webnovel

IANZO Since 2040

ในอนาคตที่โลกได้ดำเนินมาถึงจุดที่มนุษย์ไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อีกต่อไป นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งก็ได้ทำการทดลองจนได้รับสิ่งที่ถูกนิยามว่า 'เวทมนตร์' ขึ้นมาใช้กอบกู้โลกที่มืดมนเหลือเกินในตอนนั้นให้กลับมาสงบสุขเรื่อยมาและก่อเกิดเป็น ‘เอียนโซ’ องค์กรนักเวทมนตร์ผู้ถูกสรรเสริญเป็นวีรบุรุษกอบกู้โลกในปี 2040 เรื่องราวการเดินทางของ ‘วีโอเลต รอจเจอร์’ เด็กสาวที่เกิดจากครอบครัวธรรมดา ผู้มีความฝันเกินกว่าความธรรมดา เธอฝันอยากจะก้าวข้ามไปอยู่ในโลกของนักเวทมนตร์เหมือนกับพ่อของเธอที่สละชีวิตเพื่อปกป้องโลกใบนี้ไปตั้งแต่ก่อนเธอจะลืมตาขึ้นมาดูโลกเสียอีก...ทว่าสุดท้ายแล้วเธอกลับลงเอยด้วยการกลายเป็น ‘นักเวทมนตร์นอกรีด’ ศัตรูตัวฉกาจขององค์กรเอียนโซอย่างปริศนา... จุดหักเหแห่งชีวิตของนักเวทมนตร์นอกรีดผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคตคนนี้มาจากอะไร? ยังคงเป็นเรื่องราวลึกลับและไม่อาจคาดเดาได้...

O_Jay · Fantaisie
Pas assez d’évaluations
42 Chs

บทนำ : เอียนโซ แห่งปราสาทนักเวทมนตร์

บทนำ

(IANZO)

เมื่อวิทยาศาสตร์ได้ก่อกำเนิดพลังงานพิศวงที่ผู้คนให้คำนิยามว่า 'เวทมนตร์' ขึ้นมาเพื่อยับยั้งเหตุการณ์เลวร้ายของโลกในปีค.ศ. 2040 พวกเขาได้รับการยกย่องสรรเสริญเป็นวีรบุรุษของโลกและได้ก่อตั้งองค์กร 'เอียนโซ' ขึ้น ทั้งยังก่อสร้างโลกจำลองไว้ในขวดโหลเวทมนตร์ขนาดเล็กจิ๋วเพื่อเป็นที่อยู่ของเหล่านักเวทมนตร์ผู้กอบกู้โลก...และนั่นคือฉากหน้าที่ทุกคนรู้เกี่ยวกับองค์กร

เวลาผ่านไป เหล่ารุ่นลูกรุ่นหลานที่เกิดมาจากนักเวทมนตร์ผู้ผ่านการทดลองขององค์กร 'บางคน' ได้รับพลังเวทมนตร์ติดตัวมาด้วยตั้งแต่แรกเกิด พวกเขาจะถูกประทับตราตัวอักษร 'M' ตั้งแต่นั้น และถูกเรียกว่า 'เมจ'

การกำเนิดของเมจนำพามาซึ่งความหวังว่านักเวทมนตร์จะเพิ่มขึ้นจนมากพอที่จะช่วยกอบกู้และดูแลความสงบสุขของโลกไปได้ตลอดกาล...พวกเขาเหล่านั้นที่เกิดมาพร้อมความพิเศษจึงได้รับอภิสิทธิ์มากมายตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาดูโลก ไม่ว่าจะเป็นการดูแลเรื่องเงินทองเพื่อให้ครอบครัวได้ดูแลพวกเขาอย่างดีจนโตขึ้นมาเป็นนักเวทมนตร์ตามที่ทุกคนคาดหวังไว้

และสิ่งนั้นทำให้ทุก ๆ ครั้งที่มีทารกกำลังจะเกิดขึ้นมา...พวกเขาจะถูกคาดหวังตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ว่า 'ถ้าเกิดมาเป็นเมจก็คงจะดีสินะ' และถ้ายิ่งพวกเขาได้เป็นเมจขึ้นมาจริงๆ ก็จะถูกคาดหวังต่อในทันทีทั้งที่ยังไม่ทันรู้เรื่องราวอะไรเลยว่า 'ลูกเราจะต้องโตขึ้นเป็นนักเวทที่ดีมากแน่ ๆเลย'

โลกที่เคยผ่านห้วงเวลาแห่งความสิ้นหวังย่อยยับมา บัดนี้กลับเต็มไปด้วยความคาดหวังที่พวกเขาต่างเอาไปวางไว้กับเด็กทุกรายที่คลอดออกมา...ความคาดหวังที่อาจจะมากเกินไปสำหรับเด็กที่เพิ่งจะได้ออกจากท้องแม่มา...

