สองสัปดาห์ถัดมามา ในห้องสีเรียบ พัฒน์นั่งหันหลังให้ผ้าใบที่ถูกปัดแปรงเนื้อสีรูปต้นไม้ซ้อนกันในป่าหิมะ ตรงหน้าของพัฒน์คือพูดคุยกับนักบำบัดส่วนผู้จัดจ้างจากรัฐ
"พัฒน์ ฉันขอถามเธอบางอย่าง เธอยังมีฝันร้ายอยู่มั้ย" เมลฟี่ถาม
"ไม่"
"พวกเราพูดคุยกันมานาน ที่ฉันพอจะรู้ว่าเธอกำลังโกหก แต่วันนี้มีบางอย่างแตกต่างนิดหน่อย มีเรื่องพึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานนี้เหรอ"
"ไม่"
"ตอนนี้เธอเป็นพลเมืองแล้ว จากประวัติของเธอ แพทย์แค่ต้องการรู้ว่าการรักษามีผลต่อสุขภาพจิตมั้ย มันเป็นองค์ประกอบหลักของให้อภัยโทษต่อตัวเอง ดังนั้นบอกฉันหน่อยเรื่องฝันร้ายครั้งล่าสุด"
พื้นผิวกำแพงสีนกพิราบ ที่นี่ทำให้ใจพัฒน์สงบขึ้นมาได้บ้าง "ผมไม่มีฝันร้าย" พัฒน์โกหก
เมลฟี่นักบำบัดถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอหยิบปากกาที่แนบกับสมุดโน๊ต
"ถามจริง เอาจริงเหรอ คุณจะโน๊ตนู่นนี่นั้น ทำไม มันเป็นเรื่องการก้าวร้าวภายในเหรอ"
"เธอไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด"
"โอเคครับ ผมขีดฆ่าเรื่องรายชื่อ พลอยเมื่อวันก่อน ไม่ต้องห่วงผมใช้กฎสามข้อของคุณ"
"โอเค กฎข้อแรก ไม่"
"พูดความจริง"
"โอเค กฎข้อที่สอง"
"อะไรคือกฎข้อที่สอง…" พัฒน์ถามกลับ
"นั้นเป็นกฎข้อสำคัญ"
"ห้ามทำร้ายใคร"
"แล้วอะไรคือกฎข้อที่สาม"
พัฒน์ไม่ได้ตอบ
"กฎทุกข้อที่เราสร้างเพื่อเติมเต็มความต้องการของสังคม กฎข้อที่สามล่ะ"
"หมอ รู้ตัวมั้ยว่าชอบถากถาง แน่นอน ผมทำตามกฎข้อที่สาม"
"โอเค สรุปคุณทำทุกอย่างถูกต้อง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยเรื่องฝันร้าย"
"อย่างที่ผมบอก ผมไม่มีฝันร้าย"
"นี่ วันหนึ่งคุณจะยอมเปิดใจ และจะเข้าใจว่ามีคนที่ต้องการช่วยคุณจริง ๆ และพวกเขานั้นไว้ใจได้"
"ผมไว้ใจคนอื่น" พัฒน์พูดเสียงแข็งโดยที่เขาไม่ได้สบตาดอกเตอร์เมลฟี่
"เหรอ งั้นเอามือถือมาให้ฉัน" เธอเอื้อมตัวไปรับมือถือจากพัฒน์ พัฒน์หยิบมือถือและยื่นให้ระหว่างโต๊ะตรงกลาง ดอกเตอร์เมลฟี่ เลื่อนมือถือเปิดเข้าไปที่รายชื่อผู้ติดต่อโทรศัพท์ "เบอร์ติดต่อไม่ถึงสิบเบอร์ โอ้ คุณยังไม่ยอมอ่านข้อความจากไมล์เลย คุณต้องหัดรักษามิตรภาพบ้าง ฉันเป็นคนเดียวที่คุณโทรตลอดทั้งอาทิตย์ น่าเศร้ามาก" ดอกเตอร์เมลฟี่พับมือถือเก็บและโยนส่งให้พัฒน์ พัฒน์รับมือถือและเก็บไว้ "เธอโดดเดี่ยว อายุยี่สิบเธอไม่มีทั้งประวัติไม่มีทั้งครอบครัว"
