ตอนที่ 170 ผู้บัญชาการรบ
สำหรับเสียงคร่ำครวญอันน่าอเนจอนาถของหวู่สิงเหวิน นางเซียนไป่ฮั่วทำหูทวนลมราวกับมิได้ยินมัน
เธอหันไปยิ้มให้กับนักพรตเป่ยหยวนและน้อมสวรรค์ซวนหยวน และกล่าว “ถึงทีข้าพูดแล้วกระมัง?”
เป่ยหยวน “อามิตตาพุทธ ขอบคุณประสกที่รับช่วงต่อ คงต้องรบกวนแล้ว”
ซวนหยวนพยักหน้าเห็นด้วย
เซี่ยเต๋าหลิงผุดลุก เดินขึ้นไปบนเวที หันหน้ามายังเหล่าผู้ฝึกยุทธทั่วทั้งค่ายทหาร “สงครามครั้งนี้ ได้รับชัยชนะก็เพราะฝีมือของคนคนหนึ่ง ทว่าเขายังไม่ได้รับแต้มความสำเร็จใดๆ จากการต่อสู้ในครั้งนี้ ดังนั้นนี่คือสิ่งที่ข้าจะทำเพื่อเขา”
กล่าวถึงท่อนนี้ เหล่าผู้ฝึกยุทธต่างหุบปากเงียบโดยพร้อมเพรียง
แล้วการต่อสู้ในครั้งนี้ แท้จริงแล้วได้รับชัยชนะได้อย่างไร?
ปรากฏเมฆหมอกและเครื่องหมายคำถามตัวโตๆ อยู่ภายในจิตใจของทุกผู้คน
ก่อนจะเริ่มการสู้รบขั้นแตกหัก สามปราชญ์ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่าจะต้องหาตัวสายลับคนทรยศของมนุษยชาติให้จงได้
จากนั้น ทุกคนก็ต้องก้าวผ่านเข้าไปในเต็นท์หลักของค่ายต้าซาง
ทุกคนจดจำได้แค่ว่า หลังจากที่เดินเข้าไปในเต็นท์ ก็บังเกิดรู้สึกวิงเวียนราวกับโลกหมุน รู้สึกตัวอีกทีก็มาหยุดอยู่ในโลกเล็กๆ ใบหนึ่งแล้ว
ที่นั่น น้อมสวรรค์ซวนหยวนและนักพรตเป่ยหยวนได้ลงมาจัดการกับบุคลากรและกลยุทธ์ของภารกิจด้วยตนเอง และกระตุ้นเตือนทุกคนให้เตรียมพร้อมเอาไว้ ยามออกไปสู่โลกภายนอกอีกครั้ง การต่อสู้จักเริ่มต้นขึ้นในทันที
และเมื่อทุกคนปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ก็ค้นพบว่าตนเองได้มาอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับธารเมฆามารแล้ว
จากตำแหน่งของพวกตนไม่ใกล้ไม่ไกลออกไปบนผืนดิน เต็มไปด้วยเผ่ามารและอสูรวิญญาณที่บาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมาก
ทุกคนได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้อย่างลับๆ เนื่องเพราะไม่มีเวลาที่จะมามัวคาดเดาใดๆ พวกเขาเพียงแค่ทำตามคำชี้แนะของสามปราชญ์ และตระเตรียมความพร้อมที่จะสู้รบโดยเร็วที่สุด
จากนั้น สามปราชญ์ก็ลงมือ ต่อสู้กับมารสวรรค์ด้วยตนเอง และเผ่ามารก็ยอมจำนนลงในที่สุด
ฝูงชนเช่นพวกเขาพวกเพียงทำการควบคุมค่ายกลสู้รบขนาดใหญ่ ระดมยิงใส่มารนักปราชญ์ไปหลายครั้ง จากนั้นก็เพียงแค่เฝ้ามองการต่อสู้ที่สั่นสะเทือนสวรรค์ระหว่างสามปราชญ์และมารสวรรค์ จนนำมาสู่การคว้าชัยชนะได้ในที่สุด
ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ และไม่มีใครตกตาย ทว่าพวกเขากลับได้รับชัยชนะ!