ปี ค.ศ. 2160

ณ ปราสาทเวทมนตร์สไตล์โบราณสีขาวสว่างหลังคาน้ำตาลแดง ปกคลุมไปด้วยออร่าพลังงานสีฟ้าน้ำทะเลประกายระยิบระยับซึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นที่เกาะกลางแม่น้ำ พื้นหลังคือท้องฟ้าสีครามที่สดใสและสมจริงจนไม่อาจทำใจเชื่อได้ว่าสิ่งเหล่านั้นถูกบรรจุอยู่ในขวดโหลเวทมนตร์ที่ตั้งอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลก

ด้านในของปราสาทถูกแบ่งเป็นบริเวณห้องต่างๆตามการใช้งาน ทั้งห้องเรียนสำหรับนักเวทมนตร์ฝึกหัด ห้องพักศาสตราจารย์ ห้องอาหาร ห้องวัดระดับพลังงานเวทมนตร์ และอื่นๆอีกมากมาย ทุกๆห้องตกแต่งด้วยสไตล์ลอฟท์ เน้นเป็นปูนเปลือยสีเทาขาวสว่าง ข้าวของเครื่องใช้สไตล์โมเดิร์นถูกจัดวางอย่างเรียบง่ายเสียจนขัดกันกับด้านนอกของตัวปราสาท

นอกเหนือจากห้องทั่วไปแล้ว ยังมีประตูทางเข้าลับๆที่แอบอยู่ในมุมหนุ่งของผนัง ซึ่งดูเหมือนว่าคนที่จะเข้าไปได้จะต้องได้รับอนุญาตเท่านั้น บุคคลผู้ได้รับอนุญาตจะต้องประทับฝ่ามือลงบนผนังในตำแหน่งที่กำหนดไว้ เขาคนนั้นจึงจะถูกพาวาร์ปเข้าไปยัง...

ชั้นใต้ดิน ปราสาทเอียนโซ

บัดนี้ กลุ่มคนร่วมยี่สิบคนที่สวมชุดคลุมสีดำที่ปักรูปดอกไซคลาเมนสีขาวบนอกคู่กับตัวอักษรเขียนชื่อ 'IANZO' อยู่หน้าอกด้านซ้าย ทุกคนนั่งเรียงกันอยู่ในห้องที่ดูคล้ายคลาสเรียนขนาดกว้าง และด้านหน้ามีชายวัยกลางคนยืนพูดอยู่และเป็นจุดสนใจของทุกคนในห้อง

และในมุมด้านบนที่ไม่มีใครสังเกตเห็น มีร่างของชายหนุ่มปริศนาเจ้าของนัยน์ตาสองสี ด้านซ้ายเป็นสีน้ำเงินเข้มคล้ายบลูเบอร์รี่ ในขณะที่อีกข้างกลับเป็นสีฟ้าน้ำทะเลสว่างเป็นประกายงดงาม เขาสวมชุดคลุมแบบเดียวกันกับทุกคนในห้อง ทว่าสวมหมวกฮู้ดปิดบังศีรษะไว้ ทั้งยังสวมผ้าบัฟสีดำปิดใบหน้าครึ่งล่างเอาไว้จนมิด ทั้งตัวของเขามีเพียงดวงตาที่ดูแปลกประหลาดแต่ก็เปล่งประกายคู่นั้นที่เผยออกมาให้ผู้คนได้เห็น

ชายคนดังกล่าวยืนมองลงมาจากระเบียงชั้นลอยด้วยแววตาไม่แสดงอารมณ์ พุ่งตรงไปยังชายวัยกลางคนที่พูดอยู่ด้านหน้า ทว่าเสียงของชายผู้เป็นเป้าหมายนั้นกลับไม่สามารถเข้ามาสู่โสตประสาทของเขาได้เลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าชายหนุ่มตาสองสีกำลังว้าวุ่นใจกับความคิดบางอย่าง

ชายวัยกลางคนผู้ถูกจ้องมองดูไม่ได้สะทกสะท้านอะไรจากสายตาที่จ้องมองมาไกลๆนั้น เขายังคงอธิบายอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าท่าทางกระฉับกระเฉงแต่ก็ดูสุขุมนุ่มลึกและน่าเกรงขามอย่างบอกไม่ถูก

