสังเกตรูปปั้นและในที่สุดก็พบถึงความผิดปกติบางอย่าง
แม้รูปปั้นของชายผู้นี้จะสวมถุงมือหนังสีดำ และสวมเพียงแจ็คเก็ตเปล่าๆ ทับกับร่างช่วงบน เผยให้เห็นถึงรอยสัก บนหน้าอก ซึ่งในคำพรรณนาโดยรวมที่ผ่านมานี้มันจะทำให้เขาดูเย็นชาก็ตามที
แต่ร่างกายช่วงล่างของเขากลับสวมใส่เพียงแค่บ็อกเซอร์สั้นๆ
ความรู้สึกเย็นชาทั้งหมดทั้งมวลในรูปปั้น เมื่อถูกมองมายังบ็อกเซอร์หลวมๆ ตัวนี้ มันก็สลายหายไปทันที
ชายชราที่ยืนอยู่ข้างๆ กู่ฉิงซานสังเกตเห็นถึงสายตาของเขา
ชายชรายักไหล่และกล่าว “อีกไม่นานก็จะถึงสมาคมของไอ้บ้าแล้ว มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าจะได้
พอได้ฟัง กู่ฉิงซานก็เข้าใจทันที
แท้จริงแล้ว รูปปั้นทองคำเหล่านี้คือรูปปั้นเสมือนของขาเป๋แบรี่นั่นเอง
“นี่อย่าบอกนะว่าเขาบ้าถึงขั้นสร้างรูปปั้นของตัวเอง แล้วเอามันไปวางไว้ในทุกๆ โลกน่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ไม่ๆๆ เป็นเพราะโลกเหล่านั้นชื่นชมเขาต่างหาก ดังนั้นจึงได้สร้างรูปปั้นของเขาขึ้น”
ชายชรากล่าวต่อ “ทุกคนต่างก็เห็นตรงกันว่าแบรี่นั้นมีหัวใจที่แสนจะอบอุ่น เป็นคนที่ไม่คิดนิ่งดูดาย คิดเร็วทำเร็ว ชนิดว่ารู้เรื่องแล้วก็ลงมือทำเลยทันทีน่ะ”
ได้ยินแบบนั้น กู่ฉิงซานก็รู้สึกโล่งใจ
หากผู้ชายคนนี้สร้างรูปปั้นตน แล้วนำมันไปวางไว้ทุกโลกด้วยตัวเองแล้วล่ะก็ กู่ฉิงซานคงต้องเพิ่ม ความระมัดระวังที่มีต่อคนประเภทนี้ให้สูงขึ้นมากทีเดียว
กู่ฉิงซานแสดงความคิดเห็น “แต่เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ อ่า ข้าหมายถึงช่วงล่าง จะให้พูดว่าอย่างไรดี?”
ชายชราหัวเราะ
ขณะที่กู่ฉิงซานกำลังมองชายชราอย่างงงงวย
ชายชราก็ยิ้มและอธิบายว่า “มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาเมาเป็นหมา และหมกตัวเองเล่นพนันอยู่ในบ่อนไม่ยอมออกไปไหน จนสูญเสียทุกอย่างไม่เหลือแม้กระทั่งกางเกง”
“แต่แล้วในช่วงเวลาที่กำลังจะเสียบ็อกเซอร์ชิ้นสุดท้ายนั้นเอง เขากลับได้รับการแจ้งเตือนว่ามีโลกที่กำลังจะถูก เผ่ามารเข้าทำลาย และต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน”
ชายชราถอนหายใจและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แล้วสิ่งที่ต้องทำคืออะไร? วิ่งออกไปซื้อกางเกงหรือ? ไม่ ไม่หรอก เวลามันไม่เพียงพอ โลกกำลังจะถูกทำลายลงในไม่ช้าโดยเผ่ามาร ขาเป๋แบรี่จึงเร่งออกจากบ่อนคาสิโนทันที”
แล้วกู่ฉิงซานก็ตระหนักได้ถึงความจริงบางอย่าง
เขาหันไปมองชายชราด้วยแววตาปราศจากซึ่งความสงสัย