สำหรับทุกคนแล้ว มันยากที่จะเชื่อ
จนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลง ข่าวการทรยศอันน่ารังเกียจของอสูรวิญญาณก็เริ่มแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง
พอรู้เรื่อง ผู้ฝึกยุทธก็แทบจะลืมหายใจ และสัมผัสได้ถึงชั้นอากาศเย็นเยือก
หากในสนามรบ ช่วงเวลาที่ตนเองและเผ่ามารกำลังเพ่งสมาธิ ทุ่มต่อสู้ด้วยพลังทั้งหมดที่มี ทว่ากลับถูกอสูรวิญญาณลอบโจมตีจากเบื้องหลัง ผลพวงที่ตามมาคงมิอาจจินตนาการได้
แล้วใครกันหนอ ที่ได้ค้นพบความลับอันสั่นสะเทือนโลกหล้านี้?
หากไม่มีการค้นพบข้อมูลสำคัญเช่นนี้ เกรงว่าในการต่อสู้ขั้นแตกหัก ภายใต้การร่วมมือประสานของเผ่ามารและอสูรวิญญาณ โอกาสที่มนุษยชาติจะคว้าชัยมันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ว่าแต่ แล้วนักปราชญ์แห่งมนุษยชาติสามารถคว้าชัยชนะได้อย่างไรกัน?
เพราะฝ่ายตรงข้ามที่พวกเขาต้องต่อกร เป็นถึงมารนักปราชญ์ทั้งหมดสิบสามตนอย่างชัดเจน
ด้วยจำนวนนี้ มากพอที่จะสร้างความปวดหัวให้แก่สามปราชญ์และโลกหล้าทั้งใบ ทว่าสุดท้ายพวกเขากลับแก้เกมและคว้าชัยชนะได้อย่างไรกัน?
สิ่งเหล่านี้เป็นปริศนาที่ทำให้หัวใจของผู้ฝึกยุทธรู้สึกคันยิบๆ และแทบจะไม่อาจเฝ้ารอที่จะรู้ถึงความจริงของเรื่องราวได้
ทว่าก็ไม่มีใครกล้าริเริ่มเอ่ยถามกับสามปราชญ์
แต่ในตอนนี้ นางเซียนไป่ฮั่วก็กำลังจะบอกเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว
ในสายตาของผู้ฝึกยุทธทั้งหมด เห็นแค่เพียงปากของนางเซียนไป่ฮั่วเผยอออก บังเกิดรอยยิ้มจางๆ
“เพียงคนเดียว ได้มุ่งลึกเข้าไปตรวจสอบในอาณาเขตของเผ่ามาร และค้นพบความจริงเกี่ยวกับการกบฏของอสูรวิญญาณในครานี้”
ฝูงชนเริ่มกระสับกระส่าย คนแล้วคนเล่าเริ่มเอ่ยปากพูดคุยเกี่ยวกับมัน
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!
อย่างไรก็ตาม นางเซียนไป่ฮั่วก็ยังคงเอ่ยต่อ “ไม่เพียงแค่เท่านั้น บุคคลผู้นี้ยังเป็นคนต้นคิดถึงอุบายที่นำมาใช้เป็นยุทธวิธีในการสู้รบขั้นแตกหักในครั้งนี้อีกด้วย”
“กระทั่งยุทธวิธีนี้ก็ยังเป็นความคิดของเขา! หลังจากที่ข้า ซวนหยวน และเป่ยหยวนหารือกัน ต่างก็ลงความเห็นว่านี่เป็นกลยุทธ์ที่สมบูรณ์แบบและเหมาะสมใช้งานที่สุดแล้ว”
“สำหรับผลลัพธ์ของการจัดวางยุทธวิธีในครั้งนี้ พวกเจ้าทุกคนคงได้เชยชมมันด้วยตาตนเองแล้ว”
“หกมารนักปราชญ์ได้ถูกส่งไปยังโลกอื่น และไม่อาจหวนคืนกลับมาได้อีกต่อไป”
“อสูรวิญญาณนับพันนับหมื่น และแม้กระทั่งเผ่ามารนับหมื่นนับแสน ที่หมายจะเอาชีวิตเรา ก็ยังถูกซ้อนแผน ได้รับบาดเจ็บสาหัสและตกตายกันไปเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้พวกมันมิอาจขับสู้กับพวกเราได้อีกต่อไป”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ นางเซียนไป่ฮั่วก็ค่อยเบาเสียงลง “ทว่าเมื่อข้ามาถึงแนวหน้า กลับพบว่าเขาถูกรังแกโดยคนพาล และถูกบังคับให้แยกตัว ออกห่างจากทุกผู้คน”
