"กริ่ง กริ่ง กริ่ง กริ่ง" เสียงโทรศัพท์ตั้งโต๊ะในสำนักงานตำรวจดังขึ้น
ตำรวจรายหนึ่งกำลังขะมักเขม้นพิมพ์ข้อความลงบนแป้นพิมพ์ ตัวอักษรบันทึกประจำวันปรากฏบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ พร้อมฟังเสียงเจ้าทุกข์ร้องทุกข์
ตำรวจยกมือขวาขึ้นเป็นสัญลักษณ์บอกให้เจ้าทุกข์หยุดพูด ผู้ถูกออกคำสั่งเม้นริมฝีปากเข้าหากัน หยุดพูดกะทันหัน พร้อมค่อย ๆ สูดลมหายใจเข้าปอด เนื่องจากเล่าเหตุการณ์นานกว่า 20 นาที โดยไม่ได้หยุดพัก
ตำรวจใช้มือจับโทรศัพท์แนบใบหู
"สวัสดีครับ สำนักงานตำรวจมีอะไรให้ตำรวจรับใช้ครับ" ตำรวจเปล่งน้ำเสียงเรียบ ๆ ธรรมดา เหมือนทุกครั้งที่มีสายโทรเข้า
"คุณตำรวจครับเกิดเหตุร้ายมีคนตายที่คอนโดสุขเกษมชั้น 13 ซอยจันกระจาง กรุงเทพมหานคร" ต้นสายพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก เร็ว รัว เสียงลมหายใจดัง จนตำรวจปลายสายฟังคำพูดไม่ถนัด
"คุณใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ ค่อย ๆ พูด" ตำรวจบอกต้นสาย
ต้นสายรวบรวมสติ สูดลมหายใจเข้าปอด เปล่งเสียงบอกปลายสายช้า ๆ ชัด ๆ ทีละคำ
"มี คน ตาย"
ตำรวจเมื่อได้ยินประโยคจากต้นสายตาเบิกโต อ้าปากกว้าง แสดงอาการตกใจ
"แจ้งสถานที่เกิดเหตุได้เลยครับ" พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ต้นสายทวนคำพูดที่เคยบอกตำรวจอีกครั้ง เพื่อให้ตำรวจมาสถานที่เกิดเหตุถูกต้อง ตำรวจหยิบโพสอิท จับด้ามปากกาเขียนตำแหน่งที่เกิดเหตุ
"ขอบคุณ ทางตำรวจจะรีบเดินทางไปยังสถานที่เกิดเหตุครับ"
เมื่อตำรวจวางสายจากผู้หวังดี เขาเรียกให้ตำรวจอีกรายหนึ่งจดบันทึกประจำวันคดีที่เขากำลังฟังเจ้าทุกข์ร้องทุกข์อยู่ขณะนี้ และเดินตรงเข้าห้องในสุดของสำนักงาน
"ก๊อก ก๊อก ก๊อก" เสียงเคาะประตูดังบอกให้บุคคลในห้องทราบว่ามีบุคคลภายนอกห้องต้องประสงค์เข้ามาสนทนากับเจ้าของห้อง
"เข้ามา" เจ้าของห้องพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง เย็นชา อนุญาตให้บุคคลภายนอกเปิดกระตูเข้ามาในห้อง
เจ้าของห้องค่อย ๆ หมุนเก้าอี้เข้าหาโต๊ะทำงาน เหมือนว่าขณะนี้เจ้าของห้องกำลังค้นหาเอกสารอะไรบางอย่างในลิ้นชักด้านหลัง
เจ้าของห้องใช้สายตามองลูกน้องตนเองเชิงให้พูดธุระที่เข้ามาในห้อง
"ผู้กำกับครับเกิดเรื่องแล้วครับ"
"เรื่องอะไรว่ามา" เสียงพูดไร้ความรู้สึกตื่นเต้น