"และในอีกเรื่องที่สำคัญสำหรับนักเวทมนตร์ซีเนียร์ที่กำลังก้าวเข้าสู่ระดับหัวหน้าอย่างพวกคุณก็คือเรื่อง 'ความลับระดับสูงขององค์กร' ซึ่งเราไม่ได้บอกให้สาธารณชนหรือแม้แต่คนในองค์กรส่วนใหญ่ได้รับรู้" เขาพูดประโยคที่สร้างความฮือฮาให้กับกลุ่มคนที่นั่งตั้งใจฟังกันไม่น้อย ในขณะที่ชายผู้พูดชำเลืองสายตาขึ้นไปมองชายเจ้าของดวงตาสองสีเพียงชั่วพริบตา

"…" ดวงตาสองสีของชายคนนั้นมองจ้องมาอย่างไร้อารมณ์ โสตประสาทของเขาดูเหมือนจะยังไม่เปิดรับฟังเสียงใดๆทั้งสิ้น

"ในข้อมูลที่เผยแพร่ทั่วไป 'เอียนโซ' คือชื่อขององค์กรเท่านั้น แต่ที่จริงแล้วชื่อนั้นคือชื่อเรียกตำแหน่งของบุคคลากรสำคัญในองค์กรต่างหาก...คนที่จะมารับตำแหน่งเอียนโซจะต้องมีคุณสมบัติทางร่างกายที่เหมาะสมกับการรับพลังงานที่มหาศาล ดังนั้นมันไม่ใช่ตำแหน่งที่ไม่ว่าใครก็จะทำได้ จะเรียกว่าเป็นผู้ถูกเลือกตั้งแต่เกิดเลยก็ว่าได้ เอียนโซมีหน้าที่แบกรับพลังมหาศาลเอาไว้กับร่างกายตัวเองเพื่อที่จะควบคุมมวลพลังงานเหล่านี้เอาไว้ และสามารถใช้มันไปกับสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ อย่างเช่น...การหล่อเลี้ยงพลังเวทมนตร์ของปราสาททั้งหลังนี้เอาไว้ หรือแม้แต่การถ่ายโอนพลังให้กับเหล่านักเวทที่อาศัยอยู่ที่นี่ เรียกได้ว่าการมีอยู่ของเอียนโซนี่แหละ ที่ทำให้องค์กรของพวกเรามาอยู่ในจุดๆที่คนทั้งโลกไม่สามารถขาดพวกเราไปได้" ชายวัยกลางคนร่ายยาวอย่างสุขุมจริงจัง

"แล้วทำไมถึงต้องปิดเรื่องของตำแหน่งเอียนโซเอาไว้เป็นความลับจากภายนอกล่ะครับ? จากที่ฟังมาดูเหมือนว่าเอียนโซที่พูดถึงนี่คงต้องเสียสละมาแบกรับภาระหน้าที่ที่หนักที่สุด ไม่ใช่ว่าเขาควรจะได้รับความชื่นชมจากสาธารณชนหรอกเหรอ?" ชายคนหนึ่งในกลุ่มผู้ฟังทักท้วงขึ้นมาด้วยความสงสัย

"แน่นอนว่าสิ่งที่เขาทำมันทั้งเสียสละและยิ่งใหญ่เสียจนควรค่าแก่การให้คนทั้งโลกสรรเสริญ แต่เพราะเขาเป็นบุคคลสำคัญที่เราจะขาดไปไม่ได้ ทั้งองค์กรและรัฐบาลโลกก็เลยลงความเห็นตรงกันว่า ตำแหน่งเอียนโซควรจะเป็นความลับที่มีเฉพาะคนภายในเท่านั้นที่จะรู้ถึงการมีอยู่ ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของผู้รับตำแหน่ง...พวกคุณเองก็คงจะนึกภาพออกไม่ยากใช่มั้ย? ว่าถ้าวันหนึ่งผู้รับตำแหน่งเอียนโซตกอยู่ในอันตรายแล้วไม่สามารถรับพลังงานเหล่านั้นได้อีกล่ะก็...ทั้งปราสาทหลังนี้ ทั้งองค์กรของพวกเราจะยุ่งเหยิงมากแค่ไหน? แล้วไหนจะอนาคตของโลกใบนี้ที่อาจจะไม่มีองค์กรเอียนโซอีก? ภาพวันสิ้นโลกคงได้ปรากฏอีกครั้งหนึ่งไม่ต่างจากเมื่อปีค.ศ.2040แน่นอน...และผมเชื่อว่าไม่มีใครอยากเห็นภาพนั้นอีกครั้งแน่นอน"