"หมอกำลังขยี้ผมใช่มั้ย เพราะมันไม่เป็นมืออาชีพอย่างแรงเลยรู้มั้ย คุณตะคอกลูกค้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน" ดอกเตอร์เมลฟี่อึ้งที่พัฒน์เริ่มเตือน เธอหยิบสมุดจดด้านข้างและหยิบปากกาขึ้นมาจด "โอเคคุณเริ่มที่จะจดอีกแล้ว นั้นเยี่ยมไปเลย" พัฒน์ประชดแดกดันและก็ถอนหายใจเบาครู่เดียว "โอเค ขอผมพักสักเดี๋ยว ผมกำลังพยายาม โอเคมั้ย นี่มัน… นี่มันเป็นเรื่องใหม่สำหรับผม ผมไม่มีเคยมีเวลาสักเสี้ยวนาทีที่จะรับมือกับอะไร ๆ เลยรู้มั้ย ผมรู้สึก… สงบหน่อยเดียวในเครื่องบิน และนอกเหนือจากนั้น ผมแค่เดินทางจากการต่อสู้ครั้งหนึ่งไปอีกครั้ง ทุกอย่างแค่เปลี่ยนที่"
"แล้วตอนนี้ เมื่อคุณหยุดต่อสู้แล้ว คุณต้องการอะไร"
พัฒน์นิ่งคิดเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ "ความสงบ"
"นั้นคือเรื่องไร้สาระที่สุด"
"คุณเป็นจิตแพทย์ที่แย่ที่สุด"
"ฉันเคยเป็นแพทย์สนาม จึงเคยเห็นศพคนตายมามาก และฉันรู้วิธีจัดการคุณและหากคุณโดดเดี่ยวนั้นคือนรกส่วนตัวที่เงียบที่สุดและพัฒน์มันยากมากที่จะหนีพ้น ฉันรู้ว่าคุณเผชิญอะไรมามาก แต่คุณได้ชีวิตของคุณคืน คุณได้รับการอภัยทั้งหมดแล้วล้วนเป็นเรื่องดี"
"ที่จะทำเพื่อใคร?" พัฒน์ถามโดยที่เขารู้ว่าคนตรงหน้าก็ตอบไม่ได้ คนที่ตอบคำถามจากตัวเองได้ เต็มไปด้วยตัวเขาในแต่ละวัยที่โดดเดี่ยวคละเคล้าอายุในตัวเขา พัฒน์เข้าใจว่าการคุยกับนักบำบัดเป็นการคลำเพื่อหาที่ทางภายในใจและหาที่ทางภายในสังคม บทสนทนาจบลงพัฒน์รู้กับตัวเองดีว่าเขาถูกประกอบมาไม่ดี เขาว่างเปล่าเกินกว่าที่จะทำเพื่อตัวเอง ความตื่นเต้นของพัฒน์คือการพาตัวเองก้าวเข้าสู่การแก้ปัญหา
ทุกคนต่างมีบทสนทนาที่น่าเกลียดบนรถโดยสาร นี่เป็นหนึ่งในบทสนทนานั้น
เบนที่เช่าอพาร์ตเมนอยู่นอกรัฐแคลิฟอร์เนีย เขาไม่ได้อยู่บ้านหลังเดียวกับพัฒน์และบ้านที่ภูเก็ต แม่เบนก็ไม่ต้อนรับในครั้งที่เบนพูดความจริงว่าเขาทำงานกับพัฒน์ เมษาอารมณ์โศกบังความหวังในตัวเบนลบเลือน จนเธอไม่ได้มีจุดเกาะในจิตใจ มีแค่ภาคกับคานเท่านั้นที่คอยช่วยพยุงทางอารมณ์ บนรถพัฒน์กำลังนั่งรถกลับจากท่าอากาศยานนานาชาติแคลิฟอร์เนียช่วงเวลาสั้น ๆ เบนสังเกตสร้อยไม้กางเขนที่ห้อยอยู่กับกระจกมองหลัง
"ทำไมคุณถึงยังเชื่อ ว่ายังมีพระเจ้าอยู่"
"ผมพิสูจน์ไม่ได้" แท็กซี่ตอบ "มันคงเหมือนลม คุณรู้สึกถึงมันได้แต่ไม่ถูกมองเห็น"