ชายชราพยักหน้าและกล่าว “ใช่แล้วล่ะ แบรี่มันก็ไปช่วยทั้งๆ บ็อกเซอร์อย่างนั้นแหละ”
“หลังจากนั้น เมื่อทุกคนในโลกถูกช่วยเหลือเอาไว้ ทั้งหมดก็รู้สึกขอบคุณเขา และสร้างรูปปั้นนี้ขึ้นมา ซึ่งในเวลานั้นเขาไม่ได้สวมใส่กางเกง รูปปั้นมันก็เลยออกมาเป็นอย่างที่เห็น”
“แล้วต่อมารูปปั้นนั้นก็เริ่มเป็นที่แพร่หลาย โลกใดก็ตามที่ถูกเขาช่วยเหลือก็จะสร้างรูปปั้นนั้นตั้งเอาไว้”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
ระหว่างสนทนา เรือก็หยุดลง
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่จู่ๆ ก็ปรากฏแสงสว่างขึ้นบริเวณด้านข้างของเรือ
“พวกเรามาถึงแล้ว” ชายชราเบนสายตาออกไป ปากเอ่ยกล่าวอย่างแผ่วเบา
อีกด้านหนึ่ง
ในโลกจริง
การประชุมเกี่ยวกับชะตากรรมของโลกกำลังถูกจัดขึ้นในวิลล่าบนหุบเขา
ซางหยิงฮ่าวกลั้วลำคอของเขาและกล่าว “ดังนั้น กระหม่อมจึงเห็นสมควรว่ามันจะเป็นการดีกว่า ที่จะปลุกเจ้าพวกเย่อหยิ่งนี่ให้ได้สติเสียที”
“แล้วคนอื่นๆ ล่ะ คิดเห็นอย่างไรบ้าง” สมเด็จพระจักรพรรดินีเวโรน่าเอ่ยถาม
ประธานาธิบดีมองไปยังเทพนักสู้ซางซ่งหยางและพยักหน้าส่งสัญญาณให้เขาพูด
ซางซ่งหยางตอบ “ชัดเจนว่าพวกเขาไม่ใช่พวกดาวเด่นหรือผู้ใช้เทคนิคเทียนซวนอะไรที่ไหน ก็แค่โชคดีได้ ถูกเลือกโดยอาวุธจากปรภพก็เท่านั้นเอง”
เหลียวฮังกล่าวอีกว่า “เจ้าคนกลุ่มนี้มันกำลังคิดผิด พวกมันได้ทำเรื่องบ้าบอและชั่วร้ายมามากเกินไป ดังนั้นจึงสมควรแล้วที่จะได้รับการลงโทษ”
“เห็นด้วย” เครื่องจักรพิพากษาเปล่งเสียงดังขึ้น
“นอกจากนี้ ความตั้งใจเดิมของพวกเราก็คือ การช่วยให้โลกที่ทำการผสานรวมกันนี้แข็งแกร่งขึ้นโดยเร็ว ไม่ได้ให้คนกลุ่มเล็กๆ มาออกอาละวาดสังหารผู้บริสุทธิ์ ” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว
ประธานาธิบดี “ในกรณีนี้ พวกเราจะต้องแจ้งให้ทั้งโลกทราบ ว่าผู้คนมีสิทธิที่จะฝึกยุทธได้ก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะมีสิทธิ์ที่จะใช้พลังที่ได้รับจากการฝึกมันทำเรื่องชั่วช้า มิฉะนั้นพวกเขา ก็จะต้องรับผิดชอบไปตามกฎหมาย”
เมื่อกล่าวจบ ทุกคนก็หันหน้า มองไปยังทิศทางเดียวกัน
เห็นแค่เพียงซูเซี่ยเอ๋อที่กำลังตั้งใจฟังวิหคขาวอยู่บนโซฟา
เธอไม่ได้ยิน ไม่ฟัง ไม่สนใจอะไรเกี่ยวกับการตัดสินใจแก้ปัญหาของโลกทั้งนั้น
อันที่จริงแล้ว ในทุกๆ ครั้งที่เธอกลับมา เธอก็มักจะมาอยู่ที่นี่ เพื่อรอกู่ฉิงซานกลับมาอย่างเงียบๆ
ได้ยินเพียงแค่เสียงของวิหคขาว “ข้าก็ได้พูดในสิ่งที่ต้องการไปแล้ว ยังจะมีใครไม่เห็นด้วยอยู่อีกหรือไม่?”