คำพูดของเขาเล่นเอาผู้คนในห้องถึงกับขนลุกขนพอง เพียงแค่นึกภาพความล่มสลายในอดีตตามไปด้วย พวกเขาก็ทนไม่ได้กันแล้ว

"แล้วเอียนโซเองจะมีอายุขัยเหมือนกับคนทั่วไปด้วยรึเปล่า?" หนึ่งในกลุ่มคนฟังถามขึ้นอย่างข้องใจ

"แน่นอนสิ เขาเองก็เป็นคนๆหนึ่ง แค่เกิดมามีร่างกายคล้ายกับ 'เมจ' ทั่วไป แต่มีคุณสมบัติพิเศษติดมาด้วยก็เท่านั้นเอง เพราะงั้นตำแหน่งเอียนโซเองก็มีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเป็นปกติ แล้วเอียนโซที่รับตำแหน่งอยู่ในตอนนี้เองก็เพิ่งจะก้าวขึ้นมารับตำแหน่งได้ไม่นานนัก อายุไม่ได้ห่างจากพวกคุณนักหรอก...เอียนโซ เข้ามาแนะนำตัวสิ" เขาอธิบายตามปกติ ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นไปมองและเรียกชายเจ้าของดวงตาสองสีด้วยท่าทีเป็นมิตร

'เอียนโซ' ยังคงมองเขาด้วยสายตานิ่งเฉยไร้อารมณ์เช่นเดิม ถึงแม้จะไม่ได้ยินเลยด้วยซ้ำว่าคนในห้องคุยอะไรกันบ้าง แต่เขาก็พอจะเดาได้จากท่าทีของชายวัยกลางคน และเดินลงจากชั้นลอยไปยังด้านหน้าห้องอย่างว่าง่าย

รังสีความเย็นยะเยือกของเขาแผ่ออกไปทั่วทั้งห้องโดยที่เจ้าตัวไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำ ทุกคนต่างก็หยุดนิ่งและหันมองจ้องร่างของผู้มาใหม่คนนี้อย่างตกตะลึงปนยำเกรง เว้นก็แต่ชายวัยกลางคนที่ดูมีท่าทีเหมือนคุ้นเคยกับเจ้าของดวงตาสองสีผู้นี้เป็นอย่างดี

"นี่คือ 'เอียนโซ' คนปัจจุบัน...แต่ก็อย่างที่ผมแจ้งไปน่ะนะ ว่าด้วยเงื่อนไขความปลอดภัยของเขาแล้ว ถึงจะเป็นพวกคุณที่เป็นบุคคลระดับสูงขององค์กร แต่ผมก็คงให้รู้จักได้แค่เท่านี้ ไม่มีใครมีสิทธิได้รู้จักหน้าตา ชื่อ หรือจะข้อมูลใดๆก็ตามของเขาคนนี้ แต่อย่างที่เห็นว่าเอียนโซจะมีเอกลักษณ์พิเศษที่ตาข้างขวา สีฟ้าที่ตาของเขามาจากพลังงานมหาศาลในตัวที่ผมพูดถึงไปก่อนหน้านี้นั่นเอง"

"อย่างนี้พวกเราก็จะได้ร่วมงานกับเอียนโซโดยไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลยอย่างงั้นเหรอครับ?" ชายคนแรกที่เคยถามโพล่งขึ้นมาอีกครั้ง

"ถูกต้อง แต่ฉันรับประกันได้เลยว่าจะไม่มีอุปสรรคใดๆเกิดขึ้นจากการปิดบังตัวตนของเขาคนนี้แน่นอน...แล้วก็ นอกเหนือจากเรื่องนี้แล้ว อันที่จริงฉันมีเรื่องจะต้องแจ้งเพิ่มเติมเกี่ยวกับเอียนโซ"

"..."