บังเกิดความวุ่นวายขึ้นในหมู่ผู้ฝึกยุทธ
เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกยุทธเหล่านี้มิใช่ตัวโง่งม เมื่อได้ยินประโยคนี้ พวกเขาก็รับรู้แล้วว่านางเซียนไป่ฮั่วกำลังเอ่ยถึงผู้ใด
แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังแทบไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี
นางเซียนไป่ฮั่วกล่าวอย่างจริงจัง “นายทหารชั้นพันตรี กู่ฉิงซาน”
“ขอรับ”
ท่ามกลางสายตาของสาธารณชน กู่ฉิงซานได้ก้าวเดินออกมาอีกครั้ง
“เจ้าได้เปิดเผยถึงความจริงของการคิดคดก่อกบฏของอสูรวิญญาณ ช่วยให้ชีวิตของเหล่าผู้ฝึกยุทธรอดตายมาได้มากมาย ความสำเร็จทางกองทัพในครั้งนี้ช่างยิ่งใหญ่นัก”
“และด้วยแผนการพิสดารของเจ้าอีกเช่นกัน ที่สามารถช่วยชีวิตพวกข้าสามปราชญ์เอาไว้ ส่งผลให้พวกมารได้รับกรรมจากการกระทำของตนเอง สามารถกำจัดหกมารนักปราชญ์แห่งเผ่ามารได้โดยสมบูรณ์ นี่ก็นับได้ว่าเป็นความสำเร็จทางกองทัพที่ใหญ่ยิ่ง”
“ในการต่อสู้ครั้งนี้ เจ้าได้แสดงถึงพรสวรรค์ของตนออกมามากมาย และพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเจ้านั้นมีความสามารถในการเป็นผู้บัญชาการรบที่ดี”
“ด้วยจำนวนการสั่งสมแต้มความสำเร็จทางกองทัพทั้งสองนี้ มันมากพอที่จะเลื่อนยศเจ้าจนทะลุขึ้นไปเหนือยิ่งกว่าชั้นนายทหาร!”
นางเซียนไป่ฮั่วมองไปยังศิษย์ฝึกหัดของตน ในหัวใจเปี่ยมไปด้วยความสุข
เธอประกาศ “หลังจากที่พวกเราสามปราชญ์ได้ปรึกษากันแล้ว จึงตัดสินใจว่าจะปูนบำเหน็จให้เจ้าขึ้นเป็น นายพลชั้นโหยวจี”
“ข้าน้อมรับด้วยความเต็มใจ!”
“ใครก็ได้ มามอบเกราะทองคำและเปลี่ยนบัตรยืนยันตัวตนให้เขาที”
“ขอบคุณนักปราชญ์เซี่ย”
ด้วยบทสนทนาระหว่างนางเซียนไป่ฮั่วและกู่ฉิงซาน ส่งผลให้ทั่วทั้งค่ายทหารระเบิดเสียงฮือฮากึกก้อง!
ที่แท้เป็นเขา!
เรื่องราวทั้งหมดเหล่านี้ เป็นฝีมือของเขา!
ทุกคนไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ก็เข้าใจได้ในทันใด มิน่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดอสูรวิญญาณจึงป้ายมลทินให้แก่เขา มันเป็นไปได้ว่ามารสวรรค์อาจจะตระหนักถึงแล้วก็ได้ว่ากู่ฉิงซานได้ค้นพบความจริงในข้อนี้แล้ว
แต่น่าเสียดายที่หวู่สิงเหวินดันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ยังบ้าจี้เชื่อคำของอสูรวิญญาณใส่ร้ายเขา
หากมิใช่เพราะข้อมูลการก่อกบฏอสูรวิญญาณของกู่ฉิงซาน เหล่านักปราชญ์ก็คง…
ผู้คนจำนวนมากแตะลงบนเอวของตนเอง จินตนาการไปถึงภาพของอสูรวิญญาณที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมาในทันที และโถมโจมตีเข้าใส่ตนเอง
เพียงแค่จินตนาการ ก็พอจะบอกได้ว่ามันเป็นฉากที่น่าสยดสยองยิ่ง!