เรื่องลมสำหรับเบนคืออิเล็กตรอนและขอบเขตของความสามารถที่พื้นผิวเรตินารับภาพ เขาถอนหายใจก่อนพูด "แต่ศาสนาฮินดูมีพระเจ้าหลายองค์" เบนเกริ่น
"คนหลากหลายกันมารวมกันที่นี่" จิลตอบอย่างใจเย็น
"พระเจ้าคงรู้ตัวว่าตัวเองเป็นบ้า" เบนพูดเบา ๆ พร้อมที่จะหาทางออกจากบทสนทนา
จิลสังเกตท่าทางของเบนที่สะท้อนผ่านกระจกมองหลังก่อนเอ่ย "คุณคงต้องการกฎง่าย ๆ ในชีวิต"
"ไม่ ผมว่าทุกอย่างคือการทนทุกข์ และปลายทางของชีวิตคือการตาย ผมรู้สึกเหมือนได้รับภารกิจฆ่าตัวตาย"
"ดูนั้นสิ" จิลชี้มือหนึ่งข้างไปทางหน้าต่างด้านซ้ายเป็นพระอาทิตย์กำลังตกดินมันสวยงามเหมือนลูกท้อเนื้อหวานฉ่ำ "คุณคิดว่าอะไรทำให้เกิดสิ่งนั้น คุณคิดว่านั้นเป็นสิ่งบังเอิญเหรอ คุณคิดว่านั้นเป็นมายากลของแสงเหรอ คิดว่ามันฟลุคเหรอ ถ้าคุณเชื่อว่ามันฟลุค การเจริญพันธุ์ความเชื่อ สิ่งมีชีวิตแล้วสามารถเรียกทั้งหมดว่ามันฟลุคได้ เรามีแค่คำไม่กี่คำที่อธิบายสิ่งนี้ทั้งหมดได้อย่างเดียวคือ 'สุนทรีการดำรงอยู่ของพระเจ้า' พระเจ้าอยู่ในหลายรูปแบบของการออกแบบ นั้นคือสิ่งที่ผมเชื่อ ผมเชื่อในพระเจ้า แต่ถ้าไม่เชื่อในพระเจ้าทุกอย่างคงถึงสิ้นสุด"
เบนฟังและอยากพูดถึงการตีความทั้งหมด ทั้งสี่ล้อหยุดหมุน ถึงปลายทางเสียแล้ว มือซ้ายเปิดประตูออกเอี่ยวตัวจากรถยนต์ เบนหยิบเงินจากปกเสื้อจ่ายค่าห้องบำบัดเหล็กสีเหลืองเคลื่อนที่ได้และสามารถพาคุณไปสู่ที่หมายได้ ราวกับคุณสามารถพูดคุยกับพระเจ้าได้ที่นี่ เรียบง่าย ปรัชญาไม่ฟุ่มเฟือย คนพวกนี้อยู่ในสถานะระหว่างเพื่อนเก่าและผู้ให้คำปรึกษา เมื่อคุณมีคำถามเขาจะอธิบายมันให้คุณ ราวกับว่าพระเจ้าจะอธิบายทุกอย่างในรถแท็กซี่ แต่การอยู่ที่นี่ทำให้รู้สึกเงียบกว่าการอยู่ห้องกับคนอื่น เบนต้องติดเครื่องติดตาที่ข้อเท้า พอได้นั่งแท็กซี่หนึ่งเที่ยว บทสนทนาในแท็กซี่ราวกับเป็นคำสอนจากไบเบิลในหน้าที่ถูกฉีกจากต้นฉบับ รถไม่ได้เคลื่อนตัวผ่านศาสนาเสียด้วยซ้ำ แต่เวลานึกถึงความปลอดภัยคนกลับนึกถึงพระเจ้า ระหว่างที่เบนกำลังเดินเข้าอาคารเหยียบบันได และกำลังล้วงกุญแจเปิดประตูห้อง
"กริ๊งงง กริ๊งงง" เสียงโทรศัพท์เบนดังขึ้น เบนหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกง หน้าจอบอกตัวเลข 668x-xxx-xxxx ว่าเป็นเลขมาจากประเทศไทย ในอุ้งมือนั้นตัดสินใจกดรับ เพื่อรับความหวังว่าอาจจะเป็นแม่หรือคนในครอบครัวในไทย