"การแนะนำให้รู้จักกับเอียนโซคนนี้ ไม่ใช่เพื่อจะทักทายอะไรกันหรอก...คนๆนี้ทำงานในฐานะเอียนโซมา5ปี เขาตั้งใจทำงานหนักมาตลอด...และวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของการทำงานของเขา หลังจากนี้ชายคนนี้จะสละตำแหน่งกลับไปใช้ชีวิตปกติแล้วล่ะ"

ประโยคสุดท้ายนี้ยิ่งสร้างความฮือฮายิ่งกว่าเดิมเป็นหลายเท่าตัว คนทั้งห้องหันไปพูดคุยกันเสียงดังระงมด้วยความขัดข้องใจ

"แล้วอย่างนี้จะมีคนมารับตำแหน่งเอียนโซต่อรึเปล่า? จริงๆแล้วคนที่อยู่ในตำแหน่งนี้สามารถสละตำแหน่งได้ตามใจชอบอย่างนั้นเหรอ?" ตัวแทนในกลุ่มเอ่ยถามซักไซ้ด้วยท่าทีกังวลใจ

ในขณะเดียวกัน ชายเจ้าของดวงตาสองสีที่นิ่งมาโดยตลอดเอง ก็ชำเลืองมองมาที่ชายวัยกลางคนด้วยสายตาที่ดูเฝ้ารอคาดหวังคำตอบไม่แพ้ใคร

"เรื่องนั้นน่ะ แน่นอนว่าผมเองก็มีการวางแผนเอาไว้อยู่แล้ว เพราะงั้นไม่จำเป็นต้องกังวลไป...แต่เอาไว้รอประกาศอย่างเป็นทางการพร้อมกันจะดีกว่านะ เรื่องตำแหน่งเอียนโซน่ะ ถึงจะฟังดูเหมือนก้าวลงจากตำแหน่งยาก...แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อเจ้าตัวมีความประสงค์จะลงจากตำแหน่ง องค์กรเอียนโซก็จะไม่ปฏิบัติกับเขาเหมือนเป็นนักโทษหรอกนะ...ยิ่งไปกว่านั้น เอียนโซคนนี้ได้สร้างประโยชน์ไว้กับองค์กรอย่างมากมายนับไม่ถ้วน เพราะงั้นวันนี้ผมถึงพาเขามาอำลาทิ้งท้ายกับพวกคุณ เพื่อเป็นเกียรติกับเขาที่ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจเพื่อพวกเรามาอย่างมากมายในฐานะวีรบุรุษขององค์กรและยังเป็นคนที่เหมือนเป็นลูกรักของผมเองด้วย" เขาว่าก่อนจะตบบ่าของชายที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆด้วยท่าทีสนิทสนมและใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตร "สุดท้ายนี้ ขอเสียงปรบมือให้กับเอียนโซผู้ที่เสียสละชีวิตของตัวเองให้กับโลกใบนี้มาเป็นเวลานานคนนี้ทีนะ"

สิ้นประโยคนั้น กลุ่มคนในห้องก็พากันปรบมือเสียงดังให้ตามคำขอ บ้างก็มีสีหน้าที่ดูชื่นชมคล้อยตามคำพูดของชายวัยกลางคน บ้างก็มีสีหน้าดูถูกดูแคลนกับการสละตำแหน่งของชายคนที่กล่าวถึง

แต่ไม่ว่าจะเป็นสายตาหรือสีหน้าแบบไหน ก็ไม่ได้อยู่ในความสนใจของดวงตาสองสีคู่นั้นแม้แต่น้อย เขาส่งเสียงกระซิบไปหาชายที่ยืนตบบ่าของเขาอยู่อย่างแนบเนียน

"เมื่อไหร่ถึงจะเริ่มพิธีสักที? คุณคงไม่ได้คิดจะถ่วงเวลาหรอกใช่มั้ย?" เขาเอ่ยด้วยเสียงกระซิบเบาๆโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าท่าทาง

"ฉันต้องปฐมนิเทศพวกเขานี่นา เอาเป็นว่าจะเร่งจบให้ก็แล้วกัน แต่ถ้ารีบนักล่ะก็จะไปเตรียมพิธีก่อนก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ" ชายวัยกลางคนกระซิบกลับด้วยสีหน้าที่ยังคงปั้นยิ้มอยู่เช่นเดิม ก่อนจะปรับโทนเสียงกลับมาพูดคุยกับกลุ่มคนเบื้องหน้าอีกครั้ง "เอาล่ะ ฉันคงต้องปล่อยให้เอียนโซไปพักผ่อนก่อนแล้ว พวกเราจะได้คุยกันต่ออีกสักหน่อย...ไปเถอะเอียนโซ" เขาว่าก่อนจะทำท่าทีให้ชายหนุ่มสามารถเดินออกจากวงสนทนาได้ง่าย

ทันทีที่หลุดออกมาจากห้อง เอียนโซก็ไม่ได้หันกลับไปสนใจอีก เขามุ่งหน้าตรงไปยังเสาขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านกลางชั้นใต้ดินของปราสาทอย่างไม่ลังเล แล้วยื่นมือขวาไปยันเอาไว้ที่เสา ก่อนจะปล่อยมวลพลังงานสีฟ้าคละคลุ้งออกจากฝ่ามือ