ทันทีที่กล่าวประโยคนี้จบ มันก็เปลี่ยนน้ำเสียงทันที “จากนั้นคนตายจากนรกทั้งสิบแปดขุมก็พยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง ปากอ้าตะโกนโห่ร้องราชาภูตทรงพระเจริญ พวกเราสนับสนุนการตัดสินใจของท่าน”
ซู่เซี่ยเอ๋อวางสองมือของเธอลงบนแก้มด้วยความหลงใหล ขณะที่ดวงตาเปล่งประกายสดใส “เขาได้ฆ่ามนุษย์ปีศาจนับพันล้านทั้งหมดในนรกขุมนั้นจริงๆ น่ะเหรอ?”
วิหคขาวถอนหายใจ “สำหรับเรื่องนี้ ข้าได้บอกเจ้าไปตั้งเจ็ดครั้งแล้ว หากมากกว่านี้ข้าคงต้องไปทำงานเป็นหนอนหนังสือ คอยรับหน้าที่เล่านิทานแล้วล่ะ”
“ไม่ๆ ช่วยเล่าต่อเถอะ ไหนลองบอกมาซิว่าเขาช่วยคุณได้อย่างไร”
“อ่า...ก็ได้ๆ” วิหคขาวกล่าวอย่างหมดหนทาง
ซางหยิงฮ่าวที่เฝ้ามองฉากนี้ขบคิดอะไรเล็กๆ น้อยๆ ก่อนจะสะกิดๆ ไปทางเหลียวฮัง
แน่นอน ว่าเหลียวฮังย่อมเข้าใจได้ทันที
เขาร้องตะโกน “เฮ้ยๆ ท่านจ้าวมณฑลซู คุณมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างกับเรื่องที่พวกเราหารือไปเมื่อครู่นี้”
“เรียกฉันในตอนแค่ที่อยากจะให้ฉันทำอะไรก็พอ เรื่องของพวกคุณมันน่าเบื่อเกินไปแล้วก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉันเลย ยิ่งไปกว่านั้นไอ้ เฮ้ยๆ นี่อย่าเรียกแบบนั้นดีกว่านะ ฉันไม่ค่อยจะชอบสักเท่าไหร่” ซูเซี่ยเอ๋อพูดอย่างแผ่วเบา
ตาแก่นี่ ทำตัวน่ารำคาญจริงๆ
ปัง!
ในตอนนั้นเองประตูก็ๆ ได้ถูกเปิดออก
ตามด้วยเย่เหยหยูที่ร่างชุ่มไปด้วยเลือดเดินเข้ามา
“มีพวกขั้นก่อตั้งเกิดคลุ้มคลั่งอีกแล้ว แต่ก็ถูกจัดการเรียบร้อย ฉันได้ทำการตัดหัวของเขาด้วยมือของฉันเอง” เย่เฟย์หยูกล่าว
“เธอก็ได้ยินความคิดเห็นของพวกเราผ่านทางสมองควอนตัมแล้วใช่ไหม มีความคิดเห็นอย่างไรบ้างล่ะ?” เวโรน่าเอ่ยถาม
“ความคิดเห็นของผมน่ะเหรอ?”