"สวัสดี นั้นเบนจามิน วอลเตอร์ใช่มั้ย"
"คุณเป็นใคร แล้วเอาเบอร์ผมมาได้ยังไง"
"ผมเป็นคนดูแลคดีการค้าอวัยวะของผู้เสียหาย'ในภูเก็ต" ประชาตอบเบน เบนตั้งสติหยิบรีโมทปิดโทรทัศน์ และลุกขึ้นมาเอาโทรศัพท์แนบหู เขากลืนน้ำลายเอื้อก เบนไม่รู้ว่าตำรวจรู้เรื่องเกี่ยวกับเขามากแค่ไหน "สบายดีมั้ยที่นั่น ผมไม่คิดว่าคนที่ติดคุกในไทยแล้วที่นู่นเขาจะให้ผ่านวีซ่านะ"
"ผมต้องเรียกทนายมั้ย" เบนเหงื่อออกร้อนทั่วทั้งตัว
"ไม่ ไม่ ไม่ เราคุยแบบคนกันเอง เรื่องทำเบียร์หรือขโมยของจุกจิกผมเข้าใจได้ ผมอยากถามเรื่องเกี่ยวกับ 'พัฒน์' ส่วนอีกเรื่องคือความคือหน้าเรื่องคดี น้องชายทางกฎหมายของคุณ 'คริส' คือพวกเราสงสัย เหตุการณ์กราดยิงในโรงเรียนหลักฐานความรุนแรงที่เป็นอาวุธปืนพก ถูกขึ้นทะเบียนว่าเป็นของชาติ ถ้าคุณรู้ความเกี่ยวข้องว่าพัฒน์เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการทำการค้าอวัยวะ ผมต้องขอให้คุณเป็นพยาน ถ้ามีอะไรที่ผมพอจะช่วยคุณได้เรื่องประวัติของคุณเรายินดีช่วย"
เบนนิ่งเงียบเกินห้าวินาที
"คุณยังได้ยินอยู่มั้ย เบนจามิน" ประชาทักเตือน ในสัญญาณโทรศัพท์
เบนปะติดปะต่อพร้อมความกังวล ถูกแทรกด้วยความโกรธ โทรศัพท์ถูกไปที่ผนังห้อง สายสัญญาณตัดลง หน้าจอโทรศัพท์ร้าวไปกับความมืดที่ข้อมูลส่งออกมา เขาเดินเข้าไปในห้องน้ำ หมุนก๊อกน้ำและวักน้ำล้างหน้าหายใจไม่ทั่วท้องเหมือนมีคนมาต่อยข้างใต้กะบังลม ลมหายใจสั้นลง เบนพยายามหายใจแล้วตะโกนออกมาด้วยความโกรธ
"ฟัคคค!!" ทั้งสองมือจับด้านข้างกระจก กำและเขย่าไปกับการแผดเสียงที่ออกจากลำคอ เบนต่อยเข้าไปที่ใบหน้าของตัวเองในเงาสะท้อน "ฟัค! ฟัค! ฟัค!" ทุกถ้อยคำคือจำนวนกำปั้นที่กระจายแรงจนเกิดรอยร้าวของแผ่นสะท้อนที่แสดงตัวตน กระจกแตกร้าวออกเป็นเสี่ยง ๆ เบนทุกข์เกินกว่าที่จะแทรกเงาของตัวเองลงไปในความหวังกับความโกรธ เขาพยายามแยกมันมาตลอด วันนี้อดีตหลอกหลอนจิตใจให้แตกละเอียด ยากที่จะเยียวยาเบนโหยหาการยอมรับจากการแตกร้าวของตัวเอง ทุกเสียงที่โห่ร้องและน้ำตาที่ไหลออกมาในจิตใจล้นออกมาในการโมโหครั้งนี้ เสียงโทรศัพท์จากประชายังคงดังขึ้นด้านนอกจากหน้าจอที่พังไปแล้ว เบนไม่ได้สนใจที่จะกดรับโทรศัพท์ที่พังข้างนอกห้องน้ำ แต่เสียงการเรียกเข้ายังคงย้ำเตือนประโยคที่เขาพึ่งได้ยิน น้ำตาอื้ออึงอยู่ในห้องน้ำ