เพียงชั่วพริบตา รอบข้างของเขาก็เปลี่ยนไป ชายหนุ่มมาปรากฏกายอยู่ในสถานที่ปิดมิดชิดแห่งหนึ่ง คล้ายห้องขนาดกว้างที่ไร้ซึ่งประตูหรือหน้าต่าง ปิดทึบทุกด้านและค่อนข้างมืดสลัว

ท่าทีของเขาดูคล้ายกับว่าจะคุ้นชินกับสถานที่อยู่แล้ว เขามองซ้ายมองขวาหาอะไรบางอย่าง ก่อนจะหลับตาลงและแผ่พลังงานสีฟ้าออกจากฝ่าเท้าลงไปยังพื้นที่ยืนอยู่ ก่อให้เกิดภาพของวงแหวนอักขระประหลาดใต้เท้า

และในทันทีที่วงแหวนนั้นถูกวาดจนสมบูรณ์ ชายหนุ่มก็ลืมตาโพล่งขึ้นมาด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบหันหลังกลับไปอีกทางอย่างรวดเร็ว...ทว่าก็ยังไม่เร็วพอ!

เปรี้ยง!

เสียงประหลาดดังอื้ออึงในโสตประสาต ก่อนที่ร่างของเขาจะทรุดตัวลงไปคุกเข่าที่พื้นอย่างห้ามไม่ได้ เขาไม่ทันมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ รู้สึกตัวได้อีกทีก็หมดเรี่ยวแรง ขยับตัวไม่ได้ไปเสียแล้ว!

"...เซบัสเตียน? แกมาทำอะไรที่นี่?" ชายตาสองสีเอ่ยถามอย่างข้องใจทันทีที่เห็นร่างของแขกไม่ได้รับเชิญที่กำลังก้าวเท้าเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ร่างของเขาปกคลุมไว้ด้วยชุดคลุมสีดำคล้ายกัน ต่างเพียงแค่ไม่มีสัญลักษณ์ของเอียนโซปักที่หน้าอก หมวกฮู้ดปกคลุมบริเวณศีรษะของเขาไว้มิดชิด ครึ่งหน้าด้านล่างสวมผ้าบัฟสีดำแบบเดียวกันเอาไว้ เผยให้เห็นเพียงดวงตาคู่ประหลาดที่ข้างซ้ายเป็นสีดำขลับ ทว่าข้างขวากลับเป็นสีม่วงเข้มประกายระยิบระยับสวยงาม

แม้จะไม่เห็นใบหน้าเต็มๆ แต่ก็สามารถเห็นได้จากดวงตาว่าชายตรงหน้ากำลังมองมาที่เขาด้วยความขี้เล่นไม่จริงจังนัก

"เศษเสี้ยวพลังเวทที่แกเคยส่งมาให้ฉันเป็นของตอบแทนครั้งก่อนน่ะ เอามาพัฒนาเป็นของแปลกๆได้หลายอย่างเลยล่ะ แน่นอนว่าเวทมนตร์ที่ฉันเพิ่งใช้ไปนี่ก็พัฒนามาจากเศษพลังของแกด้วยล่ะ" เซบัสเตียนพูดจาเรื่อยเปื่อยไม่สนใจคำถาม ท่าทางของเขาดูชอบใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่น้อย

"แกจะทำอะไร? จับฉันเอาไว้แบบนี้เพื่ออะไรกันแน่?" เอียนโซยังคงพยายามรวบรวมแรงกายและสติเพื่อเปล่งเสียงตอบโต้ แม้ว่าสภาพของเขาจะดูย่ำแย่ลงเรื่อย ๆอย่างรวดเร็วก็ตาม

"แกเองก็รู้ใช่มั้ย? ว่าฉันมีนิสัยแบบนักธุรกิจ ถ้าใครมีข้อเสนอที่สูงกว่า ฉันก็พร้อมจะดีลด้วยทั้งนั้นแหละ...และในครั้งนี้ฉันก็ได้ข้อเสนอที่น่าสนใจมากๆ ก็เลยต้องมาทรยศ 'ลูกค้าเก่า' แบบนี้ไง...หวังว่าจะเข้าใจกันนะ" ชายเจ้าของแววตาขี้เล่นพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ แม้ว่าอีกฝ่ายดูจะไม่ได้อยู่ในสภาวะอารมณ์ที่ใกล้เคียงกันเลยแม้แต่น้อย