เย่เฟย์หยูยกสองมือขึ้น พร้อมกับเผยรอยยิ้มแห่งความสุขบนใบหน้า
“ผมน่ะเป็นผีดิบนักฆ่า ยิ่งฆ่าคนที่มีพื้นฐานวรยุธสูง ผมก็จะยิ่งวิวัฒนาการ ยิ่งแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีกระดับ ดังนั้นแน่นอน ว่าผมยินดีใช้สองมือนี้ออกไปจัดการพวกมัน ”
“ถ้าอย่างนั้น ก็ถือว่าพวกเราได้ข้อสรุปกันแล้วนะ” ประธานาธิบดีกล่าว
“ไม่นะ ทางเก้าตระกูลใหญ่ยังไม่ได้เสนอความคิดเห็นเลย” เวโรน่ากล่าวพลางขบคิด
“ก็ไม่ใช่ว่าจ้าวมณฑลซูอยู่ที่นี่แล้วหรอกเหรอ?” เย่เฟย์หยูมองไปทางซูเซี่ยเอ๋อ
คนทั้งหลายหันมาสบตากัน ฉันมองคุณ คุณมองฉัน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
เหลียวฮังกระแอม แล้วอธิบายว่า “จ้าวมณฑลซูบอกว่าเรื่องนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ”
เย่เฟย์หยูนั่งลงก่อนจะรินโซดาลงในแก้วตัวเอง และกระดกดื่มมันจนหมดในลมหายใจเดียว
“มันจะไม่เกี่ยวข้องได้อย่างไร ถ้าจ้าวมณฑลซูไม่คิดจัดการอะไร นั่นมันก็เหมือนกับว่าเธอไม่รับผิดชอบ อะไรเลยน่ะสิ” เย่เฟย์หยูวิจารณ์
หลายคนต่างมองมาที่เขาด้วยความประหลาดใจ
ซางหยิงฮ่าวลอบส่ายหัว ส่งสัญญาณไม่ให้อีกฝ่ายพูดอะไรไปมากกว่านี้
เป็นคนที่ทรงพลังมาก มากจนเกินไป
ครั้งก่อนที่เหลียวฮังกับวิหคขาวเผลอพูดไม่ถูกใจ เธอได้ระเบิดพลังอำนาจของตัวเองออกมา ซึ่งพลังที่ว่านั่นแทบ จะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะต่อต้าน
แถมในไม่กี่วันที่ผ่านมา เธอก็ยังสามารถเดินทางข้ามผ่านมิติมาได้อย่างง่ายดายทุกครั้ง
นี่มันใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะทำได้หรือ?
ซูเซี่ยเอ๋อหันหน้ามาเล็กน้อย ดวงตาอันทรงเสน่ห์เริ่มหรี่แคบลง
พร้อมกับแรงกดดันอันตรายที่เริ่มลุกลามออกมาจากตัวเธอ
“แม้แต่เก้าตระกูลใหญ่ฉันก็ยังไม่สนใจ แล้วถ้าอย่างนั้นทำไมฉันจะต้องสนใจเรื่องที่พวกนายกำลังทำอยู่ด้วย?” สีหน้าการแสดงออกของซูเซี่ยเอ๋อแลดูเย็นชา
เย่เฟย์ถอนหายใจ ก่อนจะตัดสินใจกล่าว “มันเป็นสิ่งที่เธอต้องจัดการ”
“หืม? นี่หมายความว่าฉันกำลังจะต้องถูกคนอื่นมาคอยควบคุมอีกแล้วสินะ?” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว
เธอชักจะเริ่มรำคาญอีกแล้ว
“ไม่เชิงควบคุมหรอก แต่เธอเป็นผู้หญิงของเขานี่ ถ้าเป็นเขาต้องทำเรื่องพวกนี้อย่างแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ไง ดังนั้นนอกจากเธอแล้ว ยังจะมีใครอีกที่รับผิดชอบหน้าที่นี้แทนเขาได้?” เย่เฟย์หยูกล่าว
ซูเซี่ยเอ๋อนิ่งงันไป
เหลียวฮังลอบยกนิ้วโป้งให้อีกฝ่าย
ขณะที่ซางหยิงฮ่าวเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ
ประธานาธิบดีกับเวโรน่าหันไปมองเย่เฟย์หยูเป็นสายตาเดียว
เย่เฟย์หยู...เติบโตขึ้นแล้วจริงๆ
เห็นแค่เพียงซูเซี่ยเอ๋อที่แผ่แรงกดดันเยือกเย็นจนผู้คนต้องสั่นสะท้านผุดลุกขึ้น
“ช่วยบอกรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องที่พวกนายคุยกันเมื่อกี้ให้ฉันที”
เธอกล่าวอย่างจริงจัง
“ทำไม? เธอตัดสินใจที่จะจัดการมันแล้วเหรอ?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถาม
“แน่นอน เพราะเรื่องของเขา ก็คือเรื่องของฉัน” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว
…………………………………..........