ตำรวจผู้รับแจ้งคดีความเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ผู้กำกับฟัง ผู้กำกับพยักหน้า สีหน้าเรียบเฉย ตั้งใจฟังเรื่องราวจากลูกน้อง ไม่แสดงแววตาหวาดกลัว เพราะพบเห็นเหตุการณ์ลักษณะนี้มาครึ่งหนึ่งของชีวิตเป็นตำรวจ ไม่มีอะไรน่าตกใจ น่าเกรงกลัว เมื่อมีคดีสามารถเคลียร์ได้ง่าย โดยใช้ประสบการณ์เดิม ๆ ที่ผ่านมาพิจารณาคดี โดยไม่ตั้งสมมติฐานใหม่ ๆ ขึ้นมา เพื่อให้คดีไม่ยุ่งยากซับซ้อน
"แจ้งผลักดัน กับปราบปรามให้ดูแลคดีนี้"
"ครับนาย" ตำรวจรายนั้นรับคำสั่งจากผู้เป็นนาย ก้าวเท้าเดินออกจากห้อง มุ่งไปยังโต๊ะไม้โต๊ะหนึ่ง เจ้าของโต๊ะกำลังก้มหน้าอ่านเอกสารบางอย่าง โดยไม่สนใจผู้มาใหม่
"ผลักดัน นายสั่งให้มึงดูแลคดีใหม่ ร่วมกับพี่ปราบปราม" ผลักดันและปราบปรามเมื่อได้ยินชื่อเรียกตนเอง เงยหน้าจากกองเอกสาร
ปราบปรามโต๊ะอยู่อีกฟากหนึ่ง กำลังอ่านรายงานสรุปคดีประจำสัปดาห์นี้ เขามักใช้เวลาว่างจากช่วยเหลือประชาชน ทบทวนความรู้ ตรวจสอบหลักฐานแต่ละคดี เก็บประสบการณ์จากข้อมูลเหล่านี้ไว้สำหรับคดีใหม่ ๆ
ปราบปรามขมวดคิ้วเข้าหากันแสดงความสงสัยให้ตำรวจผู้มาแจ้งข่าว
"คดีอะไรว่ะ"
"มีคนตายครับ"
"เล่ารายละเอียดมาสิ"
เมื่อได้ยินคำถามจากตำรวจรุ่นพี่ ตำรวจรายนั้นเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทั้ง 2 คนฟัง ผลักดันและปราบปรามตั้งใจฟัง และทำความเข้าใจคดีความจากคำพูดตำรวจรายนั้น
"พี่ผมไม่รับคดีนี้ได้เปล่าครับ" ผลักดันพูดด้วยน้ำเสียงกลัว ดูแล้วน่าเป็นคดีใหญ่
"ไม่ได้นายสั่งมามึงต้องรับ" ตำรวจผู้ได้รับคำสั่งจากผู้กำกับบอกด้วยน้ำเสียงดุ เพื่อให้ผลักดันทราบว่าคดีนี้ผลักดันถอนตัวไม่ได้ ต้องรับผิดชอบ
"เอาน่า มึงทำได้อยู่แล้ว มึงเคยเจอคดีใหญ่มาแล้ว ผู้กำกับคงเห็นแววมึงจึงมอบคดีนี้ให้มึงรับผิดชอบร่วมกับกู" ปราบปรามพูดให้กำลังใจน้องคนสนิทให้คลายกังวล
"ผมประสบการณ์น้อยอยู่ช่วงทดลองงาน อาจพิจารณาคดีไม่ถี่ถ้วน เป็นตัวถ่วงพี่เปล่า ๆ" ผลักดันบอกเหตุผลความกังวล
" ถ้ามึงรับคดีใหญ่ ๆ วันนี้ ประสบการณ์มึงเพิ่มขึ้น ถ้ามึงปฏิเสธคดีวันนี้ ประสบการณ์คงเท่าเดิม ดีไม่ดีลดลงด้วย เพราะมึงไม่ได้ฝึกทำอย่างสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้โอกาสที่เจ้านายมอบให้สูญเปล่า และที่สำคัญมึงไม่ได้ทำคดีคนเดียวสักหน่อย กูช่วยอีกคน"
ปราบปรามมองสีหน้าผลักดัน แต่ไม่สามารถจับความรู้สึกผลักดันได้เลย ขณะนี้ผลักดันกำลังคิดอะไรอยู่ หรือกังวลอะไร
ผลักดันได้แต่เงียบจนปราบปรามสบายใจ ดูเหมือนว่าผลักดันคลายกังวลลงแล้ว
"ไปเตรียมอุปกรณ์พิสูจน์หลักฐาน" ปราบปรามออกคำสั่ง ตำรวจรายหนึ่งซึ่งนั่งอยู่โต๊ะใกล้เขา ดูเหมือนว่าตำรวจรายนั้นจะรู้หน้าที่ตนเอง โดยที่ปราบปรามไม่ได้เอ่ยชื่อ ตำรวจรายนั้นเปิดตู้เหล็กเก่าดึงกล่องพลาสติกขนาดกลางมีหูหิ้วออกมา