ความเงียบและความกดดันอบอวลไปทั่วบริเวณในเวลาไม่นานนัก ก่อนที่ร่างของผู้มาใหม่จะปรากฏขึ้นจากด้านหลังของนักเวทเจ้าของแววตาเจ้าเล่ห์สีดำ-ม่วง

ชายวัยกลางคนที่ผละตัวออกมาจากกลุ่มนักเวทมนตร์ได้แล้ว เดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ สีหน้าของเขาดูนิ่งสงบผิดกับสถานการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า ทันทีที่เอียนโซหันไปพบกับร่างๆนั้น ชายหนุ่มก็พลันมองจ้องไปที่ใบหน้าของผู้มาใหม่ด้วยแววตาเคร่งเครียดก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอิดโรย

"ไททัส...คุณบอกว่าคุณจะยอมทำตามแผนของผมแล้วนี่นา...นี่มันอะไรกัน?"

ทันทีที่ได้ยินประโยคคำถามของชายหนุ่มตรงหน้า ไททัสก็กระตุกยิ้มมุมปากอย่างไม่น่าไว้ใจ และมองตรงเข้าไปที่นัยน์ตาสองสีของร่างที่ถูกบังคับให้นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า

"ผมก็ชอบแผนการของคุณอยู่หรอกนะ แต่ว่า...ถ้าคิดในแง่ของการเมืองที่ผมยังต้องชิงไหวชิงพริบกับรัฐบาลโลกแล้วล่ะก็ มันมีแต่จะทำให้ผมเสียเปรียบน่ะสิ" เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งพลางยักไหล่เบาๆ

ท่าทีอวดดีของไททัส เรียกเอาความหงุดหงิดในใจของเอียนโซให้แสดงออกมาทางแววตาได้ไม่น้อย

"ถ้าอย่างนั้น...คุณคงไม่สนใจเรื่องชื่อเสียงขององค์กรแล้วสินะ?" เสียงของชายหนุ่มแลดูเย็นยะเยือกขึ้นอย่างกะทันหัน แต่นั่นก็ไม่ได้สร้างความหวาดกลัวให้กับชายที่ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าของเขาแม้แต่น้อย

"แน่นอนว่าผมสนใจสิ ไม่มีทางที่ผมจะยอมให้ชื่อเสียงขององค์กรเอียนโซต้องแปดเปื้อนเพราะคุณหรอกนะ"

"แล้วคิดจะทำยังไงกับผมงั้นเหรอ? จะฆ่าให้ตายก็ทำไม่ได้นี่นา หรือว่าจะขังผมเอาไว้? ทำได้งั้นเหรอ?" แม้ว่าร่างของเขาจะแลดูรวยรินหอบหายใจเต็มทน แต่คำพูดและน้ำเสียงก็ยังฟังดูกวนประสาทและท้าทาย

"ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกนะเอียนโซ..." ชายวัยกลางคนย่อตัวลงไปใกล้และจ้องเข้าไปที่ดวงตาสองสีคู่นั้นในระยะประชิดอย่างเยือกเย็น ก่อนจะยกมือขวาขึ้นไปวางบนศีรษะของชายตรงหน้าเบาๆ "ฉันรับรองได้เลยว่า นายจะได้ตายไปอย่างไร้ค่าจนนึกเสียใจกับทุกสิ่งที่ทำลงไปเลยล่ะ" เขาเอ่ยประโยคน่าขนลุกออกมา ก่อนจะแสยะยิ้มออกมาอีกครั้งแล้วจึงออกแรงผลักหัวของชายหนุ่มไปทางซ้ายเบาๆ ไททัสค่อย ๆกลับมายืนตรงและถอยหลังออกมาช้าๆ

การก้าวถอยหลังของเขาเปรียบเสมือนสัญญาที่บอกให้ชายหนุ่มเจ้าเล่ห์ที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ ค่อยๆก้าวเข้ามาประชิดร่างที่ยังคงคุกเข่าอยู่ที่เดิม

"ขอโทษทีนะ แต่มันเป็นงานน่ะ" เซบัสเตียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะยกมือสองข้างขึ้นมาในระดับหน้าอก แล้วจึงปล่อยมวลพลังงานสีม่วงจากฝ่ามือ บังคับให้ก่อเกิดเป็นรูปร่างของไวโอลินสีม่วงในมือซ้ายกับคันชักไวโอลินในมือขวา เขาจับเครื่องดนตรีในมืออย่างถนัดมือและทำการพาดมันไว้ที่ไหล่ก่อนจะยกคันชักในมือขวาขึ้นมาอยู่ท่าเตรียม