ทว่าในบรรดาคนเหล่านี้ ก็ยังมีบางผู้คนที่ยังไม่เชื่อสนิทใจ พวกเขาหันไปมองนักปราชญ์อีกสองคนที่เหลือ
นักพรตเป่ยหยวนและน้อมสวรรค์ซวนหยวนยิ้ม พวกเขาพยักหน้าและปรบมือสรรเสริญ
คราวนี้มิมีผู้ใดบังเกิดข้อสงสัยอีกต่อไป
ดูจากปฏิกิริยาของสองปราชญ์ ก็เพียงพอที่จะทดแทนคำตอบทุกอย่างแล้ว เรื่องที่ว่านางเซียนไป่ฮั่วอาจจะคิดยกความดีความชอบให้แก่ศิษย์ตน มันจึงเป็นไปไม่ได้
ยามที่ผู้ฝึกยุทธมองไปยังกู่ฉิงซานอีกครั้ง แววตาของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนไป
บางคนรู้สึกโล่งใจ ขณะที่บางคนแฝงซึ่งความละอาย และแน่นอนว่าย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีบางคนกำลังคิดถึงการขออภัย
การฝึกยุทธ คือการปลูกฝังการปฏิบัติทางความคิดและจิตวิญญาณ แม้กระทั่งคนตาบอด หลังจากที่รู้ว่าตนนั้นผิด ก็สมควรที่จะกระทำการแก้ไขให้มันถูกต้อง
หากมิคิดทำสิ่งใดเลย จิตแห่งเต๋าของพวกเขาก็จะถูกขวางกั้น และนั่นจะไม่ก่อประโยชน์ใดๆ แก่ตนเองเลย
บังเกิดเสียงคร่ำครวญอันแสนสาหัสขึ้นอีกครั้ง แม้ว่าตอนแรกเริ่มจะมีบางผู้คนกระซิบ และเผยถึงความเห็นใจหวู่สิงเหวินอยู่บ้าง ทว่าตอนนี้กลับไม่มีผู้ใดแยแสหรือให้ความสนใจแก่เขาอีกเลย
ดูเหมือนว่าบุคคลผู้นี้และเสียงคร่ำครวญของเขา จะกลายเป็นเพียงอากาศธาตุไปเสียแล้ว
“ยอดเยี่ยมนัก เอาล่ะ ข้ายังมีอีกสองสิ่งที่จะประกาศ” นางเซียนกล่าว
“สิ่งแรก อสูรวิญญาณทั้งหมดนับจากนี้ไปจะต้องปฏิญาณตนว่าจะละทิ้งซึ่งจิตแห่งมาร และจักต้องผูกพันธะโดยเผ่ามนุษย์”
“หากมีอสูรวิญญาณตนใดปฏิเสธที่จะละทิ้งซึ่งจิตแห่งมาร พวกมันจะไม่ได้รับอนุญาตให้ติดต่อใดๆ กับเผ่ามนุษย์อีกต่อไป”
“หากละเมิด มันจะได้รับการลงทัณฑ์โดยการถูกฆ่าทิ้งอย่างทารุณ”
ในหัวใจของทุกผู้คนบังเกิดความหวาดกลัว ไม่มีใครกล้าจะเอ่ยขัดอะไรออกมา
ไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายใดๆ มีเพียงคำเดียว คือคำว่าฆ่า ก็พอจะบ่งบอกถึงทุกสิ่งแล้ว
นี่แหละคือวิถีนักปราชญ์ของเซี่ยหลิงเต๋าล่ะ!
“สอง พวกเจ้าทั้งหมดจงพักผ่อนเสีย แล้วสามวันต่อจากนี้”
เธอหยุดลง ขณะที่เหล่าผู้ตั้งใจฟังจนลืมหายใจ
ผู้ฝึกยุทธบางส่วนเริ่มกระวนกระวาย กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ขณะที่บางส่วนจ้องเธอเขม็ง ทว่าอีกฝ่ายกลับยังคงมิเอ่ยคำใดเลย
ค่ายทหารกลับคืนสู่ความเงียบงันอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครพูด ไม่มีใครเคลื่อนไหว
ทั้งหมดนิ่งงันโดยสมบูรณ์
เซี่ยเต๋าหลิงกวาดสายตาไปยังฝูงชน น้ำเสียงดังขึ้น ปากเอ่ยตะโกนลั่น “พวกเราจะบุกโจมตีไปยังโลกเทวะ!”
ทันใดนั้นเหล่าผู้ฝึกยุทธก็ระเบิดเสียงตอบรับออกมาดังก้อง เสียงคำรนคำรามสะท้อนไปทั่ว กังวานไกลออกไปอย่างไม่รู้จบ
........................................