"ไปเตรียมรถ" ตำรวจอีกรายรู้หน้าที่ตนเอง วิ่งออกไปสตาร์ทรถขับมารอหน้าโรงพัก
ขณะนี้ผลักดันและปราบปราม พร้อมตำรวจอีก 1 นายถือกล่องอุปกรณ์พิสูจน์หลักฐานเดินขึ้นรถเจ้าหน้าที่ตำรวจ รถค่อย ๆ ขับออกจากสถานที่ตำรวจ มุ่งตรงไปยังปลายทางตามเส้นทางที่ถูกเขียนไว้บนกระดาษโพสอิท
รถเจ้าหน้าที่ตำรวจจอดสนิทหน้าคอนโดสุขเกษม ตำรวจ 4 นาย ลงจากรถถือกล่องอุปกรณ์ไว้ในมือ มีชายหนุ่มวัยกลางคนกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมาหาตำรวจ
"ใครเป็นคนโทรแจ้งความ"
"ผมเองครับ"
"คุณคือใคร แล้วเจอคนตายได้อย่างไร"
"ผมเป็นนิติบุคคลดูแลคอนโดแห่งนี้ เมื่อช่วงเช้าเพื่อนผู้ตายโทรเข้ามาในสำนักงานคอนโด แจ้งว่าติดต่อผู้ตายไม่ได้ ผมจึงตรวจดูกล้องวงจรปิด พบว่าผู้ตายไม่ได้ออกจากห้อง จึงไปเคาะประตูเรียก ไม่มีใครตอบรับจึงใช้กุญแจสำรองไขประตูเข้าไป พบศพเจ้าของห้องนอนจมกองเลือด"
ขณะนิติบุคคลเล่าเหตุการณ์ที่พบเห็นให้ตำรวจทั้ง 4 นายฟัง นิติบุคคลเดินนำหน้าเข้าตึกคอนโดให้ตำรวจเดินตาม ผู้พักอาศัยภายในคอนโดเมื่อพบเห็นตำรวจ เริ่มแตกตื่น เกิดซุบซิบเป็นวงแคบในสังคมคอนโด
ผู้พบเห็นตำรวจกระจายข่าวให้ลูกบ้านคอนโดคนอื่นทราบถึงการมาของตำรวจ พร้อมตั้งคำถามถึงการมาของเจ้าหน้าที่
"เกิดเหตุร้ายอะไรในคอนโด?"
ทั้ง 5 คนหยุดเดินยืนรอหน้าลิฟท์ นิติบุคคลกดลิฟท์รอประมาณ 10 วินาที ประตูลิฟท์เปิดออก จึงเดินเข้าลิฟท์ นิติบุคคลกดชั้น 13 ใช้เวลาขึ้นลิฟท์มายังชั้นปลายทางไม่นานมากนัก
เมื่อประตูลิฟท์ชั้น 13 เปิดออก ทั้ง 5 คนก้าวเดินออกจากลิฟท์ นิติบุคคลเดินแทรกกลางออกจากตำรวจทั้ง 4 นาย นำทางไปยังห้องเกิดเหตุ ทางเดินยาวเงียบสงัดเหมือนไร้ผู้พักอาศัย ไม่มีแสงแดดลอดผ่านเข้ามาในอาคารมีเพียงแสงจากดวงไฟนีออนส่องสว่าง แต่แสงจากดวงไฟไม่ได้ช่วยให้ผู้มาเยือนรู้สึกดีขึ้น เพราะบรรยากาศภายในเงียบ
"เชิญทางนี้ครับ" นิติบุคคลเดินนำหน้าตำรวจ หยุดอยู่หน้าห้องหมายเลข 133 ใช้กุญแจไขประตู ค่อย ๆ เปิดประตูจนบานประตูเปิดกว้าง ลมจากนอกคอนโดพัดใส่ใบหน้า หน้าต่างถูกเปิดทิ้งไว้ กลิ่นเลือดโชยเข้าจมูก ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่เปิดทิ้งไว้ ทำให้ภายในห้องเย็นยะเยือก
ภายในห้องชุดสีขาวหรูหรา พื้นห้องปูด้วยพื้นลามิเนตสีน้ำตาลอ่อน ผนังห้องและเพดานสีขาว เดินถัดจากประตูห้องพบตู้ใส่รองเท้าขนาดใหญ่ ด้านซ้ายมือคือเคาน์เตอร์ครัวสำหรับประกอบอาหาร ถัดจากเคาน์เตอร์ครัวคือโต๊ะรับประทานอาหาร ตรงกันข้ามกับเคาน์เตอร์ครัวคือโซฟาสีดำขนาดใหญ่ 3 ตัว วางเรียงติดกันมีโต๊ะกระจกขนาดเล็กวางกึ่งกลางระหว่างโซฟากับโทรทัศน์ ภายในห้องชุดยังคงมีห้องนอนขนาดใหญ่ 1 ห้อง ห้องทำงาน 1 ห้อง และห้องน้ำ 2 ห้อง
ภาพทั้ง 5 ห้าคนเห็นตรงหน้าคือศพหนุ่มวัยรุ่นนอนจมกองเลือดหน้าคว่ำ มือทั้ง 2 ข้างเหยียดยาวเหนือศีรษะแนบพื้น ขาทั้ง 2 ข้างเหมือนพยายามลากร่างกายออกจากจุดเกิดเหตุ
ภายในโถงกลางของห้องสิ่งของระเกะระกะ แจกันลายหินอ่อนแตกกระจายอยู่มุมซ้ายของห้อง น้ำเลอะเทอะเรี่ยราดนองพื้น ดอกกุหลาบสีขาวกระจัดกระจายปนเปกับเศษแจกันที่แตก
นิตยสารหลายเล่มเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นห้อง อาหารที่วางไว้บนโต๊ะอาหารยังไม่ผ่านการรับประทาน มีจานอาหาร 2 ใบ วางอยู่มุมโต๊ะทั้ง 2 ด้าน เหมาะสำหรับรับประทานอาหารจำนวน 2 คน
ตำรวจรายหนึ่งเปิดกล่องพลาสติกหยิบถุงมือยางยื่นให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายสวมใส่ พร้อมหยิบเทปลายเหลืองดำกั้นพื้นที่เกิดเหตุ ตำรวจอีกรายใช้กล้องถ่ายภาพเก็บภาพหลักฐานภายในห้อง
ปราบปรามบันทึกประจำวันจากคำบอกเล่านิติบุคคล เบื้องต้นปราบปรามทราบเพียงว่า เพื่อนสนิทผู้ตายโทรเข้ามาในสำนักงานคอนโด เนื่องจากติดต่อผู้ตายไม่ได้ จึงให้นิติบุคคลตรวจสอบให้ นิติบุคคลบอกแค่ว่าเพื่อนสนิทคนนี้เข้าออกห้องผู้ตายเป็นประจำปกติ คงกังวลใจติดต่อผู้ตายไม่ได้
"เพื่อนสนิทคนนี้ชื่ออะไรครับ"
"ผมไม่แน่ใจเหมือนกันครับ เหมือนเคยได้ยินคุณอันดกเรียกชื่อว่า เมตตา"
"อันดก?"
"ผู้ตายชื่อคุณอันดกครับ" ปราบปรามสอบถามนิติบุคคลอีกหลายคำถาม แต่นิติบุคคลไม่สามารถให้ข้อมูลปราบปรามได้เลย นิติบุคคลให้การได้เพียงแค่ข้อมูลที่เขามีอยู่ ณ ขณะนี้
ผลักดันเปิดสมุดพกจดรายละเอียดที่พบเห็นภายในห้องชุดทั้ง 5 จุดที่คิดว่าน่าเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดภายในห้องนำมาสู่การตาย
จุดที่ 1 จุดพบศพผู้ตายนอนคว่ำ หัวไหล่ด้านซ้ายมีบาดแผลยาวฟกช้ำร่างกายเหมือนกระเสือกกระสนออกจากห้อง เลือดไหลเป็นทางยาวรอบศพ แต่ไม่พบมีดที่แทงหน้าอกผู้ตาย
"มีดหายไปไหน" ผลักดันพึมพำเบา ๆ กับตนเอง ถึงความสงสัยที่ไม่สามารถไขคำตอบได้
จุดที่ 2 จุดแจกันแตก คาดว่าแจกันถูกวางไว้บนโต๊ะกลมขนาดเล็กมุมซ้ายของห้อง ถูกหยิบขึ้นมาฟาดลงบนหัวไหล่ผู้ตาย จนผู้ตายได้รับบาดเจ็บ
จุดที่ 3 ตำแหน่งผ้าขนหนูสีขาวเปื้อนเลือด วางบนเคาน์เตอร์ครัว เมื่อพิจารณาร่องรอยตำแหน่งผ้าขนหนูและเลือด พบว่าผู้ตายหยิบผ้าขนหนูจากระเบียงหลังห้อง เนื่องจากรอยเลือดหยดเป็นทางยาว
จุดที่ 4 โต๊ะรับประทานอาหาร อาหารยังไม่ผ่านการรับประทาน ข้าวยังถูกเก็บไว้ในหม้อหุงข้าว
จุดที่ 5 โต๊ะหน้าโทรทัศน์วางเอกสาร มีร่องรอยฉีกขาด กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะ ซึ่งเป็นงานออกแบบผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวหน้ายี่ห้อหนึ่ง
ผลักดันใช้สมาธิจดจ่อกับเหตุการณ์ตรงหน้าพยายามจับสังเกตสิ่งต่าง ๆ ภายในห้อง เพื่อค้นหาร่องรอย หลักฐาน และความน่าจะเป็นที่เกิดขึ้นภายในห้องนี้
กองพิสูจน์หลักฐานถ่ายภาพ และเก็บหลักฐานคือ โทรศัพท์มือถือผู้ตาย เศษแจกันที่แตก ผ้าขนหนูสีขาวเปรอะรอยเลือด และกระดาษผลงานออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ฉีกขาดใส่ลงซองพลาสติกเก็บลงกล่อง
ขณะกองพิสูจน์หลักฐานกำลังรวบรวมหลักฐาน เวลาเดียวกันนิติบุคคลโทรศัพท์แจ้งโรงพยาบาลให้มาเก็บศพ เมื่อรถโรงพยาบาลมาถึง เจ้าหน้าที่ 2 คน ใช้ผ้าดิบสีขาวห่อร่างกายผู้ตาย นำศพไปชันสูตร
"ปิดห้องนี้ ห้ามให้ใครเข้าห้อง" ปราบปรามออกคำสั่งนิติบุคคล
"ได้ครับ"
"ผมกลัวว่าคนร้ายอาจไหวตัวทันเข้ามาทำลายหลักฐานในขณะที่คดียังไม่คลี่คลาย" นิติบุคคลฟังเหตุผลของปราบปรามเหมือนเข้าใจสิ่งที่ปราบปรามต้องการสื่อ
นิติบุคคลให้แม่บ้านปิดหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ ทำความสะอาดรอยเลือดบนพื้นห้อง แต่ห้ามทำความสะอาดรอยที่ตำรวจวาดขนาดศพ และห้ามทำความสะอาดส่วนอื่นของห้อง เพื่อให้หลักฐานยังคงสมบูรณ์
ปราบปรามพูดกับนิติบุคคลจบ มองไปยังผลักดันที่ดูเหมือนตั้งใจทำงาน จนทำให้ปราบปรามรู้สึกพอใจในตัวผลักดัน และดีใจได้ร่วมงานกับตำรวจน้องใหม่คนนี้ ปราบปรามหวังว่าน้องใหม่คนนี้จะเป็นกำลังสำคัญให้กับวงการตำรวจ
"กลับกันเถอะ" ปราบปรามบอกผลักดันและตำรวจอีก 2 นาย
ผลักดันปิดสมุดบันทึกเลิกสนใจเหตุการณ์ตรงหน้า เดินออกจากห้องชุด นิติบุคคลปิดไฟ ล็อคประตูตามคำสั่งของปราบปราม
.
.
.
.
ผลักดันเขียนคำถามที่เขาสงสัยลงสมุดบันทึก ผลักดันไม่สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ เขาได้แต่เก็บงำไว้กับตนเอง
"เมื่อคืนภายในห้องนี้เกิดเรื่องราวอะไรขึ้น"
"ใครใช้แจกันทุบผู้ตาย"
"ผู้ตายนัดใครรับประทานอาหารในวันเกิดเหตุ"
"ผู้ตายมีปัญหาหรือผิดใจกับใครจนต้องทำร้ายร่างกายถึงขั้นฆ่า"
"ใครฉีกกระดาษผลงานออกแบบผลิตภัณฑ์"
.
.
.
.
.
.
"คนฆ่าผู้ตายคือคนที่ผู้ตายนัดรับประทานอาหารหรือไม่"