แววตาขี้เล่นของเซบัสเตียนพลันเปลี่ยนเป็นตาเศร้าในขณะที่เขาเริ่มบรรเลงเพลงด้วยไวโอลินอย่างชำนาญ ทันทีที่เสียงดนตรีเริ่มขึ้น ออร่าของพลังงานที่น่าสะอิดสะเอียนก็พลันล่องลอยสู่ร่างของเอียนโซ จากเดิมที่ร่างกายของเขาดูย่ำแย่อยู่แล้ว ก็เหมือนว่าจะยิ่งหนักเข้าไปอีก จิตใจเริ่มสั่นคลอนอย่างห้ามไม่ได้

ชายหนุ่มทรุดตัวลงไปกองที่พื้น มือทั้งสองข้างยังพยายามต่อสู้ด้วยการยันร่างตัวเองเอาไว้อย่างทุลักทุเล

"อ้ากกกก!!" เขาเปล่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างปวดร้าว นัยน์ตาสีฟ้าข้างขวาเริ่มดูผิดปกติ สีฟ้าน้ำทะเลเริ่มดูสีเข้มขึ้น แต่ก็ยังแลดูไม่เสถียรนักเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาระหว่างสีฟ้ากับสีบลูเบอร์รี่

ความรู้สึกที่ปวดร้าวราวกับวาระสุดท้ายของชีวิตนี้ ได้ทำให้เขาปิดเปลือกตาลงแน่น ก่อนที่ภาพความทรงจำในชีวิตจะไหลย้อนคืนกลับมาอย่างมากมายนับไม่ถ้วน...ทว่าภาพที่ชัดที่สุดในตอนนี้กลับเป็นภาพของหญิงสาวคนหนึ่ง...

เธอมีนัยน์ตาและเรือนผมสีช็อคโกแลตเข้มยาวพลิ้วไสวถึงกลางหลัง ใบหน้าที่ดูมีเสน่ห์และดูอ่อนโยนของเธอที่มักจะมองมาที่เขาด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักความหวังดีเสมอมา...

ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สังเกตเลยแม้แต่น้อย...ว่าแววตาของเธอนั้นเริ่มเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ...แต่ภาพของเธอในความทรงจำครั้งสุดท้ายกลับสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนเสียจนนึกเสียใจที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยสนใจมาก่อนเลย...แววตาที่ปะปนความโศกเศร้ามาด้วยเสมอคู่นั้น...ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ? ...จูเลีย...

'ฉัน...ฉันจะไม่ขึ้นรับตำแหน่งซีเนียร์นะ' หญิงสาวในความทรงจำเอ่ยขึ้นในขณะที่เธอนั่งอยู่ที่ฝั่งตรงข้างบนโต๊ะเดียวกันกับเขา แววตาที่ดูนิ่งสงบของเธอจ้องมองเข้ามาที่ดวงตาของเขา และส่งความรู้สึกเย็นยะเยือกมาอย่างชัดเจน

'ทำไมล่ะ? จูเลีย'

และนั่นคือประโยคคำถามที่โง่ที่สุดที่เขาได้ถามเธอออกไป...

ทันทีที่จูเลียได้ยินคำถามนั้น เธอก็หลุดเสียงหัวเราะในลำคอออกมา ริมฝีปากของเธอกระตุกยิ้มออกมา ทว่าแววตาของเธอกลับดูประชดประชันปนผิดหวังอย่างน่าประหลาด...เธอไม่แม้แต่จะมองหน้าเขาด้วยซ้ำไป...

'ทำไมน่ะเหรอ? จริงสิ นายไม่มีทางรู้เหตุผลของฉันหรอก...ยังไงซะตอนนี้นายก็สนใจแค่เรื่องของตัวเองนี่นา การมุ่งไปที่เป้าหมายมันก็สำคัญมากกว่าอะไรทั้งนั้นแหละ...แม้แต่ฉันเอง ก็ไม่ได้สำคัญกับนายขนาดนั้นหรอก'

จูเลียทิ้งประโยคที่ฟังดูเสียดแทงจิตใจทั้งเขาและตัวเธอเองเอาไว้เพียงเท่านั้น...ที่น่าเจ็บใจกว่านั้นคือ เขาไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเธอพยายามจะพูดถึงอะไร? เพิ่งจะมานึกเสียใจเอาตอนที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว

ก็คงจะจริงล่ะมั้ง...ขอโทษด้วยนะ...จูเลีย...