ตอนที่ 142 ออกเดินทาง
ในบรรดาคนเหล่านี้ หนึ่งในนั้นสวมเกราะรบที่เหมือนกันกับของกู่ฉิงซาน ส่วนอีกสองคนสวมเกราะรบสีเทาเหล็กที่ฝังตราประทับสีเขียวเอาไว้
นั่นคือเกราะรบของนายทหารชั้นร้อยเอก แม้ว่าระดับเกราะรบของพวกเขาจะต่ำกว่าหากเทียบกับนายทหารชั้นพันตรี ทว่ายศทหารของพวกเขาก็นับว่าไม่เลวร้ายเลยหากต้องอยู่ร่วมทีมเดียวกัน
ในขณะที่ยังคงมีเวลาเหลือ ทั้งสามก็คารวะทักทาย เอ่ยแนะนำตัวกันและกัน
“ข้า หลี่ชูเฉินแห่งนิกายหลิงเฉาอสูรวิญญาณ”
“ข้า จางฟางแห่งสำนักดาบฉีซานภูผาทิศประจิม”
“ข้า ไป่ไฮ่ตงแห่งสำนักเหยากวาง”
“ข้า กู่ฉิงซานแห่งนิกายร้อยบุปผา”
หลังจากที่ทั้งสี่แนะนำตัวกันเสร็จ ไป่ไฮ่ตงก็หันมามองกู่ฉิงซานและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่เหลิงมักจะกล่าวถึงเจ้าให้ข้าฟังบ่อยๆ”
“เจ้าเป็นศิษย์น้องของเหลิงเทียนสิงกระนั้นหรือ? เช่นนั้นข้าคงมิต้องกังวลว่าพวกเราจะเข้ากันไม่ดีแล้วล่ะ” กู่ฉิงซานยิ้มตอบ
ทั้งสามคนในทีมยังเยาว์วัยอยู่มาก อาจจะอยู่ในช่วงอายุยี่สิบต้นๆ จางฟางกับหลี่ชูเฉินอยู่ในขอบเขตก่อตั้งขั้นสูงสุด ส่วนไป่ไฮ่ตงยังอยู่ในขอบเขตก่อตั้งขั้นปลาย
ในทีมนี้ กู่ฉิงซานนับว่ามีพื้นฐานวรยุทธต่ำสุด แต่ขณะเดียวกันเขาก็อายุน้อยที่สุดเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครคิดดูถูกเขา
ทั้งสามเป็นผู้ฝึกยุทธที่สามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตก่อตั้งได้ตั้งแต่อายุยังน้อย นอกจากนี้ยังสั่งสมความสำเร็จทางกองทัพมานานจนได้รับการเลื่อนยศมาถึงระดับนี้ พวกเขาทุ่มเวลาออกไปมากมาย กล่าวได้ว่าเป็นบุตรที่สวรรค์ภาคภูมิใจ
ทว่ากู่ฉิงซานกลับจู่ๆ สามารถเลื่อนยศขึ้นมาเป็นนายทหารชั้นพันตรีได้เลย นั่นบ่งบอกว่าเขามีความสามารถอย่างแท้จริง และต้องมีอะไรที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอนจึงจะสามารถก้าวกระโดดได้เช่นนี้
ความสำเร็จทางทหารไม่มีทางที่จะโกหก
นอกจากนี้ เขายังเป็นถึงศิษย์ของนักปราชญ์ไป่ฮั่ว
สามรุ่นเยาว์เบื้องหน้ามิใช่ครอบครองเพียงพรสวรรค์ ทว่าทางด้านหัวคิดก็ยังไม่เลว นั่นทำให้พวกเขาตระหนักดีถึงความพิเศษกู่ฉิงซาน
หลี่ชูเฉินมองไปยังกู่ฉิงซาน หนึ่งกำปั้นประสานหนึ่งฝ่ามือและกล่าว “ที่แท้ก็ปรากฏว่า ผู้ที่พวกเราได้อยู่ร่วมทีมด้วยคือเจ้าของสมญาสิบห้าดาบนี่เอง”
มุมปากของทุกคนยกสูงขึ้นด้วยรอยยิ้มอย่างเห็นได้ชัด เรื่องราวของการทดสอบประจำปีในปีนี้ ได้ถูกเล่าลือแพร่กระจายออกไปอย่างกว้างขวาง
นิกายร้อยบุปผา ศิษย์ของนักปราชญ์ ชายหนุ่มผู้ฝึกดาบ เมื่อเร็วๆ นี้นับว่าค่อนข้างมีชื่อเสียงมากทีเดียว
จางฟางเอ่ยถาม “สหายเต๋ากู่ เมื่อครู่ข้าเห็นเจ้าตรงไปยังสำนักงานตรวจสอบความสำเร็จทางกองทัพ ใช่เพราะได้เก็บเกี่ยวแต้มความสำเร็จเพิ่มเติมมาหรือไม่”
กู่ฉิงซานมองไปยังอีกฝ่าย ที่ซึ่งอยู่ในยศนายทหารชั้นพันตรีเช่นเดียวกันกับเขา หากเทียบกับไป่ไฮ่ตงและจางฟางแล้วนั้น ระดับของชายผู้คนสูงกว่าอยู่หนึ่งขั้น
“เป็นเช่นนั้น ในยามที่ข้าอยู่ในกองพันทหารม้า ได้ทำการบันทึกรูปลักษณ์ และจุดอ่อนของมอนสเตอร์เอาไว้ จึงนำมันไปส่งมอบให้พวกเขา” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างสงบ
อีกสามคนหันมามองหน้ากัน
เจ้าของสมญาสิบห้าดาบผู้นี้ แท้จริงแล้วมีพื้นเพมาจากกองพันทหารม้า
ได้ยินมาว่าที่นั่นเกิดการสู้รบในระดับที่เรียกได้ว่าเลวร้ายที่สุด การที่สามารถรอดกลับมาจากที่นั่นได้ นับว่าเป็นสิ่งที่ดีแล้ว
ที่นั่นเต็มไปด้วยเผ่ามารหลากหลายประเภท สายพันธุ์มากมายไม่สิ้นสุด
เผ่ามารแต่ละประเภทจะมีความสามารถในการโจมตีที่แตกต่างกันออกไป การต่อสู้กับพวกมันจำต้องตระเตรียมแผนการมากมายเผื่อสถานการณ์ไม่คาดคิด ซึ่งนั่นทำให้ภาระที่เหล่าผู้ฝึกยุทธต้องแบกรับหนักหนาเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าด้วยบันทึกมอนสเตอร์ที่ถูกเก็บรวบรวมมาโดยกู่ฉิงซาน ที่สามารถนำมาแลกความสำเร็จทางกองทัพได้ ชัดแจ้งว่ามันต้องเป็นข้อมูลของแท้และถูกต้องอย่างแน่นอน มิฉะนั้นคงไม่อาจหลุดรอดสายตาของเหล่าผู้ฝึกยุทธในสำนักงานตรวจสอบความสำเร็จไปได้
จางฟางกล่าว “ในเมื่อเจ้าสามารถล่วงรู้ได้ถึงจุดอ่อนของมอนสเตอร์ การร่วมเดินทางของพวกเราในครั้งนี้คงมิจำเป็นต้องวิตกเกินไปนัก”
คำกล่าวที่ดูไม่จริงใจนี้ สื่อความหมายเป็นคำสั่งถึงกู่ฉิงซานโดยตรง ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมีปัญหากับเขา
นั่นก็เพราะในบรรดาทั้งสี่ มีเพียงเขาและกู่ฉิงซานเท่านั้นที่เป็นนายทหารชั้นพันตรี
เนื่องจากจางฟางมีใจหมายจะเป็นผู้บัญชาการ หากไม่ใช่เขาเอ่ยสั่ง ก็ต้องเป็นกู่ฉิงซาน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะให้นายทหารชั้นพันตรีสองคนสลับกันออกคำสั่งได้
อย่างไรก็ตามไป่ไฮ่ตงที่เป็นศิษย์น้องของเหลิงเทียนสิงดูจะนับถือกู่ฉิงซานไม่น้อย หลี่ชูเฉินก็เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่คิดเอ่ยขัดใดๆ
ด้วยเหตุนี้ กลุ่มเล็กที่รวมตัวกันชั่วคราวนี้จึงถือกำเนิดขึ้น
ผู้ฝึกยุทธบังคับกฎก้าวเดินเข้ามา และแจกจ่ายเงินเดือนให้แก่ทั้งสี่ นายทหารชั้นพันตรีจะได้รับสามร้อยศิลาวิญญาณคุณภาพต่ำ ส่วนนายทหารชั้นร้อยเอกจะได้รับสองร้อยศิลาวิญญาณคุณภาพต่ำ
จางฟางเก็บศิลาวิญญาณลงในถุงสัมภาระ และกล่าว “ข้ามิรู้ว่าจะมีชีวิตต่อไปได้อีกนานเท่าใด ดังนั้นในเมื่อมีเงินก็สมควรจะใช้มัน ไว้ยามว่างเว้นหลังจากนี้ ขอเชิญทุกท่านมายังที่พักของข้า ข้าจะเป็นคนเลี้ยงสุราเอง”
กู่ฉิงซานที่พึ่งสวมชุดเกราะรบเสร็จก็เอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเจ้าเชิญแล้ว ก็อย่าลืมเปลี่ยนมาให้ข้าเชิญด้วยล่ะ”
หลายคนหัวเราะออกมา บรรยากาศกลมเกลียวพลันบังเกิดขึ้น
ในเวลานั้นเอง ผู้ฝึกยุทธบังคับกฎก็ตรงกลับมาอีกครั้ง ปากเอ่ยตะโกนสั่ง “กู่ฉิงซาน ซางฟาง หลี่ชูเฉิน ไป่ไฮ่ตง จงเตรียมตัวให้พร้อม”
“ขอรับ!”
ทั้งสี่กลายเป็นเคร่งครัด บรรยากาศผ่อนคลายเมื่อครู่มลายหายไปในฉับพลัน
พวกเขาก้าวเดินออกไปจนกระทั่งมาหยุดอยู่เบื้องหน้านายพล
นายพลที่สวมเกราะสีทองจ้องมองทั้งสี่ ก่อนจะเอ่ยปากกล่าว “ครั้งหนึ่งในช่วงเวลาที่ข้าอยู่ในขอบเขตก่อตั้ง ข้าก็เคยออกปฏิบัติภารกิจเช่นเดียวกับพวกเจ้าเช่นกัน”
เขาออกคำสั่ง “พวกเจ้าทั้งสี่จงไปยังค่ายหุบเขาธารน้ำตก...เริ่มปฏิบัติได้ในทันที ห้ามล้มเหลวเด็ดขาด!”
เขาสัมผัสลงบนรูนที่สลักเอาไว้บนลูกศรและกล่าว “‘ศรกริ่ง’ นี้มีเพียงแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น หากจะใช้มัน จงขบคิดอย่างรอบคอบเสียก่อน”
“รับคำสั่ง!”
สี่คนประสานสองกำปั้นของตนเข้าหากัน
กู่ฉิงซานรับศรกริ่งมาไว้ในอ้อมแขน
เมื่อออกจากค่ายทหาร ทั้งสี่ก็เรียกอสูรวิญญาณของตนออกมา เหินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ผ่านพ้นไปครึ่งชั่วโมง
“พวกเราจะต้องบินต่อไปอีกนานแค่ไหนกัน?” ซางฟางเอ่ยถาม
เมื่อเข้าสู่เขตสงคราม การบินอยู่บนน่านฟ้าย่อมต้องตกเป็นเป้าของเผ่ามารที่อาศัยอยู่ คงจะมีเพียงแค่ผู้ฝึกยุทธชั้นยอดเท่านั้นที่สามารถกระทำเช่นนี้ได้ คนอื่นๆ นอกเหนือจากนั้นไม่มีใครกล้าหรือสมควรที่จะบินอย่างอิสระจนตกเป็นเป้าสายตาเช่นนี้
กู่ฉิงซานกวาดสายตาลงบนแผนที่และกล่าว “หลังจากผ่านไปอีกสองร้อยลี้จะเข้าสู่พื้นที่สนามรบ พวกเราจะร่อนลงที่นี่และเปลี่ยนมาเป็นเดินเท้ากัน”
“รับทราบ” หลายคนพยักหน้า ทว่าเริ่มเกิดความหนักอึ้งขึ้นในจิตใจ
พวกเขากำลังจะใกล้เข้าสู่สนามรบแล้ว
หลังจากนั้นเอง กู่ฉิงซานโบกมือชี้ออกไป “เราจะร่อนลงกันที่นั่น”
ทั้งหมดร่อนลง
เบื้องหน้าเป็นหุบเขาและป่าทึบ ทว่าพวกเขากลับไม่ได้ยินเสียงนกหรือแมลงร้องออกมาเลย
ราวกับว่าทั่วทั้งหุบเขา ได้สูญสิ้นชีวิตชีวาทั้งหมดไปแล้ว
ไป่ไฮ่ตงยื่นมือออกไปคว้าจับอากาศเบื้องหน้า ลากมันมาสูดดมกลิ่นใต้จมูกของเขา “ในช่วงสามวันที่ผ่านมา ไม่ปรากฏปราณแห่งความตายขึ้นที่นี่” เขากล่าว
ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นผู้ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ก็ผู้ใช้เทคนิคเทียนซวน แต่คนอื่นๆ อีกสามคนก็มิได้คิดจะเอ่ยถามออกมา
ไม่มีปราณแห่งความตาย นั่นหมายความว่ามีโอกาสเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะไม่จำเป็นต้องต่อสู้
ความตึงเครียดของหลายคนบรรเทาลงเล็กน้อย
กู่ฉิงซานกล่าว “พวกเราคงต้องมาทำความเข้าใจถึงพลังของแต่ละคนกันก่อนเป็นอันดับแรก จะได้ประสานงานกันได้ดีขึ้น”
“งั้นข้าขอพูดก่อนก็แล้วกัน ข้าเป็นผู้ฝึกยุทธผู้ใช้ธาตุทั้งห้า ธาตุน้ำและสามารถปลดผนึกได้ถึงขั้นที่สองแล้ว” ไป่ไฮ่ตงกล่าว
“นิกายของข้า แม้จะมีชื่อว่าสำนักดาบ แต่ตัวข้านั้นสันทัดเชิงหอก” จางฟางกล่าว
“ส่วนข้านั้นเป็นปรมาจารย์อสูรวิญญาณ ครอบครองอสูรวิญญาณประเภทสำรวจอยู่หลากชนิด นอกจากนี้ยังเป็นนักสู้หวูเต๋าอีกด้วย…ทว่าก็มิได้เก่งอาจอันใดนัก” หลี่ชูเฉินกล่าว
กู่ฉิงซานพยักหน้าและกล่าว “ส่วนข้าเป็นผู้ฝึกดาบ”
เขาจัดกระบวนทัพอย่างรวดเร็ว “เช่นนั้นข้าจะอยู่แนวหน้า ซางฟาง เจ้าคอยอยู่แนวหลัง น้องชูเฉินให้ควบคุมอสูรวิญญาณขนาดเล็ก คอยตรวจสอบและสังเกตการณ์ทางด้านซ้ายและขวา สำหรับไป่ไฮ่ตง เจ้ามาอยู่ข้างหลังข้า อยู่ในใจกลางทัพและคอยสอดส่องทั้งสี่ทิศทาง”
พอทั้งสามได้ฟัง ก็ตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน “รับทราบ”
ด้วยการจัดทัพดังกล่าว ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว
หลี่ชูเฉินรู้สึกโล่งใจ
เขาเกรงว่าตนจะได้พบกับนายทหารระดับสูงที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว เอ่ยสั่งการมั่วๆ อย่างการให้อสูรวิญญาณประเภทสำรวจของเขา ไปอยู่ในทัพหน้าสุดแทน
อสูรวิญญาณประเภทสำรวจนั้นไม่เหมาะสมที่จะใช้ต่อสู้ ดังนั้นสำหรับอสูรวิญญาณประเภทสำรวจจึงไม่สามารถอยู่ในทัพหน้าสุดได้
หากมันบังเอิญไปพบเจอกับเผ่ามารที่ดุร้าย พวกมันคงถูกจับกินในทันที
มันเป็นเรื่องยากที่จะฝึกฝนอสูรวิญญาณ หากพวกมันทั้งหมดตกตายลงอย่างฉับพลัน นี่เป็นเรื่องที่ปรมาจารย์อสูรวิญญาณอย่างเขาอดไม่กังวลไม่ได้จริงๆ
ตำแหน่งที่ดีที่สุดที่อสูรวิญญาณสมควรจะอยู่มีอยู่สองตำแหน่ง นั่นคือตำแหน่งรองหน้าสุดหรือรองหลังสุด และสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ตลอดเวลาตามแต่ละสถานการณ์
เมื่อถึงช่วงเวลาที่การต่อสู้ที่แท้จริงได้เริ่มต้นขึ้น เขาจะได้มีเวลาเรียกอสูรวิญญาณกลับคืนและส่งอสูรวิญญาณที่เหมาะสมกับสถานการณ์ต่อสู้ออกไป นี่จึงจะเป็นหลักการที่ถูกต้องที่สุด
กู่ฉิงซานเรียกดาบพิภพออกมา กวัดแกว่งมันเปิดเส้นทางเดินนำหน้าเข้าไปภายในป่าทึบ
มองไปยังท่าทีที่ดูเยือกเย็นและไม่ลังเลใจของเขา อีกสามคนก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย และติดตามเข้าไปด้วยกัน
สองชั่วยามต่อมา
ทั้งสี่คนนั่งพักผ่อนอยู่ในจุดหนึ่ง
“ถ้าวัดตามความเร็วของพวกเรา พวกเราจะสามารถไปถึงค่ายหุบเขาธารน้ำตกได้ในตอนเที่ยงของวันพรุ่ง” กู่ฉิงซานกล่าว
“ดูเจ้าเหมาะที่จะสั่งการแบบนี้มากเลยนะ ถ้าอย่างนั้นเรื่องใช้กำลังน่ะไว้ยกให้เป็นหน้าที่ของข้าเองก็แล้วกัน” จางฟางกอดอก กล่าวคำหนึ่ง
หลี่ชูเฉินและไป่ไฮ่ตงพยักหน้าเห็นด้วย
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาเมื่อครู่นี้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดทัพ ตรวจสอบทิศทาง กู่ฉิงซานก็ได้แสดงให้เห็นถึงประสบการณ์ดั่งผู้เชี่ยวชาญในแนวหน้า หลายคนในทีมต่างก็มีประสบการณ์ต่อสู้ในแนวหน้าเช่นกัน ดังนั้นเพียงแค่เฝ้าสังเกต พวกเขาก็เริ่มที่จะยอมรับในตัวของอีกฝ่ายแล้ว
“ตกลง ถ้าอย่างนั้นฉันจะจัดการในส่วนนี้เอง” กู่ฉิงซานมิได้จงใจปฏิเสธ ยังคงกล่าวอย่างใจเย็น
ในชีวิตก่อนหน้า เขาเป็นถึงผู้บัญชาการเชิงกลยุทธ์ และมีประสบการณ์การต่อสู้กับเผ่ามารไม่ด้อยไปกว่าใครหน้าไหน ทว่าสุดท้ายนั่นก็เป็นเพียงตัวตนเก่าอยู่ดี
ทั้งสี่นั่งพักผ่อน ดื่มกินน้ำและอาหารแห้ง ก่อนจะลุกขึ้นและเริ่มออกเดินทางต่อ
ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดพวกเขาก็สามารถข้ามผ่านป่าทึบ ก้าวเข้าสู่ทุ่งโล่งได้
“ช้าก่อน!” กู่ฉิงซานโพล่งออกมาอย่างกะทันหัน
เขาหรี่ตาเพ่งมอง กวาดออกไปทั่วทุกพื้นที่
ในความคลุมเครือบางอย่างนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณอันบางเบาที่ซ่อนเร้นอยู่ได้
ในพื้นที่บริเวณนี้ เคยเกิดการต่อสู้ขึ้นใช่หรือไม่?
ทั้งสามที่ยืนอยู่เบื้องหลัง เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของเขา ก็ตั้งท่าเตรียมพร้อมทันที
“มีเรื่องอะไรงั้นหรือ?” มือของหลี่ชูเฉินคว้าจับลงในถุงอสูรวิญญาณ เอ่ยถามเสียงกระซิบ
“สหายเต๋าไป่ เจ้าลองมาช่วยข้าตรวจสอบมันดูอีกครั้งสิ” กู่ฉิงซานเอ่ยเสียงทุ้ม
ไป่ไฮ่ตงพอได้ฟัง ก็ยื่นมือออกไปคว้าจับสายลมในอากาศที่ว่างเปล่า ก่อนจะลากมันเข้ามาสูดดมใต้จมูก
“ปราณแห่งความตายนี่ยังไม่หนาแน่นนัก ทว่ากลิ่นอายของเลือดกลับหนาแน่นมาก ส่วนกลิ่นอายของเผ่ามาร…ส่วนใหญ่จะมาจากในทิศทางนั้น”
เขาชี้เข้าไปในส่วนลึกของป่าทึบ